ยิ่งพยายามที่จะลืม กลับยิ่งกล้ำกลืนให้จดจำ (FFXIII)


Final Fantasy XIII: REMINISCENCE -tracer of memories- บทที่ 8 ซึ่งเล่าถึงเรื่องราวฝั่งของโฮปในระหว่าง Final Fantasy XIII-2 และ Lightning Returns ซึ่งเฉลยว่าเกิดอะไรขึ้นกับโฮปก่อนจะถูกบูนิเบลเซ่จับตัวไป เขาได้เล่าไว้ว่า...

ช่วง AF500 ก่อนที่โคคูนเก่าจะถล่มลงมาในตอนจบ FFXIII-2 โฮปได้อพยพผู้คนจากแกรนพัลส์เข้าไปยังโคคูนใหม่ (ซึ่งตั้งชื่อว่า Bhunivelze หรือจะเรียกว่า Ark ก็ได้) แต่พอมวลเคออสทะลักจากโลกที่มองไม่เห็นเข้าสู่โลกของมนุษย์ นอกจากแกรนพัลส์จะพินาศแล้ว โคคูนใหม่ก็ได้รับความเสียหายอย่างมาก โฮปวิเคราะห์ได้ว่าความเสียหายจะขยายตัวมากขึ้นกระทั่งในที่สุดเสถียรภาพของโคคูนใหม่เสียไป  ดังนั้น มนุษย์ต้องโกยออกจากโคคูนใหม่ลงมายังแกรนพัลส์

ตอนนั้นเอง โฮปก็ได้ตั้งกลุ่มสภาเรอเนสซอง (Conseil de Renaissance) เพื่อต่อสู้กับภัยพิบัติที่ค่อย ๆ ปรากฏขึ้น โดยมีสโนว ซัสซ์ และโนเอลเข้าร่วมกลุ่มด้วย อย่างไรก็ตามเคออสก็ยังคงขยายตัวเข้ากลืนกินพื้นที่บนโลกไปเรื่อย ๆ โชคดีที่ตอนนั้นฟัลซิแพนเดโมเนียมปรากฏตัวขึ้นและช่วยดูแลชีวิตของมนุษย์ที่อยู่ในโลกเบื้องล่างเอาไว้ พวกเขาได้สร้างเมืองลุคเซริโอและยูสนันขึ้นมา ส่วนโฮปเองก็ไป ๆ มาๆ ระหว่างโคคูนใหม่และโลกเบื้องล่าง ทำการวิจัยภายในโคคูนใหม่ และสลับมาช่วยเหลือคนในโลกเบื้องล่างไปด้วย

แต่แล้ววันหนึ่ง โฮปก็หายตัวไป สังคมมนุษย์เลยตกสู่ความโกลาหล ด้านซัสซ์กับโนเอลเองก็จมอยู่กับความสิ้นหวังไปเรียบร้อยแล้ว ส่วนสโนวพยายามรวบรวมและชี้นำผู้คนอย่างที่โฮปทำ แต่สโนวก็ไม่สามารถเป็นแกนนำผู้ยิ่งใหญ่แบบโฮปได้ สภาเรอเนสซองเลยวงแตก ผู้คนก็เริ่มต่อสู้กันเอง ตอนนั้นเอง Order of Salvation ก็กลายมาเป็นองค์กรที่ทรงอิทธิพลที่สุดในสังคมมนุษย์ ส่วนสโนวก็ไปปกครองเมืองยูสนันกับฟัลซิแพนเดโมเนียม

ก่อนที่โฮปจะหายตัวไป โฮปจำได้ว่ามีเหตุการณ์ที่ทำให้เขาขวัญผวาเกิดขึ้นกับพวกพ้องนักวิจัยของเขาในโคคูนใหม่ คือพวกเขาค่อยๆ หายตัวไปอย่างลี้ลับ ทีละคน แล้วก็ทีละคน... เหลือเพียงข้อความเบาะแสทิ้งไว้ว่า สตรีผมสีกุหลาบจะมารับตัวเขาไป

