Saturday, March 22, 2008

สรุป Q&A จาก Crisis Core -FFVII- Ultimania

ช่วงนี้ผมไม่ว่างที่จะแปลแบบคำต่อคำ ดังนั้นจึงขอแปลแบบสรุปนะครับ คิดว่าแบบนี้น่าจะอ่านกันได้แต่เนื้อๆ และไม่เยิ่นเย้อมากกว่า


ส่วนที่ 1 การหายตัวไปของกลุ่มโซลเยอร์

- เบื้องหลังของเรื่องมาจากการที่เจเนซิสได้รู้ความจริงที่อยู่เบื้องหลังชาติกำเนิดของเขา ฮอลันเดอร์ได้เสนอที่จะให้การช่วยเหลือเจเนซิส แลกกับการที่เจเนซิสต้องช่วยเขาล้างแค้นชินระ ซึ่งเจเนซิสก็ตกลงด้วย พวกเขาคิดที่จะสร้างกองทัพขนาดใหญ่ไว้ต่อต้านชินระ ดังนั้นเขาเลยพาพวกโซลเยอร์จับไปทำร่างก๊อปปี้ที่หมู่บ้านบาโนล่า

- ตอนแรกแองจีลคิดว่าการที่เจเนซิสหายตัวไปคงเกี่ยวข้องกับการเสื่อมสภาพของเขา แต่แองจีลก็ยังไม่ได้คิดว่าเจเนซิสได้ทรยศชินระไปแล้ว แองจีลเองเป็นคนที่รู้จักเจเนซิสดีที่สุด ตัวเขาเองก็เกิดความขัดแย้งขึ้นในจิตใจ ทั้งกลัวว่าเจเนซิสจะทรยศ ขณะเดียวกันก็อยากจะเชื่อในตัวของเจเนซิสด้วย

- เบื้องหลังการหายตัวไปของแองจีล หลังจากที่แองจีลได้มีโอกาสเจอเจเนซิสที่วูไถแล้วเขาก็พยายามชวนเจเนซิสกลับยังชินระ แต่เจเนซิสปฏิเสธและยังชวนแองจีลให้มาร่วมแผนการณ์ล้างแค้นของเขาด้วย จากนั้นเจเนซิสก็ชวนแองจีลไปที่หมู่บ้านบาโนล่า แองจีลไม่อยากให้แซ็คต้องมาเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ เขาคิดว่าเขาไม่มีทางชักชวนเจเนซิสให้กลับใจได้สำเร็จก่อนที่แซ็คจะย้อนกลับมาช่วยเขาแน่ๆ เขาเลยตกลงยอมกลับหมู่บ้านบาโนล่าพร้อมเจเนซิสไปก่อน โดยหวังว่าเขาจะสามารถกล่อมเจเนซิสได้สำเร็จในไม่ช้า ทว่าพอมาถึงหมู่บ้านแล้ว แองจีลก็ได้รับรู้ถึงชาติกำเนิดของตัวเองจากเจเนซิส รวมทั้งเรื่องที่ตัวเองเป็นมอนสเตอร์ แองจีลเริ่มสูญเสียความภาคภูมิและตกอยู่ในความสิ้นหวัง ถึงเขาจะยังยืนกรานที่จะปฏิเสธไม่ให้ความช่วยเหลือกับเจเนซิสและฮอลันเดอร์แต่เขาก็รู้ตัวดีว่าเขาคงกลับชินระไม่ได้อีกแล้ว ตั้งแต่นั้นมาแองจีลก็เริ่มสับสนไม่รู้ว่าควรจะเอายังไงกับชีวิตต่อไป ระหว่างนั้นเองก็เป็นโอกาสให้ฮอลันเดอร์และเจเนซิสสามารถเอาเซลล์ของแองจีลออกมาได้

- อุบัติเหตุในห้องฝึกซ้อมที่เกิดกับเจเนซิสเกิดขึ้นหลายเดือนก่อนเหตุการณ์ที่เหล่าโซลเยอร์หายตัวไป ตอนที่ฮอลันเดอร์รักษาเจเนซิส เขาก็ได้เปิดโปงความจริงเบื้องหลังชาติกำเนิดของเจเนซิส

- หลังจากที่ฮอลันเดอร์ได้สูญเสียอำนาจในฝ่ายวิทยาศาสตร์ไปแล้ว ฮอลันเดอร์ก็ยังไม่ได้ออกจากชินระ และก็ยังอยู่เป็นลูกจ้างรันทดต่อไปอีกเป็นปีๆ ระหว่างนั้นความไม่พอใจในชินระก็ค่อยๆ ขยายตัวขึ้น เมื่อเขาได้มีโอกาสรักษาเจเนวิสเขาก็ได้เรียนรู้ปรากฏการณ์การก๊อปปี้ เขาเลยคิดจะใช้มันในการเรียกศรัทธาของเขากลับคืนมาจากชินระ ทว่าความรู้ที่เขาได้พบโดยบังเอิญมันยิ่งใหญ่เกินกว่าที่เขาคิดเอาไว้มาก ไปๆ มาๆ เขาเลยไม่คิดที่จะเพียงแค่ทวงศรัทธาคืน แต่เปลี่ยนเป็นการล้างแค้นแทน

- ช่วงที่ฮอลันเดอร์หายตัวไปก็ประมาณช่วงเดียวกับของเจเนซิส ตอนที่เจเนซิสไปกวาดล้างหมู่บ้านบาโนล่า ฮอลันเดอร์ก็เข้าไปติดตั้งอุปกรณ์และเริ่มสร้างตัวก๊อปปี้ พวกก๊อปปี้ที่ปรากฏตัวที่วูไถก็มาจากบาโนล่านี่เอง แต่เป้าหมายที่เจเนซิสพาพวกก็อปปี้ไปวูไถไม่ใช่เพื่อจู่โจมหมู่บ้านวูไถ แต่เพื่อช่วยกันค้นหาแองจีลที่กำลังเดินทางไปที่วูไถ


ส่วนที่ 2 - เจโนว่าโปรเจคท์

- โปรเจคท์ G และ S เริ่มต้นในเวลาไล่เลี่ยกัน ทั้งสองโปรเจคท์มีผู้นำคือฮอลันเดอร์และโฮโจ สำหรับศจ.กัสต์ที่ดำรงตำแหน่งหัวหน้าฝ่ายวิทยาศาสตร์มาก่อนโฮโจนั้น เขามีส่วนร่วมกับแต่ละโปรเจคท์ไม่มากเท่าไหร่ (และหลังจากที่โฮโจใช้เซลล์เจโนว่าสร้างโซลเยอร์ได้ โฮโจก็ได้เลื่อนขึ้นเป็นหัวหน้าฝ่ายแทน)

- แองจีลกับเจเนซิสเกิดในช่วงไล่เลี่ยกัน หลังจากเซฟิรอธจึงค่อยเกิดตามมาทีหลัง แต่จะคิดว่าพวกเขาอายุพอๆ กันก็ได้ แองจีลและเจเนซิสที่เกิดมาก่อนนั้นถูกตัดสินว่าเป็นผลงานที่ล้มเหลวตั้งแต่ครั้งยังเป็นแค่ทารก ส่วน Project S นั้นได้เอาผลลัพธ์จากการทดลองใน Project G ไปปรับเสริมเติมแก้ข้อบกพร่อง ดังนั้นเซฟิรอธก็เลยมีอายุน้อยกว่าอีกสองคน

- การตัดสินว่าเจเนซิสและแองจีลเป็นผลงานที่ล้มเหลวนั้นเกิดขึ้นตั้งแต่ตอนที่พวกเขาเป็นแค่ทารก เดิมทีเจโนว่าโปรเจคท์นั้นมีเป้าหมายในการสร้างมนุษย์ให้มีพลังเทียบเท่าชนเผ่าโบราณ ทว่าพวกเขาไม่พบข้อมูลที่คาดหวังเหล่านั้นจากตัวเจเนซิสและแองจีล พวกเขาจึงถูกตัดสินว่าเป็นผลงานที่ผิดพลาด ในเวลาต่อมา Project G จึงถูกพับเก็บไป (ที่ฮอลันเดอร์พูดว่าแองจีลเป็นผลงานที่สมบูรณ์แบบ ไม่ได้แปลว่าแองจีลเป็นผลผลิตจากการสร้างมนุษย์ให้มีพลังเทียบเท่าชนเผ่าโบราณที่สมบูรณ์แบบ แต่แปลว่าแองจีลเป็นมอนสเตอร์ที่สมบูรณ์แบบ คือไม่มีอาการเสื่อมสภาพน่ะเอง) 

