Thursday, April 24, 2014

TVCM - Theatrhythm -Final Fantasy- Curtain Call [60 วินาที]


โฆษณาทางทีวีความยาว 1 นาทีของ Theatrhythm -Final Fantasy- Curtain Call เล่นยัด CGI ทุกภาคมาถล่มใส่คลิปๆ เดียว ดูแล้วแสนชวนระลึก และโหยหาถึงความทรงจำเก่าๆ แต่อย่าหวังจะล่อลวงข้าพเจ้าได้...!! ตัดสินใจแล้วว่าภาคนี้ไม่ซื้อ ก็คือไม่ซื้อออ!!

ตัวเกมดังกล่าว วางจำหน่ายในญี่ปุ่นตั้งแต่ 24 เมษายน 2014 นี้เป็นต้นไป ในตลับใส่เพลงมาให้พร้อมเล่นได้เลย 221 เพลง เห็นคุณ aibo WM FF-Reunion บอกว่าตัวเกมใหญ่ 2GB ใช้เนื้อที่จัดเก็บไฟล์ 16,384 บล็อค

ป.ล. แอบดีใจนิดนึง ที่ตัวละครสุดท้ายที่โผล่ในคลิปเป็นคลาวด์.... แปลว่ายุคแห่งการโปรโมตไลท์นิ่งให้เป็นตัวชูโรงของซีรีส์ ได้จบไปพร้อมกับซีรีส์ XIII แล้วจริงๆ (ก่อนหน้านี้ตอนคลิปรวม CGI History of Visual Works ตัวละครที่โผล่ 4 คนสุดท้ายยังเป็นเซฟิรอธ คลาวด์ ไคอัส และจบที่ไลท์นิ่ง) และกลับไปสู่ยุคของการใช้คลาวด์เป็นตัวชูโรงแทน..... เอ่อ ผมไม่ได้มีปัญหากับเจ๊ และไม่ได้ชอบคลาวด์นะครับ (อยากให้ใช้พี่แสงเป็นตัวชูโรงมากกว่าด้วยซ้ำ) เพียงแต่รู้สึกว่าที่ผ่านมาเราอยู่ในยุคของเจ๊มานานเกินไปหน่อย....

Update
- เวอร์ชั่น 75 วินาที : http://www.youtube.com/watch?v=4lzTcNS1ors
- เพลง Special Arrange Medley : http://www.youtube.com/watch?v=aB9_c0w2h2A

Wednesday, April 23, 2014

Curtain Call ประกาศ DLC ล็อตแรก 9 อย่างด้วยกัน


จากที่ก่อนหน้านี้ได้มีการประกาศนานแล้วว่าเพลง Four Demon Nobles Battle 1 จาก Romancing SaGa 3 และ Horrible Shadow จาก Romancing SaGa 1 จะมาเป็น DLC ให้กับเกม Theatrhythm -Final Fantasy- Curtain Call

ล่าสุดวันนี้ Square Enix ได้เปิดเผยรายชื่อ DLC เพิ่มเติมของ Theatrhythm -Final Fantasy- Curtain Call เกมแนว Action Rhythm สำหรับเครื่อง 3DS มี่จะวางจำหน่ายในวันที่ 24 เมษายนนี้ โดยภายในตลับเกมเองนั้น จะมีเพลงมาให้ 221 เพลง และมีตัวละครให้เลือกใช้กว่า 60 ตัวอยู่แล้ว แต่ตอนนี้ได้มีการประกาศรายชื่อ DLC เพิ่มเติมเข้ามาดังนี้

รายชื่อ DLC ที่ประกาศวันนี้
BMS -  Final Fantasy V — Battle 2 (バトル2)
BMS - Final Fantasy VIII — Shuffle or Boogie
BMS - Final Fantasy X — Blitz Off
BMS - Final Fantasy XI — Tough Battle #2
FMS - Final Fantasy V — Library of the Ancients (古代図書館)
FMS - Final Fantasy IX — Rose of May (ローズ・オブ・メイ)
FMS - Final Fantasy X-2 — Eternity ~Memory of Lightwaves~ (久遠-光と波の記憶)
FMS - Final Fantasy XIII-2 — Crazy Chocobo (クレイジーチョコボ)
ตัวละคร - Yuffie

DLC ทั้งหมดนี้สนนราคา 150 เยน และเปิดให้ซื้อได้ตั้งแต่วันที่ 24 เมษายนนี้ (พร้อมตัวเกมนั่นเอง) สำหรับเพลง Battle 2 และ Rose of May มีแคมเปญให้โหลดฟรีได้ตั้งแต่วันที่ 24 เมษายน - 8 พฤษภาคม 2014 หลังจากนั้นไปต้องจ่ายเงินซื้อตามปกติ

อนึ่ง เนื่องจากเกมนี้ผมเล่นภาคแรกแล้วไม่โดน.... ลองเล่นเดโมของภาค Curtain Call แล้วก็ยังไม่โดน เลยตัดสินใจว่าจะไม่ซื้อเกมนี้มาเล่น ดังนั้นจึงไม่รับตอบคำถามวิธีการเล่นเกมนี้จ้า

ที่มา : Square Enix

Curtain Call ประกาศการจัดจำหน่ายให้ตลาดอเมริกาเหนือภายในปี 2014


ข่าวดีสำหรับแฟนๆ ที่รอ Curtain Call เวอร์ชั่นภาษาอังกฤษ ตอนนี้ Square Enix ได้ประกาศการพัฒนาและจัดจำหน่าย Theatrhythm -Final Fantasy- Curtain Call เกมสำหรับเครื่อง 3DS ให้กับตลาดอเมริกาเหนืออย่างเป็นทางการแล้ว ตัวเกมมีกำหนดวางจำหน่ายภายในปี 2014 ภายในเกมจะใส่มาเลย 221 เพลง

ส่วนตัวเกมเวอร์ชั่นญี่ปุ่นก็จะวางจำหน่ายในวันที่ 24 เมษายนนี้แล้ว

หน้าเพจ : https://www.facebook.com/theatrhythm

เว็บไซต์หลักของเกม : http://www.theatrhythm.com/

Monday, April 21, 2014

เทรลเลอร์ล่าสุด Final Fantasy Agito พร้อมเปิดให้ลงทะเบียนเล่นล่วงหน้า


เทรลเลอร์ล่าสุดของ Final Fantasy Agito สำหรับ iOS และ Android ตัวเกมจะเริ่มเปิดให้บริการภายในเดือน 5 โดยผู้เล่นสามารถเข้าไปลงทะเบียนรอเล่นล่วงหน้าได้แล้วตั้งแต่วันนี้ คนที่ลงทะเบียนล่วงหน้า ก็จะได้รับไอเทมชุดสตรีท เอาไว้ใช้ในเกมได้

ลิงค์สำหรับการลงทะเบียน : http://special.member.jp.square-enix.com/ff-agito/pre/

Sunday, April 20, 2014

บันทึกความประทับใจจาก Last Mission : FFX-2


ตัวผมเองพึ่งจะเล่น Last Mission ซึ่งเป็นเนื้อหาหนึ่งใน FFX l X-2 HD Remaster จบมาหมาดๆ เมื่อคืนนี้ อันที่จริงก็เคยเล่นเนื้อหาส่วนนี้ในเวอร์ชั่นญี่ปุ่นจบไปเมื่อ 10 ปีที่แล้ว แต่ก็แทบจำความรู้สึกที่มีต่อเนื้อหาส่วนนี้เมื่อ 10 ปีก่อนไม่ได้แล้วแหละ

โชคดี ที่ผมเป็นมนุษย์ช่างจดช่างบันทึก เลยสามารถไปหยิบสมุดที่บรรทุกความรู้สึกในการเล่นเกมเมื่อ 10 ปีก่อนมาเปิดหาดูได้ว่าตัวเองรู้สึกอย่างไร และสามารถไปเปิดกระทู้เก่าๆ จากหลายเว็บบอร์ด ที่ตัวเองเคยเซฟไว้ มาเปรียบเทียบความรู้สึกในวันนี้กับความรู้สึกในวันนั้นได้