ทีแรกโฮปสงสัยว่านี่อาจเป็นฝีมือของไลท์นิ่ง แต่เขาก็คิดว่าไลท์นิ่งไม่มีทางทำอะไรแบบนี้

เขาพยายามแก้ปริศนาแต่ก็ไม่พบคำตอบ ไม่พบเงื่อนงำ

เมื่อเพื่อนพ้องนักวิจัยหายตัวกันไปเรื่อยๆ งานวิจัยของโฮปก็ล่ม ไม่สามารถไปต่อได้เพราะไม่มีผู้ช่วยวิจัย สุดท้ายความพยายามที่จะหาทางหยุดยั้งเคออสและช่วยโลกไว้ ก็สูญเปล่า โฮปเลยออกจากโคคูนใหม่ และปล่อยทิ้งร้างไว้

โฮปเล่าให้แอเด้ฟังถึงความรู้สึกตอนนั้นของเขาว่า

"งานวิจัยซึ่งเป็นความหวังของผมหายไปกับสายหมอก ผมตกอยู่ในอาการซึมเศร้า หัวใจเจ็บปวดรวดร้าว"

"แล้วผมเองก็เริ่มที่จะเห็นภาพหลอนเหมือนกัน"

"มันเป็นแค่ภาพวูบเดียวที่ปลายสายตา พอผมพยายามค้นหาตัวตนของมัน มันก็จะหายไปในพริบตา"

"พอผมพยายามคุยด้วย มันจะหายไปก่อนที่ผมจะได้พูด"

"จากนั้นพอผมลืมมันไป มันก็จะโผล่มาอีกครั้ง เป็นแบบนี้ ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ไม่มีวันจบ"

"ผมจึงตัดสินใจที่จะเพิกเฉยต่อมัน ถึงจะเห็นผมก็แกล้งทำเป็นไม่สนใจ แล้วก็พยายามลืมมันไป"

แต่เหมือนกับว่ามนุษย์นั้นหากยิ่ง "พยายาม" ที่จะลืมหรือไม่สนใจสิ่งใดมากเกินไป ความพยายามนั้นกลับยิ่งเป็นการตอกย้ำให้มนุษย์หลงติดอยู่ในวังวนของสิ่งนั้น

"มันย้อนเข้าตัวผมเอง ยิ่งผมพยายามไม่สนใจ ผมก็ยิ่งยึดติดมัน"

"ความรู้สึกของผมค่อย ๆ สั่นคลอนอย่างช้า ๆ กระทั่งผมพบว่าตัวเองไม่สามารถคิดเรื่องอื่นได้นอกจากภาพมายา และไลท์"

"เพราะฉะนั้นผมจึงเริ่มหวนนึกถึงอดีตในยามฝัน แล้วมันก็บ่อยขึ้นเรื่อย ๆ"

"พอเป็นแบบนั้น ภาพมายาที่ผมเห็นก็เริ่มปรากฏตัวขึ้นในความฝันเช่นกัน บางครั้งมันก็คุยกับผมเหมือนกับไลท์ที่ผมเคยรู้จักเมื่อนานมาแล้ว..."

"มันเป็นแบบนี้อยู่หลายปี จนถึงจุดหนึ่งผมก็ไม่อาจแยกแยะความทรงจำกับภาพมายาออกจากกันได้"

"เวลาที่ผมพยายามนึกถึงเรื่องของไลท์ มันยากขึ้นเรื่อย ๆ ที่จะบอกว่านั่นเป็นความทรงจำที่ผมเคยประสบมาจริง หรือว่านั่นเป็นเพียงความฝัน เป็นประสาทหลอน"

"สำหรับผมแล้วการแยกแยะความฝันกับความจริง ค่อย ๆ ยากขึ้นเรื่อย ๆ ผมได้ยินเสียงของไลท์ในความฝัน พอตื่นขึ้นมาเสียงของเธอก็ยังวนเวียนอยู่ในหู สิ่งเหล่านี้ ทำให้จิตใจของผมพังทลายลง ทีละเล็ก ทีละน้อย"