หลังจากนั้นโฮโจก็สร้างเซฟิรอธที่สมบูรณ์แบบขึ้นมา เขาได้รับการตอบแทนด้วยการแต่งตั้งให้เป็นหัวหน้าฝ่ายวิทยาศาสตร์ ส่วนฮอลันเดอร์ก็ตกกระป๋องไป

- ความแตกต่างระห่าง Project S, G อยู่ที่ช่วงเวลาในการฉีดเซลล์เจโนว่าเข้าไปในร่างกาย กับความเข้มข้นและความบริสุทธิ์ของเซลล์

เซฟิรอธนั้นได้รับเซลล์เจโนว่าตั้งแต่ตอนที่ยังเป็นตัวอ่อนในครรภ์ ส่วนแองจีลเกิดจากไข่ของจิลเลี่ยนที่มีเซลล์เจโนว่าอยู่แล้วในร่างกาย ขณะที่เจเนซิสได้รับเซลล์ของจิลเลี่ยน (ที่มียีนส์ของเจโนว่าอยู่) เข้าไปตั้งแต่ที่ยังเป็นตัวอ่อนในครรภ์ กล่าวโดยสรุปคือเซฟิรอธได้รับเซลล์ที่มีความบริสุทธิ์สูงตั้งแต่ระยะแรกของการพัฒนา ดังนั้นเขาจึงได้รับสืบทอดพลังของเจโนว่ามาอย่างดีที่สุด

- สาเหตุที่จิลเลี่ยนพูดว่าเจเนซิสไม่ฆ่าเธอหรอก เป็นเพราะเจเนซิสได้ยินมาจากฮอลันเดอร์ว่าเขาจำเป็นต้องได้รับความช่วยเหลือจากจิลเลี่ยน หากคิดที่จะรักษาอาการเสื่อมสภาพให้ได้ เจเนซิสเองได้ไปขอร้องให้จิลเลี่ยนมาร่วมมือกับเขา หรืออย่างน้อยก็ช่วยยับยั้งการเสื่อมสภาพให้เขา แต่จากที่จิลเลี่ยนได้มารู้ในภายหลังว่าเจโนว่าไม่ใช่ชนเผ่าโบราณ เธอจึงรู้สึกว่าตัวเองคิดผิดที่ร่วมมือทำการทดลองนั้นไป เธอก็เลยปฏิเสธเจเนซิสไป (ในเกมบอกว่ามีแต่พวกหัวกะทิของฝ่ายวิทยาศาตร์ที่รู้ว่าเจโนว่าไม่ใช่ชนเผ่าโบราณ)

หลังจากจิลเลี่ยนฆ่าตัวตายไปแล้ว ฮอลันเดอร์จึงกลายเป็นความหวังเดียวที่จะช่วยเจเนซิสยับยั้งการเสื่อมสภาพได้ แต่เรื่องที่ว่าถ้าจิลเลี่ยนยังอยู่เธอจะสามารถแก้ไขอาการเสื่อมสภาพได้รึเปล่านั้น ขอเก็บไว้เป็นความลับ

ความช่วยเหลือที่ฮอลันเดอร์ต้องการจากจิลเลี่ยนไม่ใช่เรื่องที่ว่าฮอลันเดอร์ต้องการยีนส์ของเธอ แต่เขาต้องการภูมิปัญญาและความรู้ของเธอ ท้ายที่สุดฮอลันเดอร์ก็ไม่ได้รับข้อมูลอะไรเลยจากจิลเลี่ยน เขาจึงต้องหันมาวิจัยหาทางแก้ไขอาการเสื่อมสภาพด้วยตัวเอง


ส่วนที่ 3 - บาโนล่า

- หลังจากที่ชินระได้ค้นพบการมีอยู่ของสิ่งที่เรียกว่ามาโค พวกเขาก็ตะลอนๆ หาสถานที่ขุดมาโคไปทั่วทุกมุมโลก แรกเริ่มก่อนที่จะมีหมู่บ้านบาโนล่าเกิดขึ้นมา พื้นที่แห่งนั้นก็เคยเป็นที่ๆ ชินระจะใช้เป็นที่ขุดหามาโคนั่นเอง ชินระนั้นต้องการที่จะปิดเรื่องที่ตนมาขุดหามาโคไม่ให้ใครรู้ ก็เลยทำการสร้างหมู่บ้านบังหน้าเพื่อให้คนทั่วไปเข้าใจว่าชินระแค่เข้าไปสร้างหมู่บ้านแห่งใหม่ ต่อมาก็ได้แต่งตั้งและมอบหมายให้บอร์ดบริหารของเมืองเป็นผู้ดูแลแทน ภายหลังจากที่ชินระได้เลิกให้ความสนใจในหมู่บ้านแห่งนี้ ตัวหมู่บ้านก็ไม่อยู่ใต้การควบคุมของชินระอีกต่อไป

- หลังจากนั้นเจโนว่าโปรเจคท์ก็เริ่มต้นขึ้น เจโนว่าโปรเจคท์ G ประสบความล้มเหลว จิลเลี่ยนที่อยากตีจากชินระจึงหนีออกไปพร้อมกับแองจีล แต่ก็ถูกจับตัวได้ พวกเขาถูกส่งไปหมู่บ้านบาโนล่า และถูกจับตาดูอยู่อย่างลับๆ ในช่วงเดียวกันเจเนซิสก็ถูกพาตัวมาอยู่กับพ่อเลี้ยงแม่เลี้ยงที่บาโนล่า และถูกจับตาดูอยู่อย่างลับๆ เหมือนกัน

- เมื่อเจเนซิสโตขึ้นเขาได้พบกับเหมืองมาโคใต้ดินที่ชินระเคยมาขุดไป ก็เลยอาศัยที่แห่งนั้นเป็นฐานทัพลับ และสถานที่เล่นของเขา

- ก่อนที่แซ็คจะถูกส่งไปที่หมู่บ้านบาโนล่า เจเนซิสและฮอลันเดอร์ได้ช่วยกันเปลี่ยนหมู่บ้านเป็นฐานสำหรับสร้างพวกร่างก็อปปี้ไปแล้ว ฮอลันเดอร์เองได้ใช้ที่แห่งนั้นทำการวิจัยของเขา โดยในเกมเราจะพบคุกใต้ดิน ห้องทดลองใต้ดิน...(ซึ่งผมเห็นข้อความที่เขียนไว้ที่ผนักคุกว่า ตอนแรกมีคนชวนมาบอกว่ามีงานยาม เงินงามๆ ให้ทำ แต่มาแล้วดันโดนหลอกถูกจับให้มาเป็นมนุษย์ทดลองซะงั้น)

- หลังเจเนซิสต่อยกับแซ็คที่โมเดโอไฮม์ เขาก็กลับมาจนตรอกอยู่ที่บาโนล่าเหมือนเดิม แล้วก็พยายามใช้ที่นี่เป็นแหล่งฐานทัพสำหรับสร้างร่างก๊อปปี้เรื่อยไป

- ว่าไปแล้วหมู่บ้านบาโนล่าก็เหมือนตู้เย็นตู้นึง ที่เอาไว้กักตัวพวกที่มีความเกี่ยวข้องกับ Project G ไว้รวมๆ กัน

- ที่ในเกมบอกว่ามีการส่งเงินสงเคราะห์ให้หมู่บ้านี้อย่างลับๆ ก็เพื่อใช้ปิดปากเรื่องที่ชินระมาขุดมาโค เรื่องที่ทำการทดลองมนุษย์ รวมทั้งเป็นค่าจ้างในการควบคุมดูแลจิลเลี่ยน เจเนซิส และแองจีลด้วย

- ชาวบ้านทั่วไปจะไม่รู้ว่าทั้งสามคนนั้นมีความเกี่ยวข้องกับชินระ คนที่รู้ก็แค่พ่อเลี้ยงแม่เลี้ยงของเจเนซิส แล้วก็ผู้ดูแลเมืองเท่านั้น

- สำหรับแองจีลกับเจเนซิส พวกเขาไม่รู้เรื่องชาติกำเนิดของตัวเองอยู่แล้ว ความลับจึงไม่มีทางรั่วจากสองคนนี้ได้แน่ ส่วนกรณีของจิลเลี่ยน ชินระพยายามจ่ายเงินเป็นค่าปิดปากให้เธอแต่เธอกลับปฏิเสธ เธอคิดว่าการที่เธอมีส่วนร่วมกับการทดลองนั้นถือเป็นเรื่องที่ผิดพลาดในชีวิตของเธอ เธอจึงพยายามตีห่างจากชินระ เธออยากจะลืมอดีตที่ว่าเธอเคยเป็นนักวิทยาศาสตร์ของชินระและเรื่องความลับในชาติกำเนิดของแองจีล เธอจึงเลือกที่จะปิดบังเรื่องนี้ด้วยตัวเธอเอง กระทั่งพ่อเลี้ยงของแองจีลก็ไม่ได้รู้เรื่องนี้ แม้ว่าพ่อของแองจีลจะเป็นคนจริงจังแต่เขาไม่ค่อยแข็งแรงซักเท่าไหร่ เรื่องนี้ส่งผลกระทบให้เขาหาเงินมาเลี้ยงครอบครัวไม่ได้มาก กระนั้นจิลเลี่ยนก็ยังเลือกที่จะไม่รับเงินค่าปิดปากจากชินระ

