คุณ ExeForce87 ลงสแกนใหม่ล่าสุดของ Bravely Second ซึ่งงวดนี้หน้าสแกนเป็นแผ่นยาวต่อเนื่องติดกัน 4 หน้า... เนื้อหาหลัก ๆ ของสแกนชุดนี้ก็คือแนะนำตัวละครแมคโนเลียและอาเนียส เมืองกัวเตลาทิโอ และอาชีพเบื้องต้น 5 อาชีพของแม็คโนเลีย เข้าไปดูดเก็บได้ตามลิงค์ครับ
Thursday, July 31, 2014
Eorzea Cafe เตรียมเปิดให้บริการ 31 กรกฎาคมนี้!!
Square Enix เตรียมเปิดให้บริการ Eorzea Cafe แหล่งมั่วสุมใหม่ที่พร้อมให้แฟน ๆ เข้าไปนั่งเล่น Final Fantasy XIV ไปพลาง กระเดือกอาหารจากโลก Eorzea ไปพลาง ภายใต้บรรยากาศแสนพิสดารสไตล์ Carline Canopy ในเมืองกริดาเนีย ภายในร้านประกอบด้วยทั้งอาวุธ เครื่องป้องกัน และอาหารที่จำลองจากเกมมาสู่โลกแห่งความเป็นจริง
ร้านดังกล่าวจะเริ่มเปิดให้บริการตั้งแต่วันที่ 31 กรกฎาคมนี้ ที่ 秋葉原・パセラリゾーツ AKIBA マルチエンターテインメント งานนี้เชฟโยชิดะ ไม่รับประกันความอร่อย แต่อยากให้ทุกคนมาลิ้มลอง...
ดูภาพเพิ่มเติมได้ตามลิงค์ด้านล่างนี้
Tuesday, July 29, 2014
แนะนำตัวละคร คูวัน นักกินผู้มาจากมโนแลนด์
"เก็บวีวี่มาเลี้ยงได้ 6 เดือนแล้ว แต่ก็ยังตัวเล็กไม่น่ากิน?"
คูวัน (Quan, クワン) เป็นนักกินชาวเผ่าคูที่เก็บวีวี่มาเลี้ยง และได้รับความนับถือเป็นปู่ของวีวี่ ชุดของคูวันนั้นได้แรงบันดาลใจมาจากชุดจอหงวนของชาวจีน โดยจะเป็นชุดแขนยาวสีกุหลาบ มีตรามังกร สวมหมวกบัณฑิต เอิ่ม... แถมเจ้าตัวยังมีหนวดสีดำด้วย
เจ้าตัวคูวันนั้นมีสถานะเป็นเทพแห่งการกิน เขาชอบพร่ำเพ้อเรื่องการใช้จินตนาการในการกินอาหาร ครั้งหนึ่งเขาเคยมีลูกศิษย์ชื่อคูเอล (Quale, クエール) ซึ่งคูวันต้องสอนศาสตร์แห่งการกินให้ แต่เจ้าตัวก็เหนื่อยหน่ายกับความสามารถของคูเอล โดยบอกว่าคูเอลขาดจินตนาการของนักกิน จากนั้นมาความสัมพันธ์ของทั้งคู่ก็ไม่ค่อยดี คูวันทิ้งการฝึกสอนลูกศิษย์ไป ส่วนคูเอลก็ทำเป็นไม่รู้จักคูวันอีกนับแต่นั้นมา
ต่อมาคูวันก็ย้ายไปอยู่ในถ้ำที่มีบ่อน้ำพุร้อนใกล้เมืองเทรโน่ เจ้าตัวใช้ชีวิตตามลำพังจนกระทั่งวันหนึ่งในเดือนกันยายนปี 1799 ขณะเจ้าตัวยืนตกปลาอยู่ริมผา แทนที่จะตกได้ปลา เจ้าตัวดันตกได้เจ้าวีวี่ที่พลัดตกมาจากเรือเหาะบรรทุกสินค้ามาแทน ตอนนั้นคูวันวางแผนว่าจะขุนเจ้าวีวี่นี้ให้โตแล้วจับกินซะให้สมฐานะเทพนักกิน แต่ต่อมาเจ้าตัวก็ตั้งชื่อให้กับวีวี่ และสอนเรื่องโลกภายนอกหลาย ๆ อย่างให้ ความห่วงใยของคูวันนั้นส่งผลให้วีวี่ซึ่งเป็นดั่งมนุษย์กล เริ่มมีความรู้สึกนึกคิดขึ้นมา วีวี่เองก็เคารพนับถือคูวันในฐานะปู่
กระทั่ง 1 มกราคม ปี 1800 คูวันก็เสียชีวิตลง ต่อมาวันที่ 7 มกราคม วีวี่ที่เหลือตัวคนเดียวก็ตัดสินใจออกจากถ้ำไปผจญโลกภายนอก (นาฬิกาหน้าที่ริมผาหยุดลงในวันนี้) ซึ่งเจ้าตัวก็มาถึงเมืองเทรโน่ และต่อมาก็นั่งเรือเหาะไปถึงเมืองอเล็กซานเดรียในวันที่ 14 มกราคม ถัดมาในวันที่ 15 ก็ได้เจอกับพวกซีดาน ตัวเอกของเรื่อง และเริ่มต้นออกเดินทางด้วยกัน
คล้อยหลังผ่านมา 1-2 เดือน พรรคพวกของซีดานได้มาเยือนที่ถ้ำของคูวัน ตอนนั้นเองผีคูวันก็โผล่มา พร้อมกับเจ้าตัวคูเอลที่จู่ ๆ ก็โผล่เข้ามาในฉากเฉย แบบไม่มีเหตุผลและไม่ต้องการความเข้าใจใด ๆ... คูเอลได้ตำหนิคูวันที่ทิ้งการฝึกสอนเขาไป ทว่าคูวันก็สั่งสอนว่า การเป็นนักกินนั้นไม่ใช่ว่าต้องกินทุกสิ่งทุกอย่าง แต่สิ่งสำคัญคือการมีจินตนาการ อย่างควีน่านั้นรู้จักมโนถึงอาหาร ควีน่ากินอาหารที่ตัวเองมโนขึ้นมาจนรับรู้ได้ถึงรสชาติที่แท้จริงของมัน!! นั่นต่างหากคือนักกินที่แท้จริง ส่วนคูเอลนั้นขาดจินตนาการ ยึดติดกับความจริง เลยไม่รู้รสชาติของอาหารจนกว่าจะได้กินจริง ๆ แบบนี้ไม่ถือว่าเป็นนักกิน!! นักกินน่ะ แค่ใช้จินตนาการก็รับรู้ได้ถึงรสชาติอาหารทั่วโลกแล้วว้อยยย!!