เนื้อหาของ Last Mission นั้น เข้าใจได้ง่ายๆ เลยคือ "งานเลี้ยงรุ่นของเพื่อนมัธยม" หมายถึงกลุ่มยูริพา ที่แยกจากกันไปแล้ว ได้กลับมาผจญภัยสั้นๆ ร่วมกันอีกครั้ง ซึ่งด้วยความที่ 3 สาวมีนิสัยแตกต่างกันมากตั้งแต่แรก แถมยังมีการเติบโตและเปลี่ยนแปลงไปบ้าง จากที่เคยเข้ากันได้ดีก็จึงอาจมีการกระทบกระทั่ง ทะเลาะกันบ้าง แต่นั่นก็คือเรื่องปกติของการเป็นเพื่อนพ้องกัน เมื่อการเดินทางสิ้นสุดลง ก็เหมือนงานเลี้ยงที่เลิกราลง แต่จะยังคงฝากความประทับใจ เป็นความทรงจำดีๆ ที่จะสลักอยู่ในใจของทั้ง 3 ต่อไป

ผมคงไม่อธิบายถึงระบบของเกมนี้ เพราะนี่ไม่ใช่รีวิวเกม... แต่ขอพูดสั้นๆ ว่าใน Last Mission นี้เราจะต้องเลือกอาชีพหลักขึ้นมา 1 อาชีพ และอาชีพรอง 4 อาชีพ สเตตัสโดยรวมของตัวละครจะมีค่าเท่ากับสเตตัสของทั้ง 5 อาชีพดังกล่าวรวมกัน เราจะใช้แอ็คชั่นอบิลิตี้ของ 5 อาชีพที่เลือกไว้ได้ และจะได้ออโต้อบิลิตี้พิเศษ หากเราเลือกติดตั้งอาชีพที่เข้ากันได้ไว้ด้วยกัน เช่นถ้าติดตั้งทั้ง White Mage และ Black Mage ไว้ ก็จะได้อบิลิตี้ MP Regen

คอนเซปต์แบบนี้ ฟังดูแล้วก็น่าสนใจ เราจะได้สนุกกับการเลือก 5 อาชีพมาคอมโบสเตตัส คอมโบอบิลตี้กัน ผมสนุกมากเลยกับการทดลองผสมผสานหลายๆ รูปแบบเข้าด้วยกัน แล้วค้นพบรูปแบบการเล่นใหม่ๆ ขึ้นมาเรื่อยๆ

ทว่าความรู้สึกสนุกนั้น มันก็เกิดขึ้นเฉพาะช่วงแรกๆ ของการตะลุย Last Mission เท่านั้น เพราะเมื่อเล่นไปเรื่อยๆ ก็จะพบว่าหอคอยทุกชั้นมันใช้อาร์ทเวิร์คแบบเดียวกันหมด วิ่งไปทางไหนก็เจอแต่ภาพแบบเดิมๆ ศัตรูแบบเดิมๆ ที่มีรูปแบบการโจมตีไม่กี่แบบ

ตัวศัตรูส่วนใหญ่ก็โจมตีเบาหวิว ไม่สามารถเอาชีวิตเราได้ ....จะมีพวกตัวโหดๆ ก็คือพวกที่ใช้เวทย์คำสาปนับถอยหลังใส่เรา ซึ่งก็โหดเกิ๊น พอเล่นๆ ไปจนถึงชั้น 30 ก็เลยเริ่มรู้สึกเบื่อ รู้สึกเหมือนทุกอย่างมันซ้ำซากจำเจ แล้วก็แบกความรู้สึกเบื่อนั้นไปจนจบเกม

การเล่นคราวนี้ผมจบเกมด้วยเลเวล 46 ใช้อาชีพหลักคือมือปืนเวทมนต์เลเวล 23 และตามมาด้วยเบอร์เซิร์คเกอร์ ดาร์คไนท์ ที่เลเวลประมาณ 15 นอกนั้นก็มีอาชีพสำรองอย่างมาสค็อต จอมเวทย์ขาว จอมเวทย์ดำ และอัลเคมิส ที่เลเวลแค่ 5

ผมลองเปิดเทียบกับบันทึกการเล่นเมื่อ 10 ปีก่อน พบว่าสมัย 10 ปีก่อน ตอนอยู่มัธยมปลาย ผมเล่น Last Mission แบบสปีดรัน กล่าวคืออยากรู้อยากเห็นว่าตอนจบมันจะเป็นยังไง เลยรีบเล่นให้เร็วที่สุด ไม่ได้พยายามที่จะเรียนรู้ระบบใดๆ แต่ใช้ความสามารถเฉพาะตัวเอาตัวรอดไปเรื่อยๆ ตอนนั้นผมจบเกมด้วยเลเวล 48 ซึ่งเป็นเลเวลที่ไม่สูงแต่ก็ไม่ต่ำ.... แต่ที่เด็ดคือ สมัยนั้นผมไต่หอคอยไปถึงชั้น 35 ผมถึงจะค้นพบวิธีอัพเลเวลให้กับอาชีพต่างๆ.... จากนั้นก็คลานอย่างทุลักทุเลไปจนถึงชั้นบนสุด เนื่องจากไม่ได้อัพเลเวลอาชีพมาให้ดีตั้งแต่แรก

สำหรับบอสใหญ่ของ Last Mission ก็คือเมเยอร์นิวเมอรัส ซึ่งผมจำได้ดีว่าเมื่อ 10 ปีก่อนผมเคยใช้วิธีสู้อย่างไร ดังนั้น ในการสู้ครั้งล่าสุดนี้ผมก็ยังคงใช้วิธีสู้แบบเดิมๆ อีกครั้ง

ตัวเมเยอร์นิวเมอรัสใน Last Mission นี้ ถือว่ากระจอกมาก และเทียบไม่ได้เลยกับ Major Numerous ที่ปรากฏในเนื้อหาของ X-2 ที่ว่ากระจอกก็เพราะพลังโจมตีของมันเบาดุจปุยนุ่นมาก ถึงเล่นแบบสปีดรันมาเจอมัน มันก็ฆ่าเราไม่ได้ง่ายๆ ได้แต่รอเวลาที่เราจะกระซวกมันตายเท่านั้น

แต่ถึงกระนั้น มันก็มีจุดที่กวนใจผู้เล่นอย่างเราๆ อยู่คือ ท่าโจมตีของมันมีโอกาสทำให้เราติดสภาวะ Confuse 20%.... พอยูน่าของผมติดสภาพเมากาวแล้ว ก็จะเกิดอาการอยากโชว์ของดี ว่าแล้วเจ๊แกก็ถอดเดรสสเฟียร์ที่ติดตั้งไว้ออกมาขว้างทิ้งเป็นว่าเล่น (F****K~!!) แถมเอาไพ่ตายก้นหีบอย่าง Elixir มากระดกเล่นให้เสียของ (คงจะอัดอั้นที่ไม่เคยได้กินสักที) กว่าจะได้สติอีกที ก็สิ้นเนื้อประดาตัว แทบไม่เหลืออะไรแล้ว

โชคดีที่ระหว่างเจ๊แกติดสภาวะเมากาวอยู่นั้น เจ๊ก็ยังอุตส่าห์เดินมั่วๆ ไปเก็บชุดมือปืนเวทมนต์และมาสค็อตกลับขึ้นมาได้ ผมจึงเริ่มสู้กับเมเยอร์นิวเมอรัสในร่างสุดท้าย ด้วยสภาพที่มีอาชีพติดตั้งไว้แค่ 2 อาชีพ สเตตัสโดยรวมจึงตกลงอย่างมาก อีกทั้งไอเทมฟื้นพลังทั้งหลายก็โดนเจ๊แกกระดกเล่นไปหมดตั้งแต่ตอนเมากาวแล้ว

แต่เพียง 2 อาชีพที่ว่ามานั้น ก็เพียงพอที่จะทำให้เราสามารถกำจัดเมเยอร์นิวเมอรัสลงได้ อย่างไม่ยากนัก