- สำหรับเด็กที่เกิดขึ้นจากโปรเจคท์ G มีเพียงเจเนซิสและแองจีลสองคนเท่านั้นที่มีชีวิตรอดจนโตเป็นผู้เป็นคนได้ การที่พ่อเลี้ยงของเจเนซิสได้รับมอบหมายให้จับตาดูเจเนซิส เขาจึงต้องติดต่อกับชินระอยู่เสมอ จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่เจเนซิสจะถูกยัดส่งให้ไปร่ำเรียนวิชากับชินระ แต่กระนั้นไปๆ มาๆ พ่อเลี้ยงแม่เลี้ยงของเขาก็เลือกที่จะให้ข้อมูลเท็จกับชินระเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของเจเนซิสเอง

- ทางด้านกิลเลี่ยนที่คิดจะตัดขาดจากชินระ เธอไม่อนุญาตให้แองจีลไปเข้าโปรแกรมฝึกพิเศษเพื่อเตรียมเป็นโซลเยอร์โดยเด็ดขาด กล่าวโดยสรุปแล้วทั้งแองจีลและเจเนซิสต่างก็ไม่ได้รับการฝึกพิเศษเพื่อให้เป็นโซลเยอร์แต่อย่างใด ทว่าด้วยยุทธวิธีในการประชาสัมพันธ์ข้อมูลของชินระ พวกเขาจึงสามารถทำให้คนทั่วไปคิดว่าชินระทำให้ชีวิตทุกคนดีขึ้น โซลเยอร์เป็นพวกของประชาชนและต่อสู้เพื่อปกป้องความสงบสุข ดังนั้นไม่เฉพาะเจเนซิสและแองจีลเท่านั้น ยังมีชาวบาโนล่าอีกหลายคนที่ไปทำงานกับชินระ พวกเขาคิดว่านั่นจะทำให้พวกเขาประสบความสำเร็จในชีวิตได้

- ทางด้านเจเนซิสนั้น...หมอนี่หลงกระแสและกระโจนเข้าไปสมัครเป็นโซลเยอร์ก่อนใครเพื่อน แองจีลในฐานะเพื่อนสนิทก็สมัครตามๆ กันไป

- ส่วนเรื่องเหมืองไลฟ์สตรีมและคุกใต้ดินนั่น อย่างที่บอกไปแล้วว่าเจเนซิสไปเจอเข้าโดยบังเอิญในตอนเด็กๆ แต่พอเจเนซิสไปร่วมมือกับฮอลันเดอร์ เขาก็แนะนำสถานที่นี้ให้เหล่ากบฎใช้เป็นฐานทัพ ฮอลันเดอร์ได้เริ่มทำการทดลองมนุษย์ที่นั่นเพื่อใช้สร้างกองทัพต่อต้านชินระ

- ฉากที่เจเนซิสจะฆ่าฮอลันเดอร์ที่โมเดโอไฮม์ เขาพยายามจะให้ฮอลันเดอร์รักษาอาการเสื่อมสภาพให้เขาอยู่นาน แต่ฮอลันเดอร์มันก็ไม่ยอมทำตามที่สัญญาไว้ซักที เมื่อเจเนซิสคิดว่าเป้าหมายของเราต่างกัน ในเมื่อฮอลันเดอร์คิดแต่จะล้างแค้นอย่างเดียวงั้นก็ม่องไปซะเถอะ


สรุปอีกรอบกันไม่ให้สับสน

- แองจีลและเจเนซิสเกิดที่ชินระ แต่โตมาที่หมู่บ้านบาโนล่า

- จิลเลี่ยนเป็นแม่แท้ๆ ของแองจีล ส่วนพ่อที่เลี้ยงดูแองจีลมา (ที่เป็นคนสร้างบัสเตอร์ซอร์ดให้) เป็นพ่อเลี้ยง จริงๆ แล้วพ่อแท้ๆ ของแองจีลก็คือฮอลันเดอร์

- ไม่มีการปรากฏชื่อพ่อแม่ของเจเนซิส เรารู้เพียงว่าเขาถูกส่งมาอยู่กับพ่อเลี้ยงแม่เลี้ยงที่บาโนล่า


ส่วนที่ 4 - ฮอลันเดอร์และกองทัพเจเนซิส

- ฮอลันเดอร์ได้กล่าวไว้กับเจเนซิสว่ากระทั่งโฮโจก็ไม่รู้หรอกว่าเซลล์เจโนว่าถูกเก็บซ่อนไว้ที่ไหน เรื่องสถานที่เก็บเซลล์เจโนว่านี่เป็นข้อมูลที่ชินระพยายามปกปิดเป็นความลับ จริงๆ แล้วโฮโจรู้ที่อยู่ของเซลล์ แต่ข้อเท็จจริงที่ว่าโฮโจรู้ที่ซ่อนก็ถูกปิดเป็นความลับเหมือนกัน สรุปว่าฮอลันเดอร์เข้าใจผิดน่ะเอง

- เจเนซิสเริ่มคิดถึงการออกตามหาเซลล์เจโนว่าอย่างจริงจังก็หลังจบเหตุการณ์ที่โมเดโอ้ไฮม์ ช่วงนั้นตัวเขาเองเอาแต่นั่งแสตนด์บายอยู่ที่ฐานและก็ควบคุมการผลิตร่างก๊อปปี้ไปพลางๆ ตัวเขาเองไม่ได้เคลื่อนไหวอะไร เวลาผ่านไปจนถึงช่วงที่แซ็คพักผ่อนอยู่ที่คอสต้าเดลโซล เจเนซิสก็สร้างกองทัพของเขาขึ้นมาจนเสร็จสมบูรณ์ เขาส่งร่างก๊อปปี้ออกไปตามหาเซลล์เจโนว่าในสถานที่ต่างๆ ทั่วโลก การบุกเข้าโจมตีสถานที่ต่างๆ นั้นเป็นการทำให้ชินระเขว จะได้ไม่รู้ถึงจุดประสงค์ที่แท้จริงของเจเนซิส ขณะเดียวกันก็เป็นการดึงกองกำลังของชินระให้ต้องแยกไปทำภารกิจต่างๆ ทั่วโลกด้วย

ส่วนที่ 5 - เรื่องของแองจีล

- สำหรับแองจีลแล้ว พ่อของเขาก็คือชายที่จิลเลี่ยนพบหลังจากที่เธอถูกส่งตัวมาที่หมู่บ้านบาโนล่าพร้อมกับแองจีล หลังจากนั้นเธอก็สมรสกับเขา จิลเลี่ยนได้ปิดบังความจริงเรื่องชาติกำเนิดของแองจีลและเรื่องการทดลองไม่ให้สามีของเธอรู้ แองจีลตอนนั้นยังเด็กจึงจำเรื่องพวกนี้ไม่ได้ เขาจึงเข้าใจว่าพ่อที่เลี้ยงเขามาเป็นพ่อแท้ๆ ส่วนความสัมพันธ์ระหว่างฮอลันเดอร์กับจิลเลี่ยน ว่ามีความสัมพันธ์กันแบบคู่รัก หรือเป็นเพื่อนร่วมงานที่แค่เตรียมไข่และครรภ์ให้เพื่อการทดลอง เรื่องนั้นเป็นความลับ

- ตอนที่แองจีลปฏิเสธไม่ให้เซฟิรอธบริจาคเลือดให้กับเจเนซิส นั่นไม่ใช่เพราะแองจีลรู้เรื่องชาติกำเนิดของเจเนซิส แต่แองจีลทำไปในนามของสุภาพบุรุษที่อยากเป็นคนช่วยเหลือเพื่อนฝูงเอง การที่ฮอลันเดอร์บอกว่าเซฟิรอธถ่ายเลือดให้เจเนซิสไม่ได้ แองจีลไม่รู้ว่าที่ฮอลันเดอร์เลือกเขาเพราะเขาเป็นโซลเยอร์ประเภท G ซีรียส์ แต่เขาคิดแค่ว่าเซฟิรอธคงมีปัญหาบางอย่าง ทำให้ถ่ายเลือดไม่ได้