โฮปรู้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นกับเขานั้น คือแผนของบูนิเบลเซ่ พระเจ้าแห่งแสงสว่าง ซึ่งบูนิเบลเซ่ไม่สามารถควบคุมจิตใจของเขาโดยตรงได้ แต่สามารถสร้างภาพลวงตาได้ บูนิเบลเซ่รู้ว่ามนุษย์จะหมกมุ่นกับการค้นหาความหมายของภาพลวงตา จนสูญเสียวิจารณญาณ จิตใจจะอ่อนล้าลงจนสูญเสียการใช้เหตุผล

แม้จะรู้ตัวว่าเกิดอะไรขึ้น แต่โฮปก็ไม่อยู่ในสภาพที่จะตอบโต้ได้อีกต่อไปแล้ว แล้ววันหนึ่งบูนิเบลเซ่ก็สร้างภาพมายาของไลท์นิ่งขึ้นมา ล่อหลอกให้โฮปเดินตามไปจนโฮปกลับเข้าไปในโคคูนใหม่เพียงลำพัง แล้วบูนิเบลเซ่ก็จับตัวโฮปไปจองจำอย่างง่ายดาย...



(เรียบเรียงใหม่ขึ้นจากนิยายตอน 8 ที่เคยลงไว้นานแล้ว : http://re-ffplanet.blogspot.com/2014/08/reminiscence-tracer-of-memories-8.html)
------------------------------

ย่อสั้นคือ บูนิเบลเซ่สร้างร่างเงาของไลท์นิ่งให้ออกมายืนเล่นที่ปลายหางตาโฮปอยู่เสมอ พอจะหันไปมองก็ทำให้หายไป วนไปเวียนมา เพียงเพื่อจะให้สติแตก

โฮปวิเคราะห์ได้ว่านี่คืออุบายของบูนิเบลเซ่ จึงตั้งใจว่าช่างแม่ง... จะไม่สนใจไอ้เงานี่ละ จะยืนอยู่ที่หางตาก็ช่างแม่ง จะทำอะไรก็ช่าง ถ้าเห็นมันก็แค่ Ignore มันไป แต่ยิ่งพยายามเพิกเฉยเท่าไหร่ ยิ่งตั้งใจจะไม่สนใจมันเท่าไหร่... เขากลับพึ่งค้นพบว่ามันทำให้เขายิ่งตระหนักถึงการคงอยู่ของมันมากขึ้นเท่านั้น สุดท้ายโฮปก็สติแตก ประสาทกิน นอนก็ฝัน ตื่นก็เห็นลาง ๆ แถมยังหูฝาดได้ยินเสียงเธอคนนั้นบ่อย ๆ ....กระทั่งเหตุและผลไม่สามารถยับยั้งประสงค์จากสามัญสำนึกได้อีกต่อไป

เงานั้นทำให้วนเวียนคิดถึงแต่ไลท์นิ่ง จนสับสนระหว่างความทรงจำถึงไลท์นิ่งในอดีต ความฝันที่มีถึงเธอในยามหลับ กับความเป็นจริงกำลังที่พบเจอกับภาพลวงตา จนเริ่มแยกจากกันไม่ออก สุดท้ายก็จิตใจอ่อนล้าจนโดนเขาจับไป

------------------------------

แนวคิดที่ว่ายิ่งตั้งใจเพิกเฉย... ยิ่งพยายามที่จะลืม ก็จะยิ่งไม่มีทางทำได้สำเร็จ เป็นแนวคิดที่ส่วนตัวผมเองรู้สึกว่ามันเป็นจริง และทึ่งมากที่ไอเดียนี้ถูกเอามาใช้รวมไว้ในส่วนหนึ่งของซีรีส์ FFXIII ในฐานะแผนที่บูนิเบลเซ่เอามาใช้ Corrupt Hope

บางที ทางออกสำหรับเรื่องแบบนี้ อาจไม่ใช่การพยายามที่จะลืม...

แต่เป็นการปล่อยวาง และปล่อยให้เวลาทำหน้าที่ของมันไปเอง อย่างที่มันควรจะเป็น....?

ไม่มีความคิดเห็น