***หมายเหตุ เด็กอายุต่ำกว่า 15 ปี ควรใช้วิจารณญาณอย่างยิ่งยวดในการรับฟังคำสั่งสอนของคูวัน
ถึงตรงนี้คูวันก็เผยว่าการที่เขาเลี้ยงดูวีวี่ซึ่งไม่รู้เรื่องโลกภายนอกเลย ทำให้เขาจินตนาการของเขาสูงส่งขึ้น
"การกินมันก็เหมือนการใช้ชีวิตนั่นแหละ... วีวี่ เจ้าเข้าใจมั้ย?"
"อย่ามองแค่สิ่งที่เห็น แต่การคิดและการพูดนั้นก็สำคัญ"
"ชีวิตสิ้นสุดลงเมื่อคนเราตาย"
"แต่จินตนาการที่มีร่วมกับผู้อื่น จะคงอยู่ต่อไปนิรันดร์"
"วิญญาณของข้าต้องไปแล้ว จินตนาการของข้าสิ้นสุดลง"
วีวี่ : ไม่นะ... ปู่ ต้องจากไปอีกแล้วเหรอครับ?
"ไม่ต้องเศร้าไปหรอก... วีวี่ ตราบใดที่เจ้ามีจินตนาการ"
"ข้าจะอยู่ข้างกายเจ้าเสมอ"
"ควีน่ากับคูเอลด้วย.... โชคดีนะ...."
หลังจากที่ผีคูวันหายไปแล้ว ซีดานจะเข้ามาถามว่าพวกแกพูดกับใคร? ตะกี้เขาเห็นทุกคนพูดอยู่กับอากาศ มันยังไงเนี่ย? ควีน่าได้ยินเลยเหน็บไปว่า "เข้าใจละ... นายยังต้องเรียนรู้อีกเยอะนะซีดาน"
สำหรับสาเหตุการตายของคูวันนั้น จากคำให้การของวีวี่... เห็นว่าก่อนตายคูวันสำเร็จวิชาอิ่มทิพย์... (กินอาหารที่ตัวเองมโนขึ้นมา) แล้วก็ไม่ยอมกินอะไรจริง ๆ อีกเลยจนกระทั่งวาระสุดท้ายของชีวิต.... Orz
และแม้ว่าเดิมทีคูวันจะตั้งใจเลี้ยงวีวี่ไว้กิน แต่เลี้ยง ๆ ไปคูวันก็เกิดความรักความผูกพันกับจอมเวทย์น้อย ถึงได้สอนเรื่องราวของโลกภายนอกให้ แม้ว่าจะไม่ได้ผูกพันกันด้วยสายเลือด แม้จะอยู่กันเพียงเวลาสั้น ๆ แต่ช่วงเวลาที่มีร่วมกัน และคำสั่งสอนจากคูวันนั้น ก็สร้างบุญคุณให้วีวี่ได้ใช้ชีวิตกับเขาจริง ๆ
ทั้งนี้จาก timeline ที่ว่าคูวันพบวีวี่เมื่อเดือนกันยายน 1799 แต่เจ้าตัวสิ้นใจลงเมื่อ 1 มกราคม 1800 หมายความว่าคูวันได้อยู่กับวีวี่แค่ 4 เดือนเท่านั้น ดังนั้น ข้อความที่ว่าเก็บวีวี่มาเลี้ยงได้ 6 เดือนแล้ว.... ถ้าไม่ใช่คูวันมโนไปเอง ก็เป็นคนเขียนสคริปต์เมา (ถ้าใช้คำว่าประมาณครึ่งปี น่าจะยังถูไถไปได้)
Bravely Default ผ่านหลัก 1 ล้านชุด และข้อมูลอาเนียสในภาค 2
ตั้งแต่วันที่ 28 กรกฎาคม 2014 นี้เป็นต้นไป Square Enix ปล่อย Bravely Default -For the Sequel- แบบเล่นฟรี 4 Chapter แรกลงสู่ Nintendo eShop ให้คนที่สนใจได้ลองเล่นกัน ซึ่งหากเล่นแล้วติดใจอยากจะจบเกม ก็สามารถจ่ายเงินค่าอัพเกรด 2,000 เยนเพื่อซื้อเนื้อหา Chapter ที่เหลือทั้งหมดได้
ทั้งนี้ในส่วนของตัวเกมแบบตลับ วันที่ 7 สิงหาคม 2014 จะมีการวางจำหน่าย Bravely Default -For the Sequel- ชุด Ultimate Hits ออกมาในราคา 2,500 เยน ผู้สนใจรอตามเก็บได้
ทั้งนี้ Square Enix ยังได้ประกาศว่านับตั้งแต่ที่ตัวเกม Bravely Default วางจำหน่ายครั้งแรกเมื่อเดือนตุลาคม 2012 ถึงตอนนี้เป็นเวลา 1 ปีครึ่งแล้ว ตัวเกมก็วางขายในญี่ปุ่นไปได้ราว 4 แสนชุด นอกญี่ปุ่น 6 แสนชุด (นับตั้งแบบตลับและดิจิตอล) เมื่อคิดรวมทั่วโลก เกมดังกล่าวจึงทำยอดขายผ่านหลัก 1 ล้านชุดไปได้แล้วนั่นเอง (ถ้าหักยอดขายแบบตลับออกไป จะคำนวณได้ว่าแบบดิจิตอลขายได้เกือบ 1 แสนชุดนั่นเอง)