ส่วนที่ 6 - เรื่องของเจเนซิส

- หลังจากเจเนซิสเกิดมาแล้ว ชินระก็ส่งเขาไปให้เจ้าของที่ดินของหมู่บ้านบาโนล่าเลี้ยงดู เจ้าของที่นั้นได้รับหน้าที่ให้คอยสังเกตดูพฤติกรรมและการเติบโตของเจเนซิส ทว่าเมื่อเวลาผ่านไปหลายปี การได้ใช้ชีวิตร่วมกันก็ทำให้เจ้าของที่ดินนั้นรู้สึกรักเจเนซิสเหมือนกับลูกแท้ๆ จริงๆ ตัวเขานั้นคิดที่จะทรยศ ให้ข้อมูลเท็จกับชินระเพื่อปกป้องเจเนซิสด้วยซ้ำ (ในเกมพอลาซาร์ดติดต่อไปว่าเจเนซิสอยู่ที่บาโนล่ารึเปล่า พวกเขาก็โกหกว่าเปล่า) อย่างไรก็ตาม น่าเสียดายที่ความรักและความจริงใจนี้ไม่ได้ถูกส่งผ่านเข้าไปในหัวใจของเจเนซิสแม้แต่น้อย เมื่อเจเนซิสรู้เรื่องชาติกำเนิดของตัวเอง และรู้ว่าผู้ที่เลี้ยงดูเขามาเป็นแค่คนที่ถูกสั่งให้ทำหน้าที่คอยจับตาดูเขา เขาจึงฆ่าพ่อเลี้ยงแม่เลี้ยงของเขาทิ้ง

- เป้าหมายของเจเนซิสก็คือการรักษาอาการเสื่อมสภาพของตนเอง เขาได้พยายามค้นหาวิธีหลายๆ วิธีเพื่อรักษาอาการเจ็บป่วยของตน ในตอนท้ายเขาคิดว่าเขาคงไม่สามารถเอาเซลล์ของคลาวด์ออกมาได้ แถมฮอลันเดอร์ก็ดันมาตายไปซะอีก เจเนซิสจึงได้พยายามตีความหมายของบทกลอนใน Loveless เพื่อหาว่าแท้จริงแล้วของขวัญจากเทพธิดาคืออะไร แล้วเขาก็ได้ความว่าผิวน้ำในบทกลอนนั้นต้องหมายถึงไลฟ์สตรีมแน่ๆ แสดงว่าของขวัญจากเทพธิดามันต้องเกี่ยวข้องกับไลฟ์สตรีม เขาจึงหันไปขอความช่วยเหลือจากไลฟ์สตรีมแทน


- ต้นฉบับบทสุดท้ายของ Loveless นั้นเป็นสิ่งที่สูญหายกระจัดกระจายไปก่อนที่จะมีการตีพิมพ์ มันจึงไม่มีอยู่จริงบนโลกของ FFVII มีผู้เชี่ยวชาญมากมายพยายามสร้างทฤษฎีเกี่ยวกับตอนจบของ Loveless ขึ้นมา ซึ่งก็รวมถึงเจเนซิสด้วย คำกล่าวในตอนจบที่เป็นฉากกระดาษปลิวไปปลิวมา นั่นคือบทสรุปของวรรณกรรม Loveless ตามทฤษฎีของเจเนซิส

- การได้ต่อสู้กับแซ็คและพ่ายแพ้อย่างสมศักดิ์ศรี ทำให้เจเนซิสรู้สึกว่าเขาได้รับความภาคภูมิใจในฐานะของโซลเยอร์คนหนึ่งกลับคืนมา หลังจากนั้นเขาก็เริ่มคิดว่าในเมื่อเซฟิรอธและแองจีลตายไปแล้ว ก็เหลือแต่เขาเพียงคนเดียวที่จะสามารถปกป้องโลกใบนี้ต่อไปได้ และเพื่อการเตรียมพร้อมสำหรับวันที่วิกฤตจะมาเยือนโลกอีกครั้ง เจเนซิสก็ได้ผนึกตัวเขาเองอยู่ในห้องลับด้วยความตั้งใจของตัวเขาเอง การที่เขาจะผนึกตัวเองนี่ก็คือความหมายที่แท้จริงของตอนจบ Loveless ในทฤษฎีของเจเนซิสน่ะเอง และนี่ก็คือความหมายที่แท้จริงของตอนจบภาค DC ด้วย


ส่วนที่ 7 - G SOLDIER

- ใน G Report ของภาค Dirge of Cerberus ได้กล่าวถึงโซลเยอร์ตัวอันตรายไว้ 2 คน หนึ่งคือเซฟิรอธผู้เข้มแข็งและเป็นโซลเยอร์ผู้น่าสะพรึงกลัวที่คิดจะทำลายล้างสรรพชีวิตบนโลกใบนี้ อีกหนึ่งคือเจเนซิสผู้ที่เลือกจะผนึกตัวเองเพื่อรอคอยวันเวลาที่จะฟื้นขึ้นมาพิทักษ์โลก

- จากการที่เจเนซิสได้เคยนำกองทัพก่อจลาจลในพื้นที่ต่างๆ ทั่วโลกมาก่อน ทางบริษัทชินระจึงได้พยายามที่จะปิดบังความสัมพันธ์ระหว่างตนกับเจเนซิสไม่ให้ใครรู้ ฉะนั้นข้อมูลทั้งหมดของเจเนซิสจึงถูกเก็บเป็นความลับสุดยอด กระทั่งชื่อของเจเนซิสก็ยังถูกห้ามเรียกห้ามใช้ ทว่านักวิทยาศาสตร์บางคนที่รู้ถึงข้อมูลเรื่องนี้ก็ได้เขียนบันทึกขึ้นมาและใช้อักษร G เรียกแทนชื่อของเจเนซิส จะว่าไปก็เหมือนที่พวกไวส์ เนโร่ รอสโซ่ อาซูล เชลค์ อาร์เจนโตะ ถูกเรียกขานด้วยชื่อของสี


- กลุ่ม DGS นั้นมีอยู่มากมาย แต่เฉพาะคนที่ได้รับยีนส์ของเจเนซิสเข้าไปเท่านั้นที่จะเข้าร่วมกลุ่ม Tsviet และได้รับการขนานนามด้วยชื่อของสี

- คำว่าพี่ชายที่ไวส์ใช้เรียกเจเนซิส หมายถึงหากว่าไวส์ได้รับยีนส์ของเจเนซิสเข้าไปในร่างกาย เซลล์ของพวกเขาก็จะมีความสัมพันธ์ระหว่างกัน และนั่นก็ทำให้พวกเขาเป็นเสมือนพี่น้องกันได้ ส่วนที่ไวส์พูดว่าเขาจะยอมรับชะตากรรมของเขาได้มั้ย แปลว่าเจเนซิสจะยอมร่วมมือกับพวกไวส์รึเปล่า ซึ่งคำตอบก็เป็นไปตามที่กล่าวไว้ในส่วนที่ 6 ว่าเจเนซิสปฏิเสธและเลือกที่จะผนึกตัวเองอยู่ในใต้ดินของเมืองมิดการ์แทน

- คนที่เล่นเฉพาะภาค DC อาจเข้าใจฉากจบลับในทำนองว่า "วายร้ายหลุดจากการผนึกออกมาคุกคามโลกอีกแล้วเหรอเนี่ย!!" แต่ถ้าได้ลองกลับไปดูฉากนั้นอีกครั้งหลังจากที่เล่นภาค CC จบแล้ว พวกเขาคงต้องตีความฉากจบนั่นไปในทางตรงกันข้ามกันเลยทีเดียว


ส่วนที่ 8 – ลาซาร์ด

- ลาซาร์ดเป็นลูกที่เกิดจากประธานชินระกับหญิงสาวในสลัม การที่ประธานชินระได้ทอดทิ้งแม่ของเขาจึงเป็นเหตุให้ลาซาร์ดโกรธเกรี้ยวประธานชินระมาก ลาซาร์ดได้เข้าร่วมบริษัทชินระและหาโอกาสที่จะแก้แค้นประธานให้จงได้ ความแค้นในเรื่องของชาติกำเนิดนี้เป็นแรงจูงใจที่ทำให้เขาตัดสินใจร่วมมือกับฮอลันเดอร์ 

- ลาซาร์ดนั้นต้องการจะแก้แค้นให้กับแม่ที่ถูกทอดทิ้ง ทว่าในช่วงแรกลาซาร์ดเองก็ยังไม่มีแผนการใดๆ เขาคิดว่าบางที่เขาอาจใช้อำนาจของเขาสั่งการโซลเยอร์ในทางใดทางหนึ่งที่เอื้อประโยชน์ให้ได้ และบ่อยครั้งเขาก็เข้าไปเยี่ยมดูแผนกวิทยาศาสตร์ ตอนนั้นเองที่เขาได้พบกับฮอลันเดอร์ที่กำลังเศร้าซึมเหมือนคนเอนท์ไม่ติด และทั้งสองก็ได้เริ่มรู้จักกัน