ที่สุดแล้ว หลังผ่านเมเยอร์นิวเมอรัสมาเห็นฉากจบของ Last Mission ได้ พูดกันตามตรงว่าเนื้อหามันไม่มีอะไรเลย... ที่ชั้นบนสุดของหอคอยก็ไม่เจออะไร มีแค่วิวให้ดู ทว่าผมว่าตัวผมเองก็ได้รับในสิ่งที่ไพน์ต้องการจะสื่อกับเพื่อนๆ และคงเป็นสิ่งที่ผู้กำกับต้องการจะสื่อกับผู้เล่น นั่นคืออยากให้เราได้เห็นคุณค่าของความทรงจำ ในช่วงเวลาที่เรายังได้ใช้ชีวิตคลุกคลีอยู่กับเพื่อนแท้ของเราทุกวัน

CGI ฉากจบเกมซึ้งๆ ถูกเปิดขึ้นโดยมีเพลง Kimi e ของคุณอาโอกิร้องประกอบ เป็น CGI ที่ระลึกถึงเหตุการณ์ทั้งหมดในการผจญภัยที่ผ่านมา ราวกับจะบอกเราว่า ยูน่าจะเก็บเรื่องราวเหล่านี้เป็นความทรงจำดีๆ ในใจของเธอตลอดไป และหวังว่าผู้เล่นอย่างเราๆ ก็จะเก็บช่วงเวลาดีๆ ที่เราเคยมีความสุขกับเกมนี้ ไว้ในใจของเราด้วยเช่นกัน

สรุปเนื้อเรื่อง FFX-2 -Last Mission-


Last Mission

3 เดือนผ่านไปหลังจากกลุ่มคาโมเมะดันสามารถหยุดยั้งแผนของชูอินและเวกนากันลงได้ 3 สาว ยูน่า ริคคุ ไพน์ ต่างก็แยกกันใช้ชีวิตตามวิถีทางของตนเอง แต่แล้วไพน์ก็รู้สึกว่างๆ เหมือนชีวิตมันขาดอะไรไป เลยคิดอุบายเขียนจดหมายที่ไม่ลงชื่อผู้เขียน ส่งให้ยูน่าและริคคุ บอกว่าให้ไปตะลุยหอคอยยาโดโนกิ เพราะชั้นบนสุดจะมีสิ่งที่คุ้มค่าที่จะได้เห็นอยู่

ด้วยเหตุนี้ทั้ง 3 จึงได้ไปหอคอยยาโดโนกิด้วยกัน พอถึงแล้วก็แยกกันผจญภัยในหอคอย ไปกันคนละเส้นทาง แต่ทุกๆ 10 ชั้นก็จะเจอจุดพักซึ่งจะได้มานั่งพักพูดคุยอัพเดทเรื่องราวของกันและกัน

-

เมื่อไต่หอคอยไปถึงชั้นๆ หนึ่ง ยูน่าเล่าให้ฟังว่าช่วงหลังจากที่พึ่งปราบซินได้ เธอเอาแต่ครุ่นคิดถึงทีดัสที่จากไป แต่ตอนนี้ไม่ต้องแล้ว เธอไม่ต้องหาเรื่องทำให้ตัวเองยุ่งเพื่อลืมความเศร้านั้นอีกแล้ว ตอนนี้ได้อยู่เอื่อยๆ ในที่ใดสักที่ ก็โอเคดีแล้ว และก็ได้อยู่กับทีดัสแล้วด้วย

ริคคุและไพน์ได้ยินดังนั้น ก็จะให้ยูน่าเล่าให้ฟังว่าทั้งสองได้ไปทำอะไรกันมาบ้าง ยูน่าก็จะเอาแต่อ้ำอึ้งเขินอาย หัวเราะ แล้วก็ไม่กล้าพูดออกมา ริคคุเลยแซวว่าเพราะแบบนี้ เวลาริคคุชวนไปไหน ยูน่าถึงไม่ยอมไปด้วยสินะ แต่ก็ไม่น่าจะจับเจ่าอยู่แค่ในเกาะ น่าจะนั่งเรือเหาะท่องรอบโลกบ้าง ยูน่าบอกสักวันอาจจะทำแบบนั้น แต่ตอนนี้ไม่อยากเร่งรีบทำอะไร ตอนนี้ไม่รู้สึกว่าขาดอะไร

ริคคุที่ไม่พอใจวิถีชีวิตแบบนั้นเลยบอกว่าตัวเธอเองจะนั่งอ้อยอิ่งปล่อยเวลาให้สูญเปล่าไปแบบยูน่าไม่ได้ เธอต้องทำตัวให้ยุ่งๆ ตลอด ด้านยูน่าสวนกลับว่าเธอชอบของเธอแบบนี้อยู่แล้ว ได้มองดูทะเล ได้ทำอาหาร มีวิถีชีวิตแบบนี้ไปเรื่อยๆ ก็พอใจแล้ว แต่แล้วริคคุที่ไม่เห็นด้วยกับวิถีชีวิตจืดๆ แบบนั้นก็จะขึ้นเสียงใส่ ยูน่าที่พอใจกับชีวิตอันเรียบง่ายก็จะขึ้นเสียงตอบโต้กลับด้วยความไม่พอใจ ไพน์ที่เห็นท่าไม่ดีก็เลยรีบห้ามทั้งสองเอาไว้

พอริคคุเห็นไพน์พยายามเข้ามาห้าม ริคคุก็จะต่อว่าไพน์บ้างว่าไพน์สนใจแต่ตัวเอง ไม่ได้สนใจที่จะช่วยชีวิตคนอื่นเหมือนริคคุ ริคคุไม่อยากเห็นคนอื่นปล่อยเวลาให้ผ่านไปอย่างสูญเปล่า.... พอริคคุพูดแบบนี้ ทั้ง 3 เลยยิ่งทะเลาะกันหนักเข้าไปใหญ่

-

เมื่อปีนหอคอยไปถึงจุดๆ หนึ่ง ยูน่าจะบอกว่าเธอเดาว่าเลอบลังเป็นคนเขียนจดหมาย ริคคุเดาว่าริน แต่ไพน์สารภาพออกมาว่าที่จริงแล้วเธอเป็นคนเขียนจดหมายที่ไม่ลงชื่อผู้เขียนนี้เอง

ไพน์บอกว่าที่ผ่านมาเธอไม่ได้เหงา แต่รู้สึกเหมือนอะไรบางอย่างในชีวิตขาดหายไป ถ้าได้กลับมาอยู่กัน 3 คนก็อาจจะเจอสิ่งนั้น ส่วนที่ว่ามีอะไรน่าสนใจอยากให้ดูด้านบน ก็เขียนขึ้นลอยๆ แค่อยากให้มาผจญภัยกันอีก น่าเสียดายนะที่แผนของเธอดันแป้ก เพราะกลายเป็นว่าชวนทุกคนมาทะเลาะกันซะอย่างงั้น

-

เมื่อปีนหอคอยขึ้นไปอีก ไพน์เห็นอาทิตย์ตกดินแล้วนึกถึงตอนที่ชูอินเข้าสิงนูจแล้วยิงเพื่อน ซึ่งตอนนั้นทั้งกลุ่มกำลังหลบหนีจากเยว่อน

แล้วพอนูจได้สติก็ช่วยปฐมพยาบาลแล้วเรียกพวกอัลเบดมาช่วย หลังจากนั้นทั้งกลุ่มก็แยกตัวกันเพื่อหลบหนีเยว่อน

-

ที่ชั้น 70 ริคคุกลัวว่าตอนนี้ยูน่ากับไพน์เปลี่ยนไปมาก หากอยู่แบบนี้ไปเรื่อยๆ 3 สาวอาจจะทะเลาะกันอีกก็ได้ เลยอยากรีบกลับบ้าน แต่ยูน่าเองก็กำลังคิดแบบนี้เดียว เลยกลายเป็นว่าทั้งสองคิดตรงกัน ยูน่าคิดว่าจริงๆ แล้วทั้งสามสาวต่างก็มีนิสัยแตกต่างกันอย่างมากตั้งแต่แรกแล้ว แต่ทีเคยอยู่ร่วมกันได้ก็เพราะสถานการณ์มันพาไป

ริคคุกลัวว่าถ้าขึ้นไปถึงชั้นบนสุด อาจจะไม่ได้เจออะไรน่าสนใจ ไพน์ก็ไม่อยากให้คาดหวังอะไรเพราะเธอแค่เขียนขึ้นมาลอยๆ แต่ยูน่าบอกว่าบางทีเราอาจจะเจอสิ่งที่ทำให้เราคิดได้ว่าอนาคตของพวกเราควรจะเป็นยังไงต่อไป

-

ที่ชั้นที่ 80 ทั้ง 3 ได้ช่วยกันสู้กับเมเยอร์นิวเมอรัส งูยักษ์ 4 หัวเจ้าของตำแหน่งบอสลับที่แข็งแกร่งที่สุดในซีรีส์ ซึ่งหลังจากการโดนเจ้างูยักษ์นวดเป็นกระสอบทรายมาด้วยกัน ก็ทำให้ความรู้สึกเดิมๆ ของความเป็นพวกพ้องที่เคยร่วมสู้เคียงบ่าเคียงไหล่ ผ่านความยากลำบาก จนไว้เนื้อเชื่อใจกันได้ กลับมาอีกครั้ง
ในสภาพอันอ่อนแรง เหนื่อยล้า ต่างคนต่างหอบ เมื่อทั้ง 3 แบกสังขารขึ้นไปถึงชั้นดาดฟ้า ก็เจอแท่นควบคุมเครื่องจักรโบราณที่เสียแล้ว ใช้การไม่ได้

ริคคุเห็นแบบนั้นเลยเริ่มบ่นใหญ่ว่าอุตส่าห์ลำบากปีนหอคอยกันมา 80 ชั้น โดนมอนสเตอร์ไล่กวดจนต้องหนีหัวซุกหัวซุน หวิดตายกันมาหลายหน สุดท้ายต้องมาเจอก้อนขยะเนี่ยนะ

จากทิวทัศน์อันเหนือเมฆที่ถูกไพน์จับจ้องอยู่ ไพน์หันไปถามริคคุว่าไม่เห็นอะไรจริงๆ เหรอ แต่เธอเห็นนะ แล้วไพน์ก็ทักให้ทั้งสองมองไปยังข้างหน้า ให้ได้เห็นทิวทัศน์จากยอดหอคอย ทำให้เห็นบรรยากาศจากมุมที่สูงเหนือเมฆขึ้นไป บรรยากาศที่งดงาม เมฆสีขาวที่ตัดกับดวงอาทิตย์สีส้มที่กำลังลอยขึ้นมาฉาบฟากฟ้าให้สว่างไสว ซึ่งมันแตกต่างจากทิวทัศน์ใดๆ ที่พวกเธอเคยเห็นมา

3 สาวเห็นภาพนั้น ก็เริ่มสงบใจ และคิดได้ว่าแม้พวกเธอจะแตกต่างกัน ถึงหลังจากนี้จะแยกจากกันไปทางใครทางมันอีก แต่พวกเธอก็ยังคงมีความทรงจำเรื่องราวของกันและกัน ได้ผ่านช่วงเวลาที่ร่วมกันหัวเราะ และต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กันมา สักวันหนึ่ง พวกเธอจะได้หวนคิดถึงช่วงเวลาเหล่านั้น

และถึงแม้พวกเธอจะโตขึ้น และเปลี่ยนไป แต่ช่วงเวลาที่เคยมีร่วมกันนั้น จะไม่มีวันแปรเปลี่ยน

สุดท้ายแล้วสิ่งที่สำคัญที่สุดในการผจญภัยครั้งนี้ ก็ไม่ใช่การได้มาซึ่งสมบัติเลอค่าใดๆ และคงไม่ใช่ทิวทัศน์ที่เห็นกันจากชั้นบนสุด แต่เป็นช่วงเวลาที่พวกเธอได้กลับมาเจอกัน ใช้เวลาร่วมกันอีกครั้ง ซึ่งยิ่งเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ ความทรงจำเหล่านี้ก็จะมีคุณค่ามากขึ้นเรื่อยๆ

----------------------

จากวันที่เคยหิ้วทามิย่าไปประชันความเร็วในโรงเรียน ควักดิจิมอลออกมาดวลกันหน้าป้อมยาม ได้โอเระโนะทานกับเพื่อนที่ข้างถนน จนถึงวันที่ไปใช้ปากเล่นวินนิ่งฯ แข่งกันที่ร้านเกม ก่อนจะต้องแยกย้ายจากกันไปเมื่อเข้าสู่รั้วมหาวิทยาลัย

แม้บางช่วงชีวิต เราอาจสงสัยเคลือบแคลงว่าเราทำเรื่องไร้สาระที่ไม่มีประโยชน์กับชีวิตในอนาคตไปเพื่ออะไร.... แต่เชื่อเถอะ เมื่อถึงวันหนึ่งเราจะมองย้อนกลับมาถึงความทรงจำเหล่านั้น แล้วพบว่ามันมีความหมาย มากมายจริงๆ

ปกเกมและรายชื่อเพลง FF ภาคเสริมที่ปรากฏให้เล่นใน Curtain Call


ปกเกม Theatrhythm -Final Fantasy- Curtain Call วางจำหน่ายในญี่ปุ่นวันที่ 24 เมษายน 2014 ตัวเกมประกอบด้วยเพลงให้เล่นถึง 221 เพลง (ยังไม่นับ DLC) ปัจจุบันยังไม่มีการประกาศว่าจะจัดจำหน่ายในอเมริกาเหนือและยุโรปด้วยหรือไม่ แต่เป็นที่เชื่อกันว่าไม่พลาดแน่

เว็บไซต์หลักของ Theatrhythm -Final Fantasy- Curtain Call อัพเดทรายชื่อเพลงจาก FF ภาคต่อและภาคเสริม ที่จะปรากฏให้เล่นกันใน Curtain Call ซึ่งรายชื่อเพลงที่ว่า ก็มีดังต่อไปนี้

Final Fantasy Mystic Quest (Mystic Quest Legend)
- Battle 1 (BMS)
- Battle 2 (BMS)

Final Fantasy Tactics
- Trisection (BMS)
- Antipyretic (BMS)
- Ultema The Nice Body (BMS)
- Prologue Movie (FMS)
- Bland Logo ~ Title Back (EMS)

Final Fantasy X-2
- Yuripa, Fight! No. 1 (BMS)
- “Let Me Blow You a Kiss.” (BMS)
- Their Resting Place (BMS)
- The Farplane Abyss (FMS)
- We’re the Gullwings! (FMS)
- 1000 Words (FFX-2 Mix) (EMS)

Final Fantasy Crystal Chronicles
- Monsters’ Dance ~Rondo~ (BMS)
- Unite, Descent (BMS)
- This Is The End For You! (BMS) (FFCC: The Crystal Bearers)
- Kaze no ne (FMS)
- Across the Divide (FMS)
- Moonless Starry Night (EMS)

Final Fantasy VII Advent Children
- Let the Battles Begin! (Piano Version) (BMS)
- Divinity II (BMS)
- J-E-N-O-V-A (FFVII AC Version) (BMS)
- Cloud Smiles (FMS)
- Advent: One-Winged Angel (EMS)

Crisis Core: Final Fantasy VII
- Encounter (BMS)
- The SOLDIER Way (BMS)
- The Price of Freedom (BMS)
- Timely Ambush (from FFVII “Let the Battles Begin!”) (FMS)
- A Flower Blooming in the Slums (from FFVII “Aerith’s Theme”) (FMS)
- CRISIS CORE Theme – Succession (EMS)

Final Fantasy Fables: Chocobo’s Dungeon
- Theme of Dungeon Hero X (BMS)
- Raffaello Battle (BMS)
- Guardian of Darkness 2 (BMS)

Dissidia: Final Fantasy
- The Troops’ Advance (BMS)
- The Decisive Battle – arrange – (BMS)
- DISSIDIA – ending – (BMS)
- DISSIDIA FINAL FANTASY [FINAL TRAILER] (BMS)
- Keeping the Peace (FMS)

Dissidia 012: Final Fantasy
- Cantata Mortis (BMS)
- DISSIDIA 012[duodecim] FINAL FANTASY [FINAL TRAILER] (BMS)
- Gate to the Rift (FMS)
- Lux Concordiae (EMS)

Final Fantasy Type-0
- War: Warrior Worth a Thousand (BMS)
- War: The White Weapon (BMS)
- Vermilion Fire (BMS)
- We Have Come (EMS)
- The Earth Under Our Feet (FMS)
- Soar (FMS)
- Tempus Finis (FMS)

Final Fantasy XIII-2
- The Last Hunter (BMS)
- Etro’s Champion (BMS)
- Heart of Chaos (BMS)
- Historia Crux (FMS)
- Groovy Chocobo (FMS)
- Eclipse (FMS)
- Noel’s Theme – Final Journey – (FMS)
- Warrior Goddess (EMS)

Lightning Returns: Final Fantasy XIII
- Crimson Blitz (BMS)
- Chaos (BMS)
- Lightning Returns (BMS)
- The Glittering City of Yusnaan (FMS)
- The Dead Dunes (FMS)
- Savior of Souls (EMS)

Wednesday, April 16, 2014

สแกนล่าสุด Curtain Call เผยโฉมเอลด์นาชและอัลเทม่า


สแกนล่าสุด Theatrhythm -Final Fantasy- Curtain Call จากนิตยสาร VJump สแกนโดยคุณ kazu4281 งวดนี้มีเอลด์นาช กับเซย์เทนชิอัลเทม่าออกมาด้วยน่ะ ตัวเกมวางจำหน่าย 24 เมษายน 2014 ในประเทศญี่ปุ่นสำหรับเครื่อง 3DS

Sony เทขายหุ้น SQEX หมดหน้าตักกว่า 4,800 ล้านเยน

เว็บไซต์ Eurogamer รายงาน Sony เทขายหุ้นของ Square Enix ที่ตนเองมีอยู่ทั้งหมด 9.52 ล้านหุ้น คิดเป็นมูลค่าเกือบ 4,800 ล้านเยน โดยยังไม่มีการเปิดเผยเหตุผลของการเทขายหุ้นครั้งนี้ ไม่รู้ว่าจะเป็นจุดเริ่มต้นของการแยกทางระหว่างสองบริษัทเกมยักษ์ใหญ่ในญี่ปุ่นรึเปล่า? 

แต่ที่แน่ๆ ....มีแฟนๆ เริ่มแซวเล่นกันแล้วว่า สงสัย Sony คงไปได้ข่าว FFVII remake confirmed for Wii U ทำนองนั้นมาแหงๆ lol

ที่มา : Eurogamer

Friday, April 11, 2014

อัพเกรดสิทธิการเล่น FFXIV -ARR- จาก PS3 สู่ PS4

ตามที่ทราบกันว่า Final Fantasy XIV -A Realm Reborn- เวอร์ชั่น PS4 นั้นจะเริ่มเปิดให้บริการอย่างเป็นทางการในวันจันทร์ที่ 14 เมษายน 2014 ซึ่งผู้เล่นที่มีสิทธิการเล่นตัวเกมเวอร์ชั่น PS3 อยู่แล้วก็สามารถอัพเกรดสิทธิของตัวเองให้กลายเป็นสิทธิการเล่นบน PS4 ได้ฟรีนั้น

การอัพเกรดสิทธิดังกล่าวจะสามารถเริ่มทำได้ตั้งแต่วันศุกร์ที่ 11 เมษายน 2014 นี้ในเวลา 4 A.M. EDT (เข้าใจว่าหมายถึงบ่าย 3 โมงตามเวลาบ้านเรา) ซึ่งพอกดอัพเกรดไปแล้วสิทธิการเล่นตัวเกมเวอร์ชั่น PS3 จะหายไปแล้วกลายเป็นสิทธิการเล่นตัวเกมเวอร์ชั่น PS4 แทน แต่ถ้าอยากจะให้เล่นบน PS3 ได้ด้วย ก็ต้องไปซื้อสิทธิมาใหม่

เมื่อการอัพเกรดเสร็จสิ้น ข้อมูลตัวละคร ข้อมูลในเกมเวอร์ชั่น PS3 ทั้ง Cross Hotbars, Gear Sets, Macros, Log Filter Settings และ Keybinds ก็จะถูกส่งต่อไปเช่นกัน

สำหรับการอัพเกรดดังกล่าวก็สามารถทำได้ที่เว็บ Mog Station - ผู้เล่นสามารถกดอัพเกรดสิทธิฟรีได้จนถึงสิ้นปีนี้

[แนะนำตัวละคร] อเรเซีย อัล-ราเชีย หรือ "มาเซอร์" (มาเธอร์)

[แนะนำตัวละคร] อเรเซีย อัล-ราเชีย หรือ "มาเซอร์" (มาเธอร์)


- จาก Final Fantasy Type-0
- พากย์เสียงโดย อะสึโกะ ทานากะ (คนพากย์อัลติมิเซีย และรอสโซ่)
- ไม่ปรากฏอายุ แต่ก็อยู่ดูวัฏจักรของจักรวาลมากว่า 600 ล้านรอบ
- ร่างมนุษย์สูง 165 ซม.
- ร่างที่แท้จริง เป็นฟัลซิ สายพัลส์
- เป็นตัวละครที่แข็งแกร่งที่สุดในเรื่อง จากคำยืนยันของคุณฮาจิเมะ ทาบาตะ ผู้กำกับเกม
- เป็นผู้สอนให้คลาส 0 ร้องเพลง Zero

[เนื้อเรื่องย่อ]

อเรเซีย ที่เห็นกันว่าเป็นป้าแว่นปริศนานั้น แท้จริงแล้วเป็นฟัลซิที่ฟัลซิพัลส์สร้างขึ้นมา เพื่อให้ช่วยตามหาและเปิดประตูสู่โลกที่มองไม่เห็น (ประตูแห่งเอโทร) ซึ่งอเรเซียก็ทำการทดลองหาทางเปิดประตูด้วยการรวบรวมดวงวิญญาณจำนวนน้อยที่มีองค์ประกอบพิเศษเข้าไว้ด้วยกัน

โดยจักรวาลที่อเรเซียอยู่นั้น  ฟัลซิลินด์เซย์ยังได้สร้างฟัลซิกาล่าขึ้นมาเพื่อช่วยตามหาและเปิดประตูสู่โลกที่มองไม่เห็นด้วยอีกแรง ทว่าวิธีการของกาล่านั้นแตกต่างออกไป กาล่าได้ใช้วิธีการสังหารหมู่ชีวิตนับล้านซึ่งเป็นวิธีบ้านๆ เข้าใจง่ายแบบเดียวกับที่ฟัลซิบาร์ธานเดลุสในซีรีส์ XIII วางแผนไว้ ....ว่าแล้วอเรเซียและกาล่าก็แยกกันทำหน้าที่ของตน


ฝ่ายอเรเซียได้สร้างคริสตัลประจำชาติทั้ง 4 ขึ้นมาเพื่ออุปถัมภ์ผู้คน บำรุงรักษาโลก และสร้างกลไกให้คริสตัลลบความทรงจำเรื่องของผู้ตายไปจากใจของคนที่ยังมีชีวิตอยู่ซะ เพราะเธอเห็นว่าหากมนุษย์จำเรื่องของผู้ที่ตายไปแล้วไม่ได้ ก็จะไม่เห็นความสำคัญของชีวิต ไม่เข็ดหลาบกับการสูญเสีย การลาจาก มนุษย์จะได้กล้าที่จะทำสงครามฆ่าฟันกันต่อไป ซึ่งทุกครั้งที่ตาย วิญญาณของมนุษย์ก็จะสูงส่งขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งนั่นคือสิ่งที่อเรเซียต้องการ

สภาพที่ชาติทั้ง 4 รบราฆ่าฟันกันไปเรื่อยๆ คือสภาพที่อเรเซียต้องการที่สุด แต่เมื่อใดก็ตามที่ชาติใดชาติหนึ่ง เก๋าพอที่จะยึดครองหรือรวบรวมโลกทั้งใบให้เป็นหนึ่งได้ ยุคสมัยแห่งสงครามของมนุษย์ก็จะยุติลง เมื่อเกิดเหตุการณ์เช่นนั้นขึ้น ฟัลซิกาล่าก็จะส่งกองทัพนักรบลูลูซัสออกมาสังหารหมู่มนุษย์ทั่วโลก และสาปใครสักคนให้กลายเป็นลูซิผู้พิพากษา เพื่อตัดสินว่าในโลกนี้จะมีใครสักคนที่สามารถกลายเป็น "อากิโตะ" บุคคลผู้ที่จะช่วยเปิดประตูสู่โลกที่มองไม่เห็นได้หรือไม่ หากไม่มี... กาล่าก็จะทำลายโลก แล้วอเรเซียก็จะย้อนเวลาเพื่อกลับไปยังจุดเริ่มต้นของจักรวาลเสียใหม่

และจากที่คัมภีร์นิรนามระบุว่าเมื่อถึงเวลา ดวงดาราทั้ง 16 จะปรากฏตัวขึ้นในร่างมนุษย์ โดยแต่ละคนนั้นต่างมีองค์ประกอบอย่างหนึ่งของอากิโตะติดตัวมา อเรเซียที่พยายามสร้างอากิโตะขึ้นมานั้นตระหนักได้ว่าองค์ประกอบของอากิโตะนั้นไม่ได้รวมอยู่ที่ใครคนใดคนหนึ่ง แต่กระจายอยู่ในตัวมนุษย์ทั้ง 16 คน เพื่อดูว่าพวกเขาจะสามารถยับยั้งกาลอวสานของโลก และเปิดประตูสู่โลกที่มองไม่เห็นได้หรือไม่ อเรเซียจึงรวบรวมพวกเด็กๆ คลาส 0 ขึ้นมา

เรื่องราวแห่งการสร้างและทำลายนี้ได้วนเวียนอยู่ร่วม 600,104,972 รอบ โดยแทบทุกรอบ กลุ่มเด็กๆ ที่อเรเซียหวังปั้นให้เป็นอากิโตะ ก็เลือกที่จะกลายเป็นลูซิ แล้วต่อสู้กับกองทัพนักรบลูลูซัสจนตายยกแก็ง

จะมีพิเศษอยู่บ้างก็คือรอบที่ 600,104,971 ในภาคนิยาย ซึ่งพวกคลาส 0 ปฏิเสธที่จะเป็นลูซิ แล้วได้ช่วยกันสู้กับลูซิผู้พิพากษา สุดท้ายแม้จะเอาชนะลูซิผู้พิพากษาได้เป็นครั้งแรก แต่ทั้งกลุ่มก็เหลือ (พระเอกประจำลูปนี้) มาคิน่าคนเดียวที่รอดชีวิต ประตูสู่โลกที่มองไม่เห็นก็ไม่เปิดออก อเรเซียเห็นว่าการกระทำหลายอย่างของมาคิน่าทำให้คลาส 0 อ่อนแอลง อเรเซียจึงตั้งใจว่าในลูปต่อไปจะทำให้เรมอ่อนแอลง เพื่อที่มาคิน่าจะได้ง่วนกับการเป็นห่วงเรม ทิ้งทุกคนได้เพื่อเรม และเป็นเหตุให้มาคิน่าตีตัวออกห่างคลาส 0

แล้วในรอบที่ 600,104,972 พวกคลาส 0 ก็ปฏิเสธที่จะเป็นลูซิอีกครั้ง พวกเขาตายหมู่ยกแก็งในตอนจบอย่างเช่นเคย แต่ถึงกระนั้นพวกเขาก็ร่วมแรงร่วมใจ ช่วยกันเอาชนะลูซิผู้พิพากษาได้สำเร็จ

ตอนจบของลูปรอบนี้ เดิมทีอเรเซียก็คิดที่จะย้อนเวลากลับไปจุดเริ่มต้นของจักรวาลเหมือนกับที่เคยทำมาจนชิน แต่แล้วลีนกับทิซก็พยายามห้ามไว้ ทั้งสองช่วยกันแสดงให้อเรเซียเห็นถึงความยิ่งใหญ่ของมนุษย์ โดยเฉพาะคลาส 0 ที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่อะไร ได้แต่ทำตามคำสั่งของอเรเซีย พัฒนาตัวเองมาเรื่อยๆ ตลอด 600 ล้านลูปจนเอาชนะผู้พิพากษาได้สำเร็จ ส่วนวิญญาณของพวกคลาส 0 ที่ตายกันไปแล้วก็พร่ำบอกอเรเซียที่เลี้ยงดูพวกเขามาตลอดว่า พวกเขารักอเรเซียมากจริงๆ

ท้ายที่สุด อเรเซียก็กลับไปถามมาคิน่าและเรม ให้ทั้งสองเล่าให้ฟังว่าเกิดอะไรขึ้นในวาระสุดท้ายของคลาส 0 เมื่อได้ฟังถึงวีรกรรมความยิ่งใหญ่ของเด็กๆ ที่เธอชุบเลี้ยงมา ซึ่งต่างทำตามคำสั่งของเธออย่างซื่อสัตย์ภักดี พัฒนาตัวเองและต่อสู้เรื่อยมาทั้งที่ไม่รู้ถึงจุดประสงค์แท้จริงเบื้องหลังของอเรเซีย ที่เห็นเด็กๆ เหล่านั้นเป็นเพียงเครื่องมือทดลองหาวิธีการเปิดประตูวิญญาณ แต่เด็กๆ เหล่านั้นกลับเคารพรักเธอจริงๆ อย่างหมดหัวใจ.....

กาลเวลาผ่านไปนานแค่ไหน ไม่มีใครรู้ ทว่าอเรเซียที่ไม่ใช่มนุษย์... ไม่เคยเข้าใจความรู้สึกของมนุษย์ ก็ได้เกิดความรู้สึกเห็นใจเด็กๆ ของเธอขึ้นมา เธอจึงได้ตัดสินใจล้มเลิกการทดลองที่ทำมากว่า 600 ล้านรอบ แล้วหันหลัง เดินออกไปจากโลกโอเรียนซ์พร้อมกับกาล่า คริสตัลทั้ง 4 ที่ไม่เหลือจุดประสงค์อีกต่อไปก็หมดพลังและยุติการทำงาน ไม่มีการลบเลือนเรื่องราวของผู้ตายให้หายไปจากความทรงจำอีกต่อไป และอเรเซียได้ขอให้มาคิน่า จดจำเรื่องราวของเด็กๆ ของเธอไว้ให้ได้ ตลอดไป


ตอนจบของเกม ประตูสู่โลกที่มองไม่เห็นก็ยังคงปิดอยู่อย่างงั้น เรมและมาคิน่ากลายเป็นอากิโตะในสายตาชาวโลก แต่สำหรับทั้งสองแล้วเพื่อนพ้องคลาส 0 ต่างหากที่เป็นอากิโตะที่แท้จริง ทว่าในสายตาอเรเซีย... มันก็ไม่มีใครได้เป็นอากิโตะแหละว้า

ในที่สุด โลกที่เหล่าคลาส 0 สามารถปกป้องไว้ได้ โลกที่พวกเขาเอาชนะหุ่นเชิดของฟัลซิกาล่าได้ ก็ดำรงอยู่ต่อไป

[บทส่งท้าย]

ตอนแรกคุณทาบาตะ ผู้กำกับเกม เคยวางพล็อตไว้ว่าจะให้คลาส 0 สู้กับกาล่า และสู้กับอเรเซียซึ่งเป็นผู้สร้างโลกโอเรียนซ์ในตอนจบของเกม เมื่อชนะได้โลกก็หลุดพ้นจากการครอบงำของผู้ที่ชักใยอยู่เบื้องหลังประวัติศาสตร์มาตลอด แต่ในหมู่ทีมงานก็มีการถกเถียงถึงพล็อตนี้ครั้งแล้วครั้งเล่า สุดท้ายก็หาเหตุผลดีๆ ที่จะให้คลาส 0 ยอมสู้กับอเรเซียไม่ได้ ....เลยต้องเปลี่ยนบอสใหญ่เป็นผู้พิพากษาแทน

ทว่าในตอนจบ อเรเซียก็หันหลัง เดินออกไปจากโลกและประวัติศาสตร์ของมนุษย์ตามที่วางพล็อตไว้แต่แรกอยู่ดี เรียกได้ว่าเป็นการจบเกมแบบที่พวกคลาส 0 ไม่ได้ปราบอเรเซียด้วยกำลัง หากแต่ปราบเธอผู้นั้นด้วยหัวใจ

ก็เป็นวิธีการปราบบอสใหญ่ที่เหนือชั้นอย่างแท้จริง

Wednesday, April 9, 2014

คิตาเสะและโทริยามะตอบเรื่องการจัดทำตัวเกมเวอร์ชั่นต่างประเทศ

*ข่าวจาก USgamer ข่าวนี้ไม่มีเวลาแปล แต่อยากเก็บข้อมูลไว้อ้างอิงในอนาคต ขอไม่แปลนะครับ

--------------------------------------------

Yoshinori Kitase, producer, Lightning Returns: Final Fantasy XIII:
Hello, this is Yoshinori Kitase of Square Enix.  

I read through the article as well as the comments from the readers and fans. Since we were given such a great opportunity, I would like to share my thoughts with you all.  

There were two points that I found particularly interesting.  

First, I’m surprised that you (the readers) know the Square Enix games very well (perhaps even more than we do!). Your analysis, which included not only information on the localization quality but the specific names of the people who worked on the translation, was extremely valuable. Sometimes we get fixated on the sales and review scores for other internal titles, so the feedback was especially helpful. Nonetheless, I was reminded once again that one of the best ways to improve the quality is to reflect on our past success within the company. I’m also very glad to hear that the overall localization quality of our titles has generally improved.  

The second point I thought that was interesting is that we don’t have to be completely accurate to the original Japanese. As long as the overall direction does not deviate, it’s better to make the necessary adjustments in order to have the English sound natural. This also came up in my earlier conversation with Jeremy.  

I actually had a discussion with the localization team at the Square Enix Tokyo Studio, and they too have two different ways to go about doing this. One way is to translate the original Japanese script as closely as possible and raise the quality of the English translation while doing so. The other way is to make bold modifications as needed as long as the gist of it matches up. The method varies depending on the characteristics of the original title and the timing in which the [translation] team is formed at the time. However, in the case of the Final Fantasy XIII series, we leaned towards the former approach. Although the latter is more challenging, we would like do our best to incorporate it into our development in the future, upon receiving this feedback.  

Thank you to the readers and fans for providing honest feedback that we couldn’t have received elsewhere.  

Lastly, I’d also like to thank USgamer for providing us with this opportunity.  

Thank you,

--------------------------------------------

Motomu Toriyama, director, Lightning Returns: Final Fantasy XIII:
Hello, this is Motomu Toriyama of Square Enix.  

I’m very thankful that there was a serious and thoughtful discussion about the localization of Final Fantasy, and that there were many valuable comments that were posted on the article.  

With the increasing quality of graphics, we’ve always encountered a great challenge in the Final Fantasy XIII series to accurately depict the story of the people living in a never-before-seen fantasy world. This is because with each installment, the worlds would become more and more unique. It even came to a point where I wished I could control these unique characters through Paradigm Shift!  

Moving forward, we will think about the methods of crafting expressions and characters that can be easier to understand and relatable at the same time. We will also make an effort to retain the edgy and fresh appeal throughout the localization process, and will continue to take on the challenge to create a brand-new Final Fantasy world.  

We appreciate your continued support.  

Thank you,  

Motomu Toriyama, Director  

--------------------------------------------

ที่มา : USGamer

ภาพรวมกลุ่มตัวละครใหม่ใน Curtain Call


ภาพกลุ่มตัวละครใหม่ที่น่าสนใจใน Theatrhythm -Final Fantasy- Curtain Call สำหรับเครื่อง 3DS วางจำหน่าย 24 เมษายนนี้ ส่วนวันนี้เองก็มีเดโมตัวที่ 2 ปล่อยให้โหลดมาลองเล่นกันได้แล้ว

เทรลเลอร์ล่าสุด : http://www.youtube.com/watch?v=pQ8UPM9OKQg

เว็บไซต์หลักของเกม : http://www.jp.square-enix.com/t_ffcc/

ป.ล. นอกจากการควบคุมด้วยทัชแพดแล้ว ภาคนี้ยังควบคุมด้วยแป้นปุ่มได้ด้วย

ฮาชิโมโตะเตรียมเยือนไทย 10 พ.ค.นี้!



ตามที่เคยเสนอข่าวไปแล้วว่าจะมีการจัดงาน Thailand Comic Con ขึ้นที่พารากอนฮอลล์ สยามพารากอน ในวันที่ 9-11 พฤษภาคม 2014

ในวันที่ผ่านมานี้ (8 เมษายน 2014) ได้มีการจัดงานแถลงข่าวเกี่ยวกับงานดังกล่าวขึ้น เพื่อแจ้งเรื่องรายละเอียดของงาน ซึ่งก็มีการเปิดเผยยืนยันแล้วว่าทีมงานจาก Square Enix ที่จะมาร่วมงานดังกล่าวก็คือผู้อำนวยการอาวุโส คุณชินจิ ฮาชิโมโตะ ซึ่งจะมาร่วมงานในวันที่ 10 พฤษภาคม โดยแว่วมาว่าเฮียแกจะพกเทรลเลอร์ใหม่ซึ่งไม่เคยฉายที่ไหนมาก่อนของ Final Fantasy XV และ Kingdom Hearts III มาฉายในงานด้วย (เอ่อ... แต่ที่ผ่านมา เขาจะเอาเทรลเลอร์ใหม่ไปฉายที่แรกแค่ในอเมริกากับญี่ปุ่นเท่านั้นนา ไทยจะได้อภิสิทธิ์ขนาดนั้นเลยเหรออ!!)

ที่น่าสนใจคือบนเวทีงานวันนี้ ด้านหลังครับ! ด้านหลัง! มีอาร์ทเวิร์คใหม่ของ Kingdom Hearts -HD 2.5 ReMix- ซึ่งไม่เคยเผยโฉมที่ไหน ไปโผล่ในงานด้วย ซึ่งอาร์ทเวิร์คดังกล่าวเป็นรูปของเซอานอร์ทหนุ่ม กับตัวละครใหม่ที่ไม่เคยเห็นมาก่อน ทว่าเขาใส่รองเท้าเหมือนเอราคุส ถือคีย์เบลดของเอราคุส และไว้ผมทรงเดียวกับเอราคุส... แล้วผมจะพูดอ้อมทำไมฟะว่า เขาก็คือเอราคุสตอนหนุ่มนั่นแหละ (จากการตรวจสอบพบว่า มันเป็นภาพแฟนเมดเก่าแล้ว.... Orz สงสัยผู้จัดงานจะกูเกิลภาพมาแปะเวทีเอง)

ตัวผมเองคงไปร่วมงานในวันที่คุณชินจิ ฮาชิโมโตะมา เพื่อไปสนทนา Q&A กับเฮียแกตามแต่โอกาสจะอำนวย ใครสนใจอยากจะไปลูบไล้ตัวคุณผู้อำนวยการอาวุโสซึ่งปัจจุบันดูแล Kingdom Hearts III และ Final Fantasy XV อยู่ ไว้ไปร่วมงานกันครับ อย่าลืมเตรียมคำถามเด็ดๆ ไปต้อนเฮียแกกันด้วยย

ป.ล. ขอบคุณภาพและข่าวจากคุณริส แอดมินสมาคมผู้คลั่งไคล้ SuperHero ครับ

Tuesday, April 8, 2014

แฟมิซือลงสกู๊ปข่าวลือ FFX-3 และภาคต่อ Dissidia


เว็บไซต์แฟมิซือโปรโมตว่านิตยสารแฟมิซือเล่มล่าสุด (ฉบับที่ 24 ประจำวันที่ 10 เมษายน 2014) จะลงสกู๊ปเกี่ยวกับข่าวลือในวงการเกมประจำปี 2014 ซึ่งก็จะมีการวิเคราะห์วิจารณ์ข่าวลือในหลายประเด็น โดยมีประเด็นทีคาบเกี่ยวกับ Square Enix ก็คือการพูดถึงเรื่องการพัฒนา Final Fantasy X-3 และภาคต่อของซีรีส์ Dissidia -Final Fantasy-

ไว้พรุ่งนี้มีคนญี่ปุ่น เมื่อมีคนญี่ปุ่นได้แฟมิซือเล่มล่าสุดมาอ่านแล้ว ก็จะมีรายละเอียดเนื้อหาในเล่มตามมาให้เราๆ ได้อ่านกันเองจ้ะ

ที่มา : Famitsu

---------------------------------------------------

Update จากเว็บไซต์ : http://blog.hokanko-alt.com/archives/38157480.html

จากที่เว็บไซต์แฟมิซือได้โปรโมตไปก่อนหน้านี้ว่านิตยสารแฟมิซือฉบับที่ 24 ประจำวันที่ 10 เม.ย. 2014 นั้นจะลงสกู๊ปความจริงเกี่ยวกับความลือในวงการเกมประจำปี 2014 และบอกให้ผู้สนใจไปซื้อหามาอ่านกันเองนั้น

ล่าสุดบล็อกข่าวเกม Hokanko ซึ่งได้เห็นเนื้อหาของแฟมิซือเล่มดังกล่าวแล้ว ได้สรุปเนื้อหาประเด็นที่คาบเกี่ยวกับ Square Enix ไว้ว่า

- คุณโยชิโนริ คิตาเสะ ผู้อำนวยการของซีรีส์ X ได้ยืนยันกับแฟมิซือว่ายังไม่ได้มีการพัฒนา FFX-3 ขึ้น, ในเล่มยังมีคอมเมนต์จากคุณคาสึชิเงะ โนจิมะ ซึ่งเป็นผู้เขียนสคริปต์ของซีรีส์ดังกล่าวด้วย (ไม่ได้ลงรายละเอียดว่าคุณโนจิมะพูดไว้ว่าอย่างไร) ซึ่งคำยืนยันของคุณคิตาเสะนี้ ก็สอดคล้องกับคำให้การของคุณชินจิ ฮาชิโมโตะ ผู้อำนวยการอาวุโสของทางค่ายที่ได้ตอบคำถามกับสื่อในงานวางจำหน่าย Lightning Returns -Final Fantasy XIII- ที่สิงคโปร์เมื่อวันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2014 ว่าเนื้อหาภาค 2.5 และภาค Will นั้นไม่ได้สร้างขึ้นเพราะมีแผนที่จะพัฒนาภาค 3 ขึ้นมา

(แต่ทั้งคำให้การของคุณคิตาเสะ และคุณฮาชิโมโตะ ก็ต้องใช้วิจารณญาณในการรับฟังอย่างยิ่งยวดแล้ว เพราะตามปกติของค่ายนี้ เมื่อยังไม่ถึงกำหนดการเปิดตัวเกมตามแผนงาน เวลาผู้บริหารโดนสื่อเอาไมค์จ่อปาก ก็จะตอบแนวไม่รู้ไม่เห็นท่าเดียว)

- ส่วนเรื่องภาคต่อของซีรีส์ Dissidia ที่เล่าลือกันมานาน และแฟนๆ อยากเห็น Dissidia ในรูปแบบ HD นั้น ด้านผู้กำกับ Dissidia 012 -Final Fantasy- คุณมิตสึนาริ ทาคาฮาชิเอง ก็เผยว่าเขามีความปรารถนาที่จะสร้าง Dissidia ภาคใหม่ขึ้นมา แต่ก็ไม่ได้สร้างอยู่เช่นกัน

- นอกจากนี้คุณชินจิ ฮาชิโมโตะ ก็ยืนยันว่าการพัฒนา FFXV ก็ยังดำเนินไปด้วยดี ขณะที่ KH -HD 2.5 ReMix- ก็พึ่งเสร็จสิ้นการบันทึกซีนใหม่ไป

สรุปข้อมูลใหม่สั้นๆ

FFX-3 - ยังไม่สร้าง
Dissidia ภาคต่อ - ยังไม่สร้าง

Monday, April 7, 2014

TVCM - FFXIV -ARR- "Eorzea Run"



โฆษณาทางโทรทัศน์ตัวล่าสุดของ Final Fantasy XIV -A Realm Reborn- เวอร์ชั่น PS4 ซึ่งโฆษณาตัวนี้มีชื่อตอนว่า Eorzea Run ซึ่งเน้นไปที่ฉากการวิ่งของตัวละครนับร้อย เป็นการแสดงศักยภาพการแสดงผลของ PS4 ดังที่ทีมงาน Final Fantasy XIV -A Realm Reborn- ได้เคยบอกไว้ว่าตัวเกมเวอร์ชั่น PS4 จะแสดงผลตัวละครพร้อมกันได้ถึง 200 ตัว

ตัวเกม FF14 เวอร์ชั่น PS4 จะวางจำหน่ายวันที่ 14 เดือน 4 ปี 2014 เลยเป็นที่มาของ 4.14 นั่นเอง

Thursday, April 3, 2014

สแกนล่าสุดเผย 4 ตัวละครใหม่ใน Theatrhythm -Final Fantasy- Curtain Call


สแกนล่าสุด Theatrhythm -Final Fantasy- Curtain Call จากนิตยสาร VJump ฉบับล่าสุด สแกนโดยคุณ kazu4281 เจ้าเก่า ซึ่งสแกนคราวนี้เผยตัวละครใหม่ 4 ตัว เกมจะวางจำหน่ายวันที่ 24 เมษายน 2014 ครับ

Wednesday, April 2, 2014

Final Fantasy VI ครบรอบ 20 ปี


2 เมษายน 1994 เป็นวันที่ Final Fantasy VI ได้เริ่มวางจำหน่ายให้กับเครื่อง SFC ในประเทศญี่ปุ่น ซึ่งนับมาถึงวันนี้ก็เป็นเวลา 20 ปีแล้ว โดยภาคนี้ถือว่าเป็นจุดเริ่มต้นของช่วงยุคสมัยที่รุ่งเรืองที่สุดของ Final Fantasy ในโอกาสนี้คุณโยชิโนริ คิตาเสะ หนึ่งในสองผู้กำกับเกมดังกล่าว (ร่วมกับคุณฮิโรยูกิ อิโต) ก็ได้ทวีตข้อความระลึกถึงเรื่องนี้ไว้ว่า

"20 ปีแล้วสินะ ที่ได้ต่อสู้กับช่วงเวลาที่ยากลำบากในการพัฒนา FFVI ขึ้นมา เหล่าคนที่ยังมีอายุไม่ถึง 20 ปี ก็อาจจะไม่เคยเล่นเกมนี้มาก่อน เหตุการณ์ที่โอเปร่าและสุสานของดาริลเป็นฉากที่ผมรับผิดชอบเองโดยตรง เมื่อมีโอกาสแล้ว โปรดลองเล่นกันดูนะครับ"

เทรลเลอร์สุดท้าย Theatrhythm -Final Fantasy- Curtain Call


เทรลเลอร์สุดท้าย Theatrhythm -Final Fantasy- Curtain Call วางจำหน่าย 24 เมษายน 2014 นี้