ในส่วนอัพเดทของ Bravely Second วันนี้ก็มีการเปิดเว็บไซต์หลักของเกม ซึ่งนอกจากเผยอาร์ทเวิร์คของอาเนียสในภาคนี้แล้ว ยังมีการแนะนำเมืองกัวเทลาทิโอ ซึ่งเป็นทางผ่านไปสู่วิหารแห่งดินและดินแดนศักดิ์สิทธิ์ ในส่วนของอาเนียสนั้นก็มีการลงข้อมูลไว้ว่าเธอได้ฟื้นฟูลัทธิคริสตัลที่เกือบจะล่มสลายไปแล้วกลับคืนมา และขึ้นเป็นสันตะปาปาองค์ที่ 4 ในประวัติศาสตร์ อาเนียสยังคงเป็นมิตรกับผู้คน มีชื่อเสียง ปรารถนาให้ลัทธิคริสตัลและอาณาจักรเอเทอร์เนียอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข ทว่าระหว่างพิธีลงนามในสัญญาระหว่างลัทธิและเอเทอร์เนียในเมืองกัวเทลาทิโอ เธอก็ถูกลักพาตัวไป
Friday, July 25, 2014
โนมุระเผยดีไซน์เกราะใน KH ได้แม่แบบจากดีไซน์แบทแมนภาคพิสดาร
เท็ตสึยะ โนมุระ ให้สัมภาษณ์นักข่าวจากเว็บไซต์ Siliconera ถึงที่มาของฟิกเกอร์แบทแมนอันลือลั่นที่เจ้าตัวออกแบบเองและเปิดตัวออกมาเมื่อวานนี้
เรื่องของเรื่องคือเมื่อนานมาแล้ว คุณโนมุระได้มีส่วนร่วมในโปรเจคท์เกม ๆ หนึ่ง ก็มีการคิดคอนเซปต์ไอเดียต่าง ๆ ไว้ รวมถึงออกแบบเจ้าแบทแมนตัวนี้ขึ้นมาด้วย แต่ในที่สุดเกมดังกล่าวก็จบเห่แค่ขั้นคอนเซปต์ ไม่ผ่านการอนุมัติและไม่ได้เริ่มพัฒนา กระทั่งวันหนึ่งทีมผลิตสินค้าก็คิดจะขยับขยายไปทำฟิกเกอร์จาก DC Comics ด้วย แล้วสมาชิกในทีมก็จำได้ว่าคุณโนมุระเคยออกแบบแบทแมนร่างพิสดารมาก่อน จึงขอให้เฮียแกไปคุ้ยมาแชร์อีกครั้ง
ทีนี้เมื่อนักข่าวซักถามว่าเกราะของแบทแมนภาคพิสดารนี้ ดูละม้ายเกราะของผู้ใช้คีย์เบลดใน Kingdom Hearts -Birth by Sleep- เลย.... คุณโนมุระจึงเผยว่าอันที่จริงแล้ว ไม่ใช่ว่าแบทแมนตัวนี้ได้รับอิทธิพลมาจากดีไซน์ของ Kingdom Hearts แต่กลับกัน เจ้าแบทแมนตัวนี้ถูกออกแบบขึ้นมาก่อน และเกราะใน Kingdom Hearts ต่างหากที่ได้แม่แบบมาจากเจ้าแบทแมน
แน่นอนว่าตอนนี้ทางทีมผลิตสินค้าของทางค่ายก็เริ่มทำฟิกเกอร์อื่น ๆ ไป และจะมีฟิกเกอร์ตัวละครอื่นจากซีรีส์แบทแมนตามมา ซึ่งสำหรับฟิกเกอร์ตัวที่ 2 ซึ่งถูกบอกใบ้ด้วยรูปรอยเท้าแมวนั้น เป็นทีเชื่อกันตั้งแต่เมื่อวานนี้แล้วว่าฟิกเกอร์ตัวต่อไปที่จะออกมาคือแคทวูแมนภาคพิสดารนั่นเอง
ทั้งนี้จุดที่คุณโนมุระสนใจในจักรวาลของแบทแมนเป็นพิเศษ ก็คือเนื้อเรื่องแนว Dark Hero ทึม ๆ ไม่ได้สดใส ไม่ได้บ้าความยุติธรรม มันแจ่มเป็นบ้าเลย
ต่อมาเมื่อถามว่าการออกแบบตัวละคร 3D ให้กับเกม มันต่างกับการออกแบบฟิกเกอร์ยังไง? คุณโนมุระตอบแบบง่าย ๆ เลยว่าถ้าออกแบบตัวละครก็ต้องคิดเนื้อเรื่องด้วย แต่ถ้าออกแบบฟิกเกอร์ ก็แค่ทำ ๆ ไปให้คนซื้อ เอิ่ม... แต่สำหรับเจ้าแบทแมนตัวนี้ เขาก็ต้องส่งภาพดีไซน์ทั้งหมดไปให้เจ้าของลิขสิทธิ์ตรวจสอบ พร้อมทั้งอธิบายคอนเซปต์ทั้งหมดของมันด้วยน่ะนะ
ที่มา : Siliconera
SQEX ยืนยันการลาออกของ CTO โยชิฮิสะ ฮาชิโมโตะ
จากที่วันก่อนมีคอมเมนต์คุยโต้ตอบกันอย่างไม่เป็นทางการใน Facebook ของคุณโยชิฮิสะ ฮาชิโมโตะ ประธานฝ่ายเทคโนโลยี และผู้กำกับด้านเทคนิคของ Final Fantasy XIV -A Realm Reborn- ว่าเจ้าตัวได้ลาออกจาก Square Enix แล้ว วันนี้ทางค่ายได้ยืนยันผ่านเว็บไซต์ Game Watch แล้วว่าคุณโยชิฮิสะได้ลาออกจริง ด้วยเหตุผลส่วนตัวซึ่งไม่เป็นที่เปิดเผย
คุณโยชิฮิสะนั้น เดิมเป็นทีมสร้าง Hedgehog Engine ให้เกมซีรีส์ Sonic ของค่าย SEGA และยังเคยเป็นผู้กำกับให้กับเกม Sonic Unleashed แต่เจ้าตัวก็ลาออกจาก SEGA แล้วมาเข้าทำงานที่ Square Enix ในปี 2009 ซึ่งเขาและทีม Luminous Studio ก็ได้ช่วยพัฒนา Engine ให้กับยุคต่อไปของค่าย จนกลายมาเป็น Tech Demo - Agni's Philosophy ที่เผยโฉมในงาน E3 2012 จากนั้นก็ได้สร้าง Engine ปรับแต่งพิเศษขึ้นมาใหม่ให้กับ Final Fantasy XIV -A Realm Reborn- ซึ่งกลายมาเป็น Engine ที่รองรับการสร้างเกม MMO ให้กับทั้งเครื่องคอนโซลและ PC
ตำแหน่งประธานฝ่ายเทคโนโลยีที่ว่างไปของคุณโยชิฮิสะนั้น จะได้คุณ Remi Driancourt ซึ่งเป็นหนึ่งในทีม Luminous Studio ขึ้นมาแทน ส่วนตำแหน่งผู้กำกับด้านเทคนิคของ Final Fantasy XIV -A Realm Reborn- คุณโยชิฮิสะ พร้อมทั้งคุณนาโอกิ โยชิดะ ภูมิใจเสนอให้แต่งตั้งคุณฮิเดยูกิ คาสึงะ ที่เป็นหัวหน้าทีมโปรแกรมเมอร์ขึ้นมาแทน โดยคุณโยชิฮิสะนั้น แม้จะลาออกไปแล้ว แต่ก็จะช่วยเป็นที่ปรึกษาด้านเทคนิคให้ต่อไป
ส่วนอนาคตของคุณโยชิฮิสะ ว่าจะไปเข้าสังกัดค่ายไหนต่อ ก็รอเจ้าตัวมาเปิดเผยเองต่อไปครับ
ที่มา : Game Watch
Thursday, July 24, 2014
สแกนล่าสุด KH -HD II.5 ReMix- เผยตัวอย่าง Cinematic ของ coded
สแกนใหม่ของ Kingdom Hearts -HD II.5 ReMix- จากนิตยสารแฟมิซือ สแกนโดย Master Spockanort งวดนี้มี 4 หน้าด้วยกัน โดยเน้นไปที่ตัวอย่าง HD Cinematic Movie ของภาค coded ครับ
ที่มา : KHinsider
สแกน Bravely Default เผยการกลับมาของอาเนียส
สแกน Bravely Second สำหรับเครื่อง 3DS จากทวีตภพของคุณ kazu4281ภาคนี้อาเนียส ก็ยังคงมีบทบาทอย่างเช่นเคยจ้ะ
Wednesday, July 23, 2014
SQEX Store หลุดเผยภาพปก KH -HD II.5 ReMix- เวอร์ชั่นอเมริกาเหนือพร้อมเรื่องชุด Limited Edition
เช้าที่ผ่านมาเว็บไซต์ Square Enix Store ฝั่งอเมริกาเหนือ หลุดเผยภาพปก Kingdom Hearts -HD II.5 ReMix- เวอร์ชั่นอเมริกาเหนือ ที่ใช้ภาพเดียวกับฝั่งญี่ปุ่นเด๊ะ นอกจากนี้ยังหลุดเผยอีกว่าคนที่ซื้อเกมเวอร์ชั่นปกติชุดแรก จะได้อัพเกรดเป็นชุด Limited Edition ด้วยฟรี (เหมือนตอนภาค I.5 ที่คนซื้อชุดธรรมดาล็อตแรกได้อัพเกรดเป็น Limited Edition ที่แถมอาร์ทบุ๊ค) แต่สิ่งที่แตกต่างไปคือชุด Limited Edition ของภาคนี้จะแถมเข็มกลัดรูปโซระและมิคกี้เมาส์
ล่าสุดภาพปกเกม และข้อมูลเรื่องชุด Limited Edition ดังกล่าวได้ถูกแก้ไขออกจาก Square Enix Store แล้ว คาดว่าข้อมูลที่เห็นในตอนเช้าเป็นฝีมือคนดูแลเว็บที่เผลอทำหลุดมาก่อนเวลาเปิดเผยตามแผนงาน
ที่มา : Square Enix
Kotaku แฉเบื้องหลังดราม่าทีมสร้างแพทซ์ Final Fantasy Type-0!
***เนื่องจากข่าวนี้มีเนื้อหาที่ต้องอาศัยการติดตามข้อมูลข่าวสารของ Final Fantasy Type-0 อย่างต่อเนื่องตลอด 2 ปีล่าสุด จึงจะลำดับเหตุการณ์ โยงเหตุและผลของการกระทำต่าง ๆ และปะติดปะต่อเรื่องได้อย่างสมบูรณ์ ทว่าผมมีเวลาเขียนข่าวจำกัด เลยเลือกที่จะตัดการอ้างอิงถึงข้อมูลเก่าที่ควรรู้ลงไปในเนื้อหาข่าว เพื่อให้เนื้อหากระชับและเหลือแต่ข้อมูลใหม่จริง ๆ
----------------------------------------------------------
ต่อเนื่องจากวันที่ 18 กรกฎาคม 2014 ที่เกิดเหตุการณ์ “ปลิวไปแล้ว” กับแพทซ์ภาษาอังกฤษของ Final Fantasy Type-0 ซึ่งจัดทำโดยทีม Operation Doomtrain ที่นำโดยคุณ Sky Blade Cloud นั้น ล่าสุดทางสื่อจอมเสี้ยมอย่างเว็บไซต์ Kotaku ก็ได้ไปทำการขุดคุ้ยเบื้องลึกเบื้องหลังของเรื่องดังกล่าวจากทีม Operation Doomtrain มาเพิ่มเติม และพร้อมแล้วที่จะแฉเบื้องลึกเบื้องหลังปัญหาในทีม ซึ่งมันมีเงื่อนงำและดราม่ามากกว่าที่คาดคิด
สาระสำคัญอันเป็นเรื่องใหม่ที่ทาง Kotaku อยากจะแฉสรุปได้เป็น 6 ข้อใหญ่ดังนี้
1. ก่อนหน้านี้เมื่อต้นปี 2014 ทาง Kotaku ได้สอบถามคุณ Sky Blade Cloud ว่าไม่กลัวจะถูกดำเนินคดีตามกฎหมายรึ? ทางเจ้าตัวก็เคยให้คำตอบไว้ว่า “ผมไม่ห่วง เพราะผมอยู่ในสเปนที่มีหลักกฎหมายเรื่องนี้ไม่เหมือนชาวบ้านเขา”
หมายเหตุ : กฎหมายลิขสิทธิ์ในสเปน ถ้าเป็นเรื่องลิขสิทธิ์ในโปรแกรมคอมพิวเตอร์ Article 100 ได้วางหลักไว้ว่ากรณี modification to produce successive versions by the holder of the rights of exploitation สามารถทำได้
2. Square Enix ได้ติดต่อทีม Operation Doomtrain มาเป็นเวลาระยะหนึ่งแล้ว ไม่ใช่พึ่งมาติดต่อในวันที่ 18 กรกฎาคมที่มีการเอาแพทซ์ออก
เมื่อวันที่ 22 มีนาคม 2014 ที่ผ่านมา หลังจากที่ทาง Operation Doomtrain ได้ประกาศว่าแพทซ์ภาษาอังกฤษของเกมดังกล่าวใกล้เสร็จแล้ว และพร้อมจะเผยแพร่ในวันที่ 8 สิงหาคม 2014 ถัดมาแผลบเดียว ตัวแทนของ Square Enix ได้ติดต่อมายังทีมว่าทางบริษัทต้องการปกป้องลิขสิทธิ์ในทรัพย์สินทางปัญญาของทางค่ายเอง จึงอยากจะเจรจากับทีมเพื่อหาทางออกที่ทั้งสองฝ่ายจะพอใจด้วยกันได้ ซึ่งตัวแทนของค่ายก็ขอให้คุณ Sky Blade Cloud เซ็นสัญญาลับบางอย่าง แล้วก็คุยกันยาวเป็นสัปดาห์ ซึ่งคุณ Sky Blade Cloud ไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดการเจรจาได้ แต่เล่าในเชิงว่าตัวแทนของ Square Enix พยายามเจรจาแบบสมานฉันท์ เป็นกันเอง และหวังว่าจะเก็บการดำเนินการทางกฎหมายไว้เป็นไม้ตายก้นหีบหากจำเป็นจริง ๆ เท่านั้น
3. สมาชิกทีม Operation Doomtrain เคยหารือกันว่าหาก Square Enix ประกาศทำ Final Fantasy Type-0 ให้ตลาดตะวันตกอย่างเป็นทางการ พวกเขาจะเลิกทำแพทซ์ดีมั้ย?
จากการสอบถามสมาชิกทีม Operation Doomtrain คนหนึ่ง ซึ่งเจ้าตัวบอกว่าได้อุทิศเวลาร่วมพันชั่วโมงให้กับการสร้างแพทซ์นี้ เจ้าตัวบอกว่าในช่วงปลายเดือนมีนาคมที่ Square Enix ติดต่อมา คาบเกี่ยวกับช่วงกลางเดือนเมษายนที่ Square Enix France ได้ทวีตข้อความเย้าแหย่แฟน ๆ ว่าจะมีเซอร์ไพรซ์เรื่องการวางจำหน่าย Final Fantasy Type-0 ภายในงาน E3 ปีนี้ ทำให้เจ้าตัวเชื่อว่าอาจมีการประกาศวางจำหน่าย Final Fantasy Type-0 ให้กับตลาดตะวันตกภายในงาน E3 ก็ได้ เขาจึงหารือกับเพื่อนร่วมทีมว่าหากทางค่ายประกาศแบบนั้นจริง ๆ แล้วจะเราจะทำยังไงกับแพทซ์ของเราดีฟะ? ซึ่งสมาชิกในทีมก็มีคุย ๆ กันว่าเราจะยอมเสียเวลาที่ร่วมลำบากกันมาตลอดไปฟรี ๆ แล้วไม่ปล่อยแพทซ์ออกมาดีมั้ย? เนื่องจากการปล่อยแพทซ์อังกฤษออกมาก่อน อาจจะส่งผลกระทบต่อยอดขายของ Final Fantasy Type-0 เวอร์ชั่นอังกฤษของจริงที่ทางค่ายจะวางจำหน่ายออกมาในอนาคตก็ได้? มันอาจจะทำให้ขายได้น้อยลงเพราะคนบางส่วนก็คงเล่นตัวเกมภาค PSP แบบติดแพทซ์อังกฤษไปแล้ว?
สำหรับข้อเท็จจริงตรงนี้ ผมขอยกย่องหัวใจของสมาชิกทีมที่ไม่เพียงคำนึงถึงความรู้สึกของแฟน ๆ แต่ยังคำนึงถึงผลประโยชน์โดยชอบธรรมของ Square Enix ด้วยจริง ๆ
4. การปล่อยแพทซ์ในวันที่ 8 มิถุนายนที่ผ่านมา ไม่ได้มาจากความยินยอมพร้อมใจของสมาชิกทั้งทีม
ต่อเนื่องจากข้อ 3 ระหว่างที่สมาชิกทีมยังไม่ได้ข้อสรุป วันที่ 7 มิถุนายนที่ผ่านมาจู่ ๆ แกนนำกลุ่มอย่าง Sky Blade Cloud ก็ประกาศผ่านทวีตของตนว่าเนื่องจากมีเหตุการณ์ไม่คาดฝันเกิดขึ้น เขาจึงจะปล่อยแพทซ์ของ Final Fantasy Type-0 ออกมาเร็วขึ้น 2 เดือน ซึ่งก็คือเลื่อนมาเป็นวันที่ 8 มิถุนายน ก่อนวันงาน E3 แทน (ซึ่งเจ้าตัวคาดคะเนว่าในช่วง 4 วันหลังปล่อยแพทซ์ออกมา ตัวแพทซ์ก็ถูกดาวน์โหลดไปทั้งสิ้นร่วมแสนครั้ง)
ทว่าการตัดสินใจปล่อยแพทซ์ตั้งแต่วันที่ 8 มิถุนายนนี้ ไม่ได้มาจากความเห็นชอบพร้อมใจกันของทีม สมาชิกที่เหลือทั้งหมดในทีมต่างไม่พอใจกับการกระทำครั้งนี้ ลูกทีมบางคนรู้สึกว่าตัวแพทซ์มันยังไม่สมควรปล่อยออกมา มันยังไม่เสร็จดี พวกเขายังต้องใช้เวลาปรับแต่ง ขัดเกลา และแก้บั๊คอีกมากกว่านี้ โดยสมาชิกทีมที่ชื่อ Adam กล่าวว่า
“ตัวแพทซ์มันยังไม่ใกล้เสร็จเลยว้อย มีวีดีโอที่ยังไม่ได้แปล และเนื้อหาบางส่วนที่ยังไม่ได้อ่านตรวจทานอีก หลังอัพเดทเกมกันแล้ว พวกเรายังไม่ได้ลองเล่นให้จบสักรอบเลย Sky เป็นคนผลักดันให้ออกแพทซ์ในเดือนสิงหาคม ทั้งที่พวกเราแทบทุกคนต่างรู้สึกว่ามันเป็นไปไม่ได้เลย”
ตัดตอนเนื้อหามาจากบทสนทนาบางส่วนใน Skype ของทีม
[6/7/2014 12:50:13 PM] Adam: Sky พึ่งทวีตบอกให้ทุกคนรอรับแพทซ์ไม่วันนี้ก็พรุ่งนี้ได้เลย
[6/7/2014 1:21:24 PM] Core: Sky... ทั้งทีมเขาตกลงกันว่าจะรอให้จบ E3 ก่อน นายจะทวีตเรื่องการออกแพทซ์ทำไม?
[6/7/2014 2:46:14 PM] Merkabah: อื้อ ไม่ไหวนะเว้ย
[6/7/2014 2:46:38 PM] Merkabah: เหมือนว่านายกำลังใช้ความลำบากตรากตรำของพวกเราเพียงเพื่อหาเรื่อง SE นะ
[6/7/2014 2:49:35 PM] Merkabah: งานนี้คือความพยายามร่วมกันของทั้งทีมนะ โดยเฉพาะตรูที่สละเวลา 12 ชั่วโมงต่อวันตลอดสองสัปดาห์ล่าสุด แต่สุดท้ายงานของตรูถูกเอามาใช้แบบนี้ แล้วจะให้คิดยังไง
Adam ให้การว่าหลังจากนั้น Sky ก็ไม่ได้เข้า Skype ไม่ตอบเมล ไม่ตอบทวีตเพื่อนในทีมจนกระทั่ง 2 ทุ่ม หลังจาก Adam, Core และ Merkabah ได้ระบายความในใจให้ Sky ฟัง Sky ก็หาว่าเพื่อนทั้งสามคิดจะเอางานแปลของพวกเขามาเป็นตัวประกัน โดย Sky บอกว่าแต่เดิมแล้วเขาตั้งความคาดหวังกับความสมบูรณ์แพทซ์ไว้ต่ำกว่านี้มาก อันที่จริงตอนที่ทำแพทซ์กันมาจนถึงกุมภาพันธ์ 2014 Sky ก็เห็นว่ามันถึงจุดที่เขาพอใจ รู้สึกว่ามันเจ๋งพอแล้ว.... แต่ในสายตาของเพื่อนร่วมทีม แพทซ์มันยังห่างไกลจากคำว่าเสร็จ โดย Adam ย้ำว่าพวกเขาเป็นโคตรมหาแฟนพันธุ์แท้ของ Final Fantasy นะโว้ย และพวกเขาก็ตั้งความคาดหวังกับคุณภาพของงานแปลไว้สูงกว่านี้
5. วงแตก! Sky จงใจปล่อยแพทซ์ตัดหน้าการเปิดตัว Final Fantasy Type-0 HD ในงาน E3
ถัดมาไม่นาน การตัดสินใจครั้งนั้นของ Sky ก็นำมาสู่การแตกแยกในกลุ่ม เกิดการด่าทอกันอย่างเกรี้ยวกราด บางคนก็ออกจากกลุ่มไปเลย โดยไม่กี่สัปดาห์ก่อน Sky ได้บอกนักข่าวของ Kotaku ว่า “ผมก็เดินหน้าปล่อยแพทซ์ไปโดยยังไม่ขอความเห็นชอบจากทั้งทีม ผมก็ไม่ได้ภูมิใจหรอกนะ แต่ผมว่ามันเป็นการตัดสินใจที่ถูกแล้วในสถานการณ์เช่นนั้น คือต้องปล่อยมันออกมา ให้แฟน ๆ ได้รับสิ่งที่พวกเราสร้างกันมา ก่อนที่จะมีการเปิดตัว (Final Fantasy Type-0 HD สำหรับตลาดตะวันตก) อย่างเป็นทางการ”
หมายเหตุ : ในจุดนี้ผมเข้าใจว่าคุณ Sky เกรงว่าหากรอให้มีการเปิดตัว Final Fantasy Type-0 HD สำหรับตลาดทั่วโลกในงาน E3 ก่อน ก็จะส่งผลให้คนแห่กันไปสนใจตัวเกมอย่างเป็นทางการแทน ความสนใจที่ผู้คนเคยมีต่อแพทซ์อังกฤษที่พวกเขาทุ่มเทวันเวลานับปีสร้างกันมาก็จะลดน้อยลง คุณค่าที่ผู้คนมองต่อแพทซ์นั้นจะลดด้อยลง คุณ Sky ไม่อยากให้เป็นเช่นนั้น ก็เลยรีบปล่อยแพทซ์ออกมา อย่างน้อยก็ขอให้ได้เห็นช่วงเวลาสั้น ๆ ที่แพทซ์ของพวกเขาได้รับการสดุดีแซ่ซ้องรุมทึ้งรุมโหลดจากทั่วโลก ในช่วงที่ยังไม่มีการเปิดตัว Final Fantasy Type-0 HD สำหรับตลาดทั่วโลกนั่นเอง – การตัดสินใจตรงนี้ของคุณ Sky สมเหตุสมผล เพียงแต่ความต้องการของเขา กับความต้องการของทีมงาน มันดันไม่ตรงกัน
6. ปลิวไปแล้ว
ในวันที่ 10 มิถุนายน 2014 เมื่อมีการเปิดตัว Final Fantasy Type-0 HD ในงาน E3 จริง ๆ ก็ทำให้มีหลายคนเชื่อว่า Sky นั้นรู้แผนการเปิดตัวเกมดังกล่าวมาก่อน และจงใจออกแพทซ์มาตัดหน้าการเปิดตัว ทว่า Sky ก็บอกว่าเขาแค่เดาว่ามันอาจจะมีการเปิดตัวก็ได้เลยต้องชิงออกแพทซ์มาก่อน โดยเขาไม่ได้แอบไปรู้มาก่อนแต่อย่างใด นอกจากนี้ Sky ยังให้ความเห็นว่าการที่ Square Enix ตัดสินใจทำ Final Fantasy Type-0 HD ให้ตลาดทั่วโลกนั้น ก็ได้แรงกระตุ้นมาจากการที่เห็นพวกเขาจะปล่อยแพทซ์ออกมา (อ้างอิงด้านบนที่ว่า Square Enix เริ่มติดต่อมายังกลุ่ม ในช่วงปลายเดือนมีนาคม และกลางเมษายน Square Enix France ทวีตคุยกับแฟน ๆ ว่าจะประกาศเรื่องนี้ในงาน E3)
ไม่กี่สัปดาห์ต่อมา Square Enix ก็ได้งัดไม้ตายก้นหีบนั่นคือการขู่ว่าจะดำเนินการตามกฎหมาย หาก Sky ไม่ยอมเอาข้อมูลโปรเจคท์แพทซ์ทั้งหมดออกไปจากเว็บไซต์ของเจ้าตัว ซึ่งคุณ Sky ก็ต้องจำยอมทำตามไป ก่อนจะทิ้งข้อความปิดท้ายเพื่อบอกแฟน ๆ ว่า “ปลิวไปแล้ว”
สุดท้ายนี้ทาง Kotaku ได้สอบถามความเห็นถึงเรื่องดังกล่าวไปยัง Square Enix ซึ่งทางค่ายปฏิเสธที่จะให้ความเห็นใด ๆ
ป.ล. บางคนอาจลืมไปแล้ว แต่ Kotaku เนี่ยแหละ คือเจ้าแรกที่พุ่งเข้าแจ้ง Square Enix ว่าเจ้าทีม Operation Doomtrain นี้คิดทำแพทซ์อังกฤษให้เกมดังกล่าว ซึ่งเหตุการณ์ครั้งนั้นสมาชิกทีม Operation Doomtrain ก็ช่วยกันสรรเสริญ Kotaku ด้วยสิงสาราสัตว์กันยกใหญ่
ที่มา : kotaku
Saturday, July 19, 2014
ปลิวไปแล้ว! SQEX แจ้ง SkyBladeCloud พับแพทซ์อังกฤษ Type-0 เก็บ
คุณ Sky Blade Cloud แกนนำกลุ่ม Operation Doomtrain ซึ่งเป็นกลุ่มที่จัดทำแพทซ์ Final Fantasy Type-0 เวอร์ชั่น PSP เป็นภาษาอังกฤษ และได้นำตัวแพทซ์ออกเผยแพร่ตั้งแต่วันที่ 8 มิถุนายนที่ผ่านมา ได้ประกาศผ่านเว็บบล็อกของเขาว่าทาง Square Enix ได้แจ้งให้เขาเอาข้อมูลโปรเจคท์แพทซ์ดังกล่าวอันเป็นการละเมิดลิขสิทธิ์ในทรัพย์สินทางปัญหาของทางค่ายในส่วนของการดัดแปลง ออกจากเว็บของเขาแล้ว เขาจึงจำเป็นต้องลบลิงค์แพทซ์ ลิงค์โปรเจคท์ ลิงค์ไฟล์ที่จำเป็นในการรวมร่าง ISO ฯลฯ ออกไปจากเว็บเขาทั้งหมด
ปัจจุบันคุณ Sky Blade Cloud ยังไม่อยู่ในฐานะที่จะให้ความเห็นใด ๆ กับเหตุการณ์ครั้งนี้ได้ แต่เจ้าตัวบอกว่าไว้จะมาชี้แจงในภายหลังอีกที ทั้งนี้เขาขอขอบคุณกองเชียร์ทุกคนที่คอยให้กำลังใจและสนับสนุนเขามาโดยตลอด
สำหรับไฟล์แพทซ์เป็นภาษาอังกฤษซึ่งเผยแพร่ไปทั่วอินเตอร์เน็ตแล้วนั้น ยังไงก็คงไม่มีทางระงับการเผยแพร่ได้ ทว่าการที่ Square Enix ได้ดำเนินการแจ้งให้คุณ Sky Blade Cloud ลบโปรเจคท์ดังกล่าวทิ้ง เชื่อกันว่าเป็นการแสดงออกตามกฎหมายเพื่อแสดงเจตนาว่าตนยังคงยึดถือในทรัพย์สินทางปัญญาของตน ไม่ได้จะสละลิขสิทธิ์บางประการแต่อย่างใด ก็เป็นการดำเนินการเพื่อปกป้องทรัพย์สินปัญญาของตนตามปกