ยัสจังเผยความรู้สึกของ Delita และ Ramza ในตอนจบของ FFT
บทสัมภาษณ์ยาสึมิ มัตสึโนะ (ผู้กำกับภาคออริจินอล และคนแต่งเนื้อเรื่องต้นฉบับ) กับมาเอฮิโระ คาสึโทโยะ (ลูกหาบยัสจัง ที่กลายมาเป็นผู้กำกับภาคปัจจุบัน)
*เช่นเดิม ไม่แปลข้อมูลที่ซ้ำกับบทสัมภาษณ์ก่อน ๆ
ยัสจัง
“ในช่วงระหว่างยุค 80 ถึงต้น 90 เนื้อเรื่องของเกมส่วนใหญ่จะเกี่ยวกับวความดี ปะทะกับความชั่ว ซึ่งฮีโร่ของเราต้องไปปราบราชาปิศาจที่ทำลายความสงบสุข ตั้งแต่สมัยเเป็นนักเรียนละ ผมชอบดูละครโศกนาฏกรรมที่อิงประวัติศาสตร์ เช่น งานเขียนของเชคสเปียร์ ตอนนั้นเอง ผมรู้สึกว่าเทคนิคที่ใช้ในงานภาพยนตร์และนิยาย ก็สามารถเอามาใช้ในเกมได้ ผมเชื่อว่านี่คือโอกาสที่จะเปิดโลกใหม่ให้กับการเล่าเรื่องของเกม”
ยัสจังเล่าว่าตอนสร้าง Ogre Battle: The March of the Black Queen และ Tactics Ogre ก็พยายามใส่ความเป็นตัวเองเข้าไปในเกมแล้ว คือใส่ดรามาการเมืองและโศกนาฏกรรมเข้าไป ทว่าตอนนั้นก็รู้สึกว่าเพียงแค่นี้ ยังไม่พอที่จะสร้างแรงกระเพื่อมให้กับสไตล์ของเกมได้ ตอนนั้นเอง ก็ได้รับโอกาสให้ยืมจุดแข็งของแบรนด์ Final Fantasy มาใช้
เรื่องราวใน FFT นั้นเรียบง่าย อิวาลิซเป็นโลกยุคกลาง โลกที่สิทธิมนุษยชนไม่มีอยู่จริง พระเอกของเรา รัมซา เกิดในครอบครัวชนชั้นสูงภายในยุคที่ยากลำบาก ทว่าระหว่างการต่อสู้ รัมซาเริ่มตั้งคำถามกับระบบชนชั้นทางสังคม และหลุดพ้นจาก “ชุดความรู้เดิม” และ “ค่านิยมตามฝั่งอนุรักษ์นิยม” จนท้ายที่สุดเขาก็เข้าถึง “อิสรภาพ”
อิสรภาพที่แท้จริงคืออะไร? อะไรคืออิสรภาพที่ไม่ขึ้นกับรัฐ ไม่ยึดโยงกับชุดความรู้เดิม และไม่ผูกมัดด้วยค่านิยมของสถานะทางสังคม?
แม้จะผ่านมา 30 ปีแล้ว แต่นี่ก็ยังเป็นสิ่งที่เราโหยหา เป็นแรงบันดาลใจให้กับเราอยู่เสมอ ใช่หรือไม่?
“ความแตกต่างระหว่างรัมซาและเดลิตาที่พรรณนาในเนื้อเรื่องนั้นก็เรียบง่าย แม้ทั้งสองจะยอมรับกัน แต่ก็ไม่ได้เดินอยู่บนเส้นทางเดียวกัน และสุดท้ายเส้นทางของพวกเขาก็แยกออกจากกัน”
“รัมซานั้นสูญเสียทุกอย่าง แต่ก็ได้รับสิ่งที่เขาต้องการอย่างแท้จริง”
“ในทางกลับกัน เดลิตาได้ทุกอย่าง แต่กลับสูญเสียสิ่งที่เขาต้องการอย่างแท้จริง”
“รัมซาได้รับสิ่งที่เขามองว่าเป็น อิสรภาพที่แท้จริง ในขณะที่เดลิตา ได้รับการยกย่องว่าเป็นวีรบุรุษ แต่กลับต้องสูญเสียความรักที่มีต่อโอเวเลียไปในกระบวนการ เรื่องราวเหล่านี้เกิดขึ้นเมื่อผมตัดสินใจจะร้อยเรียงเรื่องราวของตัวละครทั้งสอง ที่เดินบนเส้นทางอันแตกต่างกัน”
“ในช่วงชีวิตของทุกคน เราต่างต้องการกลายเป็น “คนพิเศษ” ไม่มีใครอยากที่จะมีชีวิตที่ธรรมดาหรอก และมันไม่ใช่เรื่องที่ผิด แต่ในทางกลับกันมีคนมากมายที่เมื่อความฝันพังทลายลงแล้ว ก็ไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากกลับไปใช้ชีวิตธรรมดา ชีวิตนั้นคือละครของความสำเร็จและความล้มเหลว ; ทว่านั่นแปลว่าคนที่ล้มเหลวจะไม่มีวันมีความสุขรึเปล่า? นั่นเป็นคำถามที่ทุกคนต้องเคยฉุกคิดขึ้นมาสักครั้ง ตัวผมเองก็เคยเจอชีวิตสู้กลับหลายต่อหลายครั้ง และมองว่าตัวเองก็เป็นคนที่ ‘ล้มเหลว’ เหมือนกัน”
“วันหนึ่งผมก็เข้าใจ สิ่งที่ผมต้องทำ ก็คือการเปลี่ยนมุมมองของตัวเอง”
“ความสำเร็จไม่ได้แปลว่าจะมีความสุขเสมอไป”
“การคิดแบบนั้น ทำให้ผมสามารถสร้างนิยาม ‘ความสุข’ ของตัวเองขึ้นใหม่ได้”
“รัมซาได้รับอิสรภาพ ก็เพราะเขาสร้างนิยาม “ความสุข” สำหรับเขาขึ้นมาใหม่”
“ในทางกลับกัน เดลิตา ไม่สามารถทำเช่นนั้นได้ ท้ายที่สุดก็ต้องใช้ชีวิตอย่างสันโดษ”
“ผมไม่ได้จะให้ตั้งคำถามว่าสิ่งเหล่านี้มันดีหรือไม่ - เพราะชีวิตของคนเรานั้น มันก็ไม่เหมือนกัน”
มาเอฮิโระพูดต่อด้วยเรื่องเกี่ยวกับระบบที่ปรับปรุงใหม่ในเวอร์ชันนี้ (เนื้อหาซ้ำกับที่พูดไปหลายรอบแล้ว) และจบท้ายตามสูตรสำเร็จของการโฆษณาว่า ถ้าเกมนี้ประสบความสำเร็จ มันไม่เพียงเป็นการแสดงความสนใจจากเกมเมอร์ แต่ยังเป็นการแสดงความอยู่รอด (ของเกมแนว Tactical) ในแง่ธุรกิจได้ ความสำเร็จเหล่านั้นก็จะปูทางไปสู่การขายเกมแนว tactics ใหม่ ๆ ที่จะตามหลัง The Ivalice Chronicles มา ก็หวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะเป็นแบบนั้น
https://www.inverse.com/gaming/final-fantasy-tactics-the-ivalice-chronicles-interview
Post a Comment