ต่อมาในช่วงที่เจเนซิสได้รับบาดเจ็บ และฮอลันเดอร์ได้ค้นพบปรากฏการณ์การโคลนซ้ำ เขาก็ได้เล่าเรื่องนี้ให้ลาซาร์ดฟัง ลาซาร์ดฟังแล้วก็ปิ๊งไอเดียขึ้นมาและตัดสินใจที่จะให้ฮอลันเดอร์เข้าร่วมแผนแก้แค้นชินระ พร้อมทั้งอธิบายแผนของเขาให้ฮอลันเดอร์ฟัง สรุปแล้วต้องบอกว่าทั้งสองฝ่ายต้องก็มีความเห็นพ้องต้องกันและต้องการกันและกันในการล้างแค้นชินระนั่นเอง

- ที่ยุฟฟี่บอกว่ามีคนผมทองเอาแผนที่ซ่อนสมบัติของฝ่ายต่างๆ ในชินระรวมทั้งเมลล์แอดเดรสของโซลเยอร์ทุกคนมาให้โกโด้ เราอาจสับสนว่าเธอหมายถึงรูฟัสหรือลาซาร์ดกันแน่ เป็นประเด็นที่เก็บให้ผู้เล่นไปจินตนาการกันเอง


ที่มา : FFVII 10th Retrospective

http://ultimania.ff7compilation.net/ff7cc/scenario.php

Monday, March 17, 2008

จบ Ring of Fates แล้วจ้า~

(คัดลอกจากบทความที่เขียนขึ้นครั้งแรกเมื่อ 17 มี.ค. 2008 บน Exteen)

-------------------------------------------------------------------------

เป็นธรรมเนียมของผมนะครับที่พอจบเกมอะไรก็ตามที่มันเกี่ยวข้องกับ Square Enix แล้ว ผมต้องขอจับจองพื้นที่ส่วนหนึ่งบนโลกไซเบอร์มาเป็นที่ระบายความอัดอั้นใจ ว่าทำไมเกมมันถึงต้องจบแบบนู้น ทำไมมันถึงไม่เป็นแบบนี้ และตัวผมเองประทับใจอะไรกับเกมมากน้อยแค่ไหน

มาในวันนี้ก็ถึงคิวของเกม FFCC -Ring of Fates- ภาคอเมริกาที่ผมพึ่งจะเล่นจบไปตอน 6 โมงเช้าที่ผ่านมานี้เอง

แต่เดิมผมเคยเล่นตัวเกมภาคภาษาญี่ปุ่นของเกมนี้มาแล้ว และไม่ค่อยประทับใจกับระบบการเล่นและเนื้อเรื่องเท่าไหร่นัก มาในภาคอเมริกานี้เมื่อผมเข้าใจเนื้อเรื่องมากขึ้น เข้าถึงสิ่งที่ตัวละครต้องการจะบอกเรามากขึ้น ผมก็ซาบซึ้งและอินไปกับตัวเกม ซึ่งปัจจัยเหล่านี้เป็นสิ่งที่ทำให้ผมรู้สึกชอบในตัวเนื้อเรื่องของมันมากขึ้น อย่างไรก็ดีในส่วนของฉากจบที่ผมไม่ชอบ ยังไงผมก็ยังไม่ชอบอยู่เช่นเคย....


เนื้อเรื่องของเกมเป็นเรื่องของการต่อสู้ระหว่าง พลังแห่งคริสตัล กับ พลังแห่งดวงจันทร์ โดยหัวหน้าของฝ่ายตัวร้ายที่เป็นพระเจ้าแห่งดวงจันทร์นั้นได้รับพลังจากสุริยคราสมา ทำให้เขาสามารถควบคุม space & time ได้ เขาสามารถที่จะส่งใครไปอยู่ในช่วงเวลาไหนก็ได้ มิติไหนก็ได้ หรือแม้แต่จะส่งไปยังโลกคู่ขนานที่คล้ายคลึงกับโลกที่เราอยู่ก็ทำได้

เป้าหมายของจอมมารกัลเดสผู้เป็นพระเจ้าแห่งดวงจันทร์ ก็คือการเข้าครอบงำพลังแห่งคริสตัลที่เป็นต้นกำเนิดพลังของโลก

คริสตัลในภาคนี้ก็เปรียบเสมือนไลฟ์สตรีมของ FFVII หรือเกรทสปิริตของชาแมนคิง ทุกสรรพสิ่งบนโลกล้วนเกิดมาจากคริสตัล และต้องกลับคืนสู่คริสตัล คริสตัลเป็นที่รวบรวมความทรงจำของดวงดาว ประวัติศาสตร์ของมวลมนุษยชาติ และยังรวบรวมพลังงานทั้งหมดของโลกไว้ ฉะนั้นหากจอมมารกัลเดสสามารถเอาพลังของคริสตัลมาเป็นของตนได้ เขาก็จะมีพลังไร้ขีดจำกัดและสามารถสร้างโลกแบบไหนขึ้นมาก็ได้ ทำให้จักรวาลและมิติเวลาทั้งหมดตกเป็นของเขาก็ยังได้

ในเรื่องจะมีการกล่าวถึงมนุษย์ผู้สามารถใช้พลังของคริสตัลได้ ซึ่งในเกมได้บอกเอาไว้เพียงสามคนเท่านั้นคือ ทิลลิก้า (ลูกของกษัตริย์โคลก้า) , อัลเลเรีย (แม่ของยูริและเชลินก้า) และสุดท้ายก็คือตัวเชลินก้า ที่เป็นนางเอกและเป็นพี่น้องฝาแฝดกับยูริ ผู้เป็นพระเอกของเรื่องน่ะเอง

ทิลลิก้ากับอัลเลเรียนั้น ได้ถูกลูกน้องของกัลเดสจับตัวไปใช้งาน ทว่าการใช้งานคริสตัลนั้นก็จะส่งผลข้างเคียงกับผู้ใช้ในรูปแบบต่าง ๆ แต่ที่แน่ๆ ก็คือทำให้อายุไขของคนผู้นั้นหดสั้นลง เรื่องนี้เป็นเรื่องที่กล่าวไว้ในหลักแห่งความเท่าเทียมกันที่เพื่อนของยูริมักจะพูดถึงบ่อย ๆ แน่นอนว่าทิลลิก้าและอัลเลเรียได้ถูกบังคับให้ใช้พลังของคริสตัลมากจนเกินไป สุดท้ายร่างกายของทั้งสองก็ทนไม่ไหวและก็เสียชีวิตลง ดังนั้นในตอนท้ายเรื่องคนที่มีพลังแห่งคริสตัลที่จะต่อกรกับกัลเดสได้จึงเหลือแค่เชลินก้าคนเดียว

ในตอนสุดท้ายของเรื่อง ยูริ เชลินก้า แนช มีธ อัล และกองทัพของกษัตริย์โคลก้าได้บุกเข้าไปในวิหารของจอมมารกัลเดสด้วยกัน พวกเราช่วยกันสู้กับมันจนกระทั่งเวลาแห่งการเกิดสุริยคราสมาถึง กัลเดสได้รับพลังแห่งดวงจันทร์เพิ่มขึ้นจากการเกิดสุริยคราส ซึ่งนั่นทำให้เขามีความสามารถพิเศษในการส่งใครหน้าไหนเข้าไปอยู่ในโลกคู่ขนานแบบใดก็ได้

ทันทีที่ได้รับพลังอำนาจใหม่ กัลเดสก็ส่งพวกเราทุกคนมาอยู่ในโลกคู่ขนานใบใหม่ พวกเราถูกส่งไปอย่างกระจัดกระจายแยกย้ายกันอยู่คนละที่ แต่สุดท้ายทุกคนก็สามารถกลับมารวมตัวกันได้จากการพูดคุยกับชาวบ้านในโลกนี้เราถึงได้รู้ว่านี่เป็นโลกที่ประวัติศาตร์ได้เปลี่ยนแปลงไป คือหลังจากที่กษัตริย์โคลก้าได้บุกเข้าไปวิหารแล้วก็ถูกกัลเดสฆ่าตาย บัดนี้กัลเดสจึงเป็นผู้ปกครองอาณาจักรเรเบน่าเทร่าแทน ยูริบอกว่าเขาไม่ชอบโลกใบนี้เลย ว่าแล้วยามของวิหารก็มาเรียกพวกยูริ โดยบอกว่าพระราชาคณะกัลเดสรอเราอยู่ในวิหาร

เมื่อเราเข้าไปในวิหารแล้วก็พบกัลเดสที่ยืนจังก้ารอจัดการกับพวกยูริอยู่ กัลเดสเลือกจะจัดการยูริด้วยวิธีเบสิคที่สุดเท่าที่พลังของเขาจะทำได้ นั่นก็คือการส่งยูริไปยังโลกคู่ขนานที่มีแค่ยูริอยู่เพียงคนเดียว เพราะเขาเชื่อว่ามนุษย์เราถ้าอยู่ตามลำพังคนเดียวหัวเดียวโด่เด่ก็คงจะทำอะไรไม่ได้แล้ว แถมยังจะเปล่าเปลี่ยวใจหว้าแหว่จนประสาทกินอีกแหงๆ ทว่าเหตุการณ์ดันไม่เป็นอย่างที่กัลเดสคิด เพราะไม่ว่าเขาจะส่งยูริไปยังโลกคู่ขนานไหนๆ กลับไม่มีโลกใบไหนเลยที่มียูริอยู่เพียงลำพัง ไม่ว่าจะโลกใบไหน พอเห็นยูริก็ต้องเห็นเชลินก้าอยู่คู่กันตลอดเวลา

ว่ากันว่าการไปยังอนาคตนั้นอาจจะมีเส้นทางหลายเส้นทางให้คนเราได้เลือกเดิน แต่หากปลายทางของทุกเส้นทางกลับย้อนไปบรรจบที่อนาคตแบบเดียวกัน เราจะเรียกอนาคตดังกล่าวว่านั่นคือโชคชะตาของคนๆ นั้น

กรณีของยูริกับเชลินก้าเองก็เช่นกัน พวกเขามีโชคชะตาที่จะได้อยู่ด้วยกันตลอดไป ไม่ว่าจะโลกใบไหน ไม่ว่าจะเวลาใด ทั้งสองก็จะมีโชคชะตาที่จะได้อยู่ด้วยกันตลอดไป นี่ก็คือ Ring of Fates ของสองคนนี้

ดังนั้นไม่ว่าจอมมารกัลเดสจะส่งศัตรูหมายเลขหนึ่งอย่างยูริไปยังโลกคู่ขนานใบไหน กัลเดสก็ต้องต๊กกะใจที่โลกใบนั้นต้องมีเชลินก้าอยู่ด้วยตลอด พูดในทางกลับกันคือไม่มีโลกคู่ขนานใบไหนเลยที่ยูริและเชลินก้าจะไม่ได้อยู่ด้วยกัน

เมื่อวิธีการเบสิคใช้ไม่ได้ผลกับยูริแล้ว กัลเดสเลยต้องเปลี่ยนมาใช้วิธีโหด... ในเมื่อไม่มีโลกไหนที่เหมาะสมที่จะส่งยูริไปปล่อยเกาะ งั้นเขาก็จะกำจัดยูริและพรรคพวกให้หายไปจากโลกทุกใบซะ เพื่อที่โลกนี้จะได้ไม่มีคนคอยขัดขวางเขาอีกต่อไป

ผลจากการรุมกระทืบแบบ 5 ต่อ 1 ....ปรากฏว่าจอมมารกัลเดสแบนแต๊ดแต๋เพราะเจอพวกยูริช่วยกันรุมเหยียบซะไม่เหลือมาดจอมมาร

หลังจากที่ยูริสามารถเอาชนะจอมมารกัลเดสได้ ก่อนที่กัลเดสจะทำการส่งตัวเองหนีไปยังโลกคู่ขนานใบอื่น เชลินก้าก็ฝืนสังขารด้วยการใช้พลังของเธอหยุดเวลาลงซะเพื่อปรึกษากับยูริว่าจะเอายังไงกับหมอนี่ดี และยูริอยากจะอยู่ในโลกใบนี้ต่อไปมั้ย? 

เมื่อถึงเวลาที่ต้องคิดว่าจะจัดการยังไงกับจอมมาร ถ้าเป็น FF ภาคทั่วๆ ไปพระเอกของเราก็คงจะจัดการฆ่าหั่นศพและจับจอมมารโยนลงน้ำและกดชักโครกทิ้งไปอย่างไม่มีเยื่อใย ทว่า FF ภาคนี้ไม่สามารถทำแบบนั้นได้ เพราะภาคนี้คาแรคเตอร์ที่มีชื่อว่ายูริ ถูกออกแบบให้เป็นคนที่มีจิตใจบริสุทธิ์...ต่อสู้เพื่อปกป้องผู้คน ไม่ใช่ต่อสู้เพื่อแก้แค้น ดังนั้นคำตอบที่ยูริเลือกก็คือการจองจำจอมมารกัลเดสไว้ซะ...

แต่ไอ้ครั้นจะไปฝากขังไว้ที่เรือนจำ...ก็คงไม่มีเรือนจำที่ไหนกลัารับฝากขังจอมมารหน้าเหียกตนนี้ไว้ วันดีคืนนี้มันจะเรียกเมเทโอมาถล่มโลกอีกเมื่อไหร่ก็ไม่มีใครทราบ ในโลกที่ใช้เวทมนต์ได้แบบนี้การกักขังคนที่ใช้เวทมนต์ได้ไว้ในคุกจึงแทบไม่มีประโยชน์เลย

เมื่อคิดได้แบบนี้ยูริกับเชลินก้าจึงหาทางออกด้วยการใช้พลังของคริสตัล จองจำจอมมารกัลเดสไว้ในช่วงกาลเวลาหนึ่งตลอดไป

คือจอมมารกัลเดสได้ถูกกักขังอยู่ในวิหารของตัวเองและไม่สามารถออกไปยังโลกภายนอกได้ เมื่อเวลาผ่านไปถึงอนาคต เวลาก็จะวนย้อนกลับมาที่อดีตใหม่อีกครั้ง แล้วพอเวลาเดินหน้าไปเรื่อยๆ ก็จะวนย้อนกลับมาที่อดีตใหม่ซ้ำแล้วซ้ำเล่าไม่มีวันจบ กัลเดสจะต้องทนทุกข์กับการอยู่คนเดียวในวิหารของตนเองไปตลอดกาล นี่คือคำพิพากษาที่ยูริและเชลินก้ามีต่อกัลเดส นี่คือ Ring of Fates ที่ทั้งสองใช้พลังของคริสตัลกำหนดชะตากรรมของกัลเดสขึ้นมาน่ะเอง

คิดไปคิดมาแล้วก็ทรมานหลาย....ผมว่าไอ้การกักขังให้อยู่คนเดียวไปตลอดกาลเนี่ยน่ากลัวความตายเยอะเลย....คิดแล้วก็แอบสงสัยว่ายูริปากก็บอกไม่ได้แก้แค้น แต่จริงๆ แล้วหมอนี่รู้ดีแก่ใจอยู่แล้วรึเปล่าหว่าว่านี่เป็นวิธีแก้แค้นที่ชั่วร้ายที่สุดแล้ว

หลังจากที่ตกลงเรื่องของจอมมารกัลเดสไปได้....เชลินก้าก็ให้ยูริตัดสินว่าเขายังอยากอยู่ในโลกต่อไปนี้ต่อไปมั้ย ซึ่งแน่นอนว่ายูริไม่อยากอยู่ในโลกคู่ขนานใบนี้ที่มีจอมมารกัลเดสเป็นใหญ่แถมกษัตริย์โลก้าก็ตายอีกต่อไปแล้ว ยูริเชื่อว่าเชลินก้าคงรู้ดีว่าเขาต้องการโลกที่เป็นยังไง เพราะสิ่งที่เชลินก้าต้องการก็คือสิ่งที่ยูริต้องการ สุดท้ายยูริก็เอาแต่อ้ำๆ อึ้งๆ ไม่ได้ให้คำตอบอะไรและปล่อยให้เชลินก้าเป็นคนจัดการชีวิตหลังจากนี้ของพวกเขาเอง โดยก่อนที่จะออกจากมิติแห่งพระเจ้าที่เชลินก้าหยุดเวลาและพายูริเข้าไปปรึกษากันในนั้น เชลินก้าก็พูดทิ้งท้ายเอาไว้ว่า "แล้วเราจะได้พบกันใหม่ในไม่ช้า"

ทันทีที่กระแสเวลาเริ่มไหลเดินต่อเชลินก้าก็ยูริมายังโลกใบใหม่ ทั้งสองตื่นขึ้นบนยอดของวิหาร แต่แล้วทั้งสองก็เริ่มสังเกตความปกติของกันและกันได้ เชลินก้ากลายเป็นใบ้ ในขณะที่ยูริก็ไอแค่กๆ และก็แทบไม่มีแรงจะก้าวเท้าเดิน นี่คือผลข้างเคียงจากการที่ทั้งสองได้ใช้พลังของคริสตัลมากจนเกินไป จริงๆ แล้วแค่นี้ก็แย่พอแล้ว แต่เมื่อยูริหันซ้ายแลขวาก็ยิ่งพบข่าวร้ายยิ่งไปกว่านั้นคือ พวกอัล มีธ แนช...หายไปไหนกันหมด

พอออกมานอกวิหารแล้ว ยามเฝ้าวิหารจะถามยูริว่าพวกยูริลอบเข้าไปในวิหารได้ยังไง ไม่รู้รึไงว่าพึ่งจะเกิดการกบฎโดยพระราชาคณะขึ้นในวิหาร พระราชาคณะนั้นใช้คริสตัลทำให้ผู้คนสับสนและพยายามครอบงำประเทศ แต่ก็ถูกกษัตริย์โคลก้าที่มองแผนการณ์ทะลุจัดทัพอัศวินบุกตะลุยเข้าไปและสามารถปราบกบฎได้ ยูริได้ยินก็เข้าใจทันทีว่านี่เป็นโลกที่จอมมารกัลเดสได้ตายไปแล้ว แถมกษัตริย์โคลก้าก็ยังมีชีวิตอยู่ เขาก็เลยเริ่มรู้สึกดีใจขึ้นมา ยูริถามยามต่อว่าโลกใบนี้สงบสุขมั้ย ยามก็บอกว่าแน่นอนเพราะมีจอมราชันย์อย่างกษัตริย์โคลก้าผู้ปรีชาสามารถอยู่

จากนั้นยูริก็เดินเที่ยวไปในเมืองและได้พบกับอัล มีธ โดยอัลกับมีธนั้นกลับพูดจาเหมือนไม่รู้จักพวกยูริ พอสอบถามไปมาถึงได้ความจากอัลว่านี่เป็นโลกสมัยที่ดินแดนเรล่าเคลย์พึ่งล่มสลายไป เท่ากับว่าจริงๆ แล้วในเวลานี้พวกเขาจะต้องยังไม่เกิดขึ้นมา ดังนั้นจึงไม่แปลกที่อัลและมีธในโลกใบนี้จะไม่รู้จักพวกยูริ...แต่ในไม่ช้าหลังจากนี้พ่อและแม่ของยูริก็จะย้ายมาอาศัยอยู่ที่บ้านเกิดของพวกยูริ และได้ให้กำเนิดยูริและเชลินก้าขึ้นมา

ในช่วงนี้ถ้าเราไปเข้าเฝ้ากษัตริย์ยามจะบอกว่าไม่รู้จักเราและไม่ให้เข้า แต่พอยามรู้ว่าเราคือยูริและเชลินก้าเขากลับบอกว่าพระราชามีรับสั่งให้พาเราทั้งสองไปพบ ซึ่งยูริก็แปลกใจมากว่าทำไมในที่ไม่มีใครรู้จักพวกเขาเช่นนี้ทำไมกษัตริย์โคลก้าถึงรู้จักพวกเขาได้

เมื่อไปเขาเฝ้าพระราชาแล้ว โคลก้าจะยินดีที่เราสามารถเอาชนะกัลเดสได้ แต่ก็เสียใจด้วยที่ทั้งคู่ต้องตกอยู่ในสภาพไม่สมประกอบแบบนี้ ทั้งยังดุว่าได้เตือนแล้วไม่ใช่เหรอว่าไม่ให้ใช้พลังของคริสตัล ยูริถามราชาว่าทรงจำพวกเขาได้อย่างไร ซึ่งโคลก้าก็บอกว่าเขาเดาว่าพวกยูริคงถูกส่งมาจากโลกอื่น และโลกนี้ก็ไม่มีใครรู้จักพวกยูริสินะ โคลก้ากล่าวต่อว่าความทรงจำของเขาจะเหมือนกันในโลกคู่ขนานทุกๆ ใบ ราชวงศ์ของเขาเป็นราชวงศ์ที่มีพลังวิเศษที่เชื่อมโยงอยู่กับคริสตัล ถ้าเขาไปในความทรงจำแห่งคริสตัลก็จะพบตัวเขาที่มีความทรงจำเหมือนๆ กันในทุกๆ โลกน่ะแหละ

กษัตริย์ของเรายังคงเทศน์ยาวต่อไปว่าจอมมารกัลเดสอาจได้รับพลังจากดวงจันทร์แต่สายเลือดของเขาก็ผูกพันอยู่กับคริสตัล ชะตากรรมของเขาในทุกๆ อนาคตจึงเป็นชะตากรรมแบบเดียวกัน ไม่ว่าจะโลกใบไหนเขาก็มี Fate เหมือนกันหมดทั้งนั้น นี่แหละคือชีวิตที่พันธนาการอยู่กับคริสตัล จะเรียกว่าถูกจองจำให้เปลี่ยนแปลงอนาคตไม่ได้ก็ใช่นะ ตราบใดที่ Ring of Fates ของเขายังเป็นแบบนี้เขาก็ไม่อาจมีชะตากรรมร่วมกับคนที่เขารักได้ตลอดกาล ที่ทำได้ก็แค่การจ้องมองคนที่เรารักหายจากไป

ว่าแล้วโคลก้าก็ถามว่าเราจะใช้ชีวิตอยู่ที่นี่มั้ย เขาเองก็สูญเสียภรรยาและลูกสาวไปแล้ว ในฐานะที่เราเป็นลูกของลาทอฟและอัลเลเรีย พวกเราก็สนิทกับเขาราวกับเป็นลูกของเขาเช่นกัน ยูริเองได้ขอบคุณสำหรับและเชื่อว่าเชลินก้าอาจมีความสุขที่นี่ได้ แต่เขาอยากจะกลับบ้านมากกว่า เขาและเชลินก้ามีความทรงจำมากมายอยู่ที่บ้าน รวมทั้งนั้นจะเป็นที่ๆ พ่อของเขาในโลกใบนี้จะมาอาศัยอยู่ในไม่ช้าด้วย ถึงโลกนี้จะไม่มีใครรู้จักเขาแต่เชลินก้ากับเขาก็สามารถใช้ชีวิตอย่างสงบสุขด้วยกันที่บ้านได้ โคลก้าเองก็ไม่ขัดยูริแถมยังบอกด้วยว่าถ้ายูริมีเรื่องเดือดร้อนเมื่อไหร่ก็มาหาเขาได้เสมอ

สุดท้ายที่โคลก้าอยากบอกคือยูริต้องห้ามลืมเด็ดขาดนะว่ายูริและเชลินก้ามีชะตากรรมที่สามารถควบคุมโลกคู่ขนานทั้งหมดได้ ดังนั้นแม้สายสัมพันธ์กับเพื่อนบางคนอาจไม่มีอยู่ในโลกใบนี้ แต่สายสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นจริงๆ จะยังมีอยู่ในโลกทุกใบ (อย่างเช่นที่ยูริและเชลินก้าได้อยู่ด้วยกันในทุกๆ โลก) เธอไม่ได้ถูกจองจำอยู่ในโลกใบน้เหมือนกันหรอกนะ เธอกับเพื่อนจะหากันจนเจอและสร้างสายสัมพันธ์ขึ้นมาใหม่ได้ เมื่อใดที่เธอถูกความเหงาเข้ารุมเร้า จงนึกถึงเพื่อนของเธอ แล้วเธอจะไม่ได้อยู่คนเดียว...ตลอดไป

ถ้าฉันมีโลกที่ล้อมรอบด้วยครอบครัวและสามารถใช้ชีวิตอย่างสุขสงบได้ก็คงดี แต่นั่นก็แค่ความเพ้อฝันเท่านั้น ก็แค่อนาคตที่ไม่มีทางเป็นจริงได้ ยกเว้นแต่จะสร้างโลกใบใหม่ขึ้นมา...ยูริและเชลินก้า..พวกเธอได้ต่อสู้เพื่อทำให้เพื่อนๆ ในต่างโลก มีชีวิตที่สงบสุขได้ ไม่ยุติธรรมเลยที่พวกเธอกลับต้องมาอยู่ในโลกแบบนี้ ไม่มีใครสมควรได้รับความปลาบปลื้มในความสุขใจมากเท่าพวกเธอทั้งสองคนอีกแล้ว

หลังจากนั้นยูริและเชลินก้าก็ช่วยกันและกันประคองตัวกลับไปยังบ้านเกิด เชลินก้าช่วยพายูริไปนอน หลังจากนั้นในวันต่อๆ มาเธอก็คอยดูแล คอยปรุงอาหาร คอยจัดการเรื่องทุกอย่างแทนยูริตลอด ทว่าอาการของยูริก็กลับแย่ลงทุกวันๆ จนกระทั่งคืนวันหนึ่งที่ยูริคิดว่าตัวเองถึงเวลากลับคืนสู่ไลฟ์สตรีม เอ้ย คริสตัลแล้วแน่ๆ เขาก็บอกเชลินก้าให้ช่วยพาเขาไปนอนหน้าบ้านหน่อย เขานึกครึ้มอยากจะดูพระจันทร์ขึ้นมา

ยูรินอนแผ่หราอยู่หน้าบ้าน เขามองเห็นดวงจันทร์สีแดงล่องลอยอยู่บนฟ้า และบอกเชลินก้าว่าเขาไม่เคยรู้สึกตัวมาก่อนว่าดวงจันทร์จะงดงามถึงเพียงนี้ ขอโทษด้วยนะเชลินก้า ฉันคงไม่สามารถรักษาสัญญาที่ว่าฉันจะอยู่กับเธอตลอดไปได้อีกแล้ว ฉันคงไม่รอดแล้วล่ะ แต่เธอจะต้องมีชีวิตอยู่ต่อไปนะ

เชลินก้าได้ยินทั้งที่รู้อยู่แล้วว่าวันนี้จะต้องมาถึงในไม่ช้าแต่เธอก็ไม่อาจห้ามน้ำตาที่ไหลรินออกมาได้ น้ำตาของเธอไหลหยาดลงมาบนหน้าอกของยูริ จนยูริต้องแถว่าไม่เอาน่า...ไม่ต้องฝังฉันนะ ฉันก็แค่นอนหลับไปเท่านั้น... แต่เชลินก้าก็ไม่ได้สนใจอะไร คราวนี้เธอกลับใช้พลังชีวิตทั้งหมดของเธอ อธิษฐานต่อคริสตัลขอให้ยูริหายดีเป็นปกติ เพื่อแลกกับชีวิตที่เหลืออยู่ของเธอแทน

ในไม่ช้าเชลินก้าก็ค่อยๆ สลายไปต่อหน้ายูริที่ร่างกายกลับมาแข็งแรงเป็นปกติ ยูริร้องไห้และพยายามบอกเชลินก้าให้หยุดเดี๋ยวนี้...เราจะอยู่ด้วยกันตลอดไปไม่ใช่เหรอ...เชลินก้า...ยูริยังคงแผดร้องเรียกชื่อของเชลินก้าอย่างเศร้าเสียใจต่อไป แม้ว่าเชลินก้าจะไม่ได้อยู่ในโลกแล้วก็ตาม

ยูริเก็บสร้อยคริสตัลที่เชลินก้าทิ้งไว้ขึ้นมาเป็นของดูต่างหน้าถึงเธอ นับจากวันนั้นมายูริก็ต้องใช้ชีวิตอยู่คนเดียวหัวเดียวโด่เด่ต่อไป หลังจากนั้นไม่นานพ่อกับแม่ของยูริที่ยังมีชีวิตอยู่ในโลกใบนี้ก็ย้ายมาอาศัยอยู่ ณ หมู่บ้านแห่งนี้ หลายเดือนต่อมาพวกเขาก็ได้ให้กำเนิดยูริและเชลินก้าอีกคนหนึ่งขึ้นมา

เวลาผ่านไปหลายปี ยูริและเชลินก้าของโลกใบนี้ได้โตขึ้นมาจนวิ่งได้พูดได้แล้ว ยูริที่มาจากต่างโลกก็ได้แต่จ้องมองความสุขและความอบอุ่นที่เกิดขึ้นกับทั้งสองคนด้วยสายตาที่เศร้าสร้อย กระทั่งวันหนึ่งยูริได้ทำสร้อยคริสตัลที่เป็นของดูต่างหน้าของเชลินก้าตกเอาไว้ เชลินก้าของโลกใบนี้เก็บมันขึ้นมาและส่งสร้อยคริสตัลคืนให้กับยูริ แล้วเชลินก้าก็พูดคำพูดที่ทำให้ยูริต้องตกใจ เธอบอกให้ยูริอธิษฐานต่อคริสตัล แล้วคำอธิษฐานของยูริจะกลายเป็นจริงในโลกนี้ มาช่วยกันสร้างโลกของเราด้วยกันเถอะ 

* ในจุดนี้ผมมองว่าการที่เชลินก้าพูดให้ยูริมาช่วยกันสร้างโลกของ "เรา" แปลว่าเธอต้องรู้ว่ายูริคนนี้คือใคร เมื่อเธอรู้ว่ายูริคือใครนั่นแปลว่าเชลินก้าที่ยังเป็นเด็กตัวกระเปี๊ยกคืนนี้ก็คือเชลินก้าที่ยูริรู้จัก เธอคือเชลินก้าที่มีความทรงจำร่วมกับยูริและตายไปก่อนน่ะเอง

ทันทีที่แสงของคริสตัลสว่างวาบขึ้นมา ยูริก็ตกใจที่ตัวเองกลับกลายเป็นเด็กอีกครั้ง (ยูริตัวโตได้เข้าไปรวมกับจิตสำนึกของยูริที่ยังเป็นเด็กในโลกใบนี้) จากนี้ไปเขาจะได้ใช้ชีวิตใหม่อยู่ในโลกใบนี้พร้อมๆ กับพ่อแม่และเชลินก้า ยูริวิ่งเข้าไปกอดแม่ของเขาและก็ร้องไห้ออกมาด้วยความดีใจ นั่นคือครั้งแรกที่เขาได้กอดแม่ที่เป็นที่รักของเขาจริงๆ (เพราะในโลกก่อนหน้านี้ที่หมอนี่อยู่ แม่ของเขาโดนพวกจอมมารพาตัวไปตั้งแต่วันที่ยูริคลอดออกมา) เชลินก้าเองก็กอดแม่เอาไว้แน่นเช่นกัน และเธอยังบอกด้วยว่าพ่อของเธอน่ารักที่สุดเลย

หลังจากนั้นเชลินก้าก็หันมาพูดกับยูริว่า "บอกแล้วไงว่า แล้วเราจะได้พบกันใหม่ในไม่ช้า ยินดีต้อนรับนะยูริ"

"กลับมาแล้วครับ" ยูริตอบกลับไปด้วยรอยยิ้ม (ถ้าภาคอังกฤษจะพูดว่า ได้อยู่บ้านเนี่ยแหละ ดีที่สุดแล้ว)


มีจุดน่าสนใจที่ผมเห็นคือ ประโยคช่วงสุดท้ายของที่เชลินก้าพูดเป็นตัวยืนยันว่าเธอคือเชลินก้าคนเดียวกับเชลินก้าที่มาจากโลกที่ยูริคนนี้เคยอาศัยอยู่มาก่อน เป็นเชลินก้าที่มีความทรงจำร่วมกันมากับยูริคนนี้ ผมว่าให้เป็นแบบนี้ก็ดีแล้วแหละ ขืนเชลินก้าที่อยู่ในโลกนี้เป็นเชลินก้าคนอื่นที่ไม่ใช่คนที่เคยมีความทรงจำร่วมกันมากับยูริ ยูริเค้าก็คงเหงาแย่... ตอนแรกผมดูฉากจบแล้วก็งงว่าทำไมเชลินก้าถึงพายูริมาในโลกในอดีตที่ไม่มีใครรู้จักพวกเขา แต่พอดูจนจบแล้วก็เข้าใจว่านั่นเป็นแผนของเชลินก้า ที่จะทำให้เธอและยูริได้กลับมาเริ่มต้นชีวิตใหม่ตั้งแต่ช่วงวัยเด็ก ที่เขายังคงได้รับความอบอุ่นและความรักที่แท้จริงจากพ่อและแม่ 

สาเหตุที่ผมไม่ชอบฉากจบเกมแบบนี้ก็เพราะผมชอบที่จะได้เห็นพวกตัวเอกก้าวเดินต่อไปในอนาคต แม้จะเป็นอนาคตที่โหดร้ายก็ต้องมุ่งหน้าฝ่าฟันขวากนามต่อไปและเอาชนะมันให้ได้ ผมอยากจะเห็นตัวเอกที่สู้คนแบบนั้น ไม่ใช่ตัวเอกที่ยึดติดกับอดีต อยากกลับเป็นเด็ก อยากกลับไปอยู่ใต้ร่มเงาของพ่อแม่ในสมัยที่พ่อแม่ของตนยังมีชีวิตอยู่ ยังไงซะซักวันหนึ่งพ่อแม่ก็ต้องจากเราไป ถ้าเรามัวแต่ยึดติดกับอดีตเราก็จะเป็นทุกข์ กรณีของยูรินี่ถึงเขาจะได้กลับเป็นเด็กอีกครั้งแต่ในอนาคตพ่อแม่เขาก็ต้องตายแล้วเขาก็ต้องเศร้าเสียใจอีก แล้วแบบนี้เขาก็จะไม่ได้มีความสุขที่แท้จริงซะที จริงๆ แล้วถ้าจบแบบยูริกับเชลินก้าไม่โดนผลกระทบจากการใช้คริสตัล และได้อยู่ด้วยกันอย่างมีความสุขตลอดไป ผมยังจะชอบมากกว่าเลยนะเนี่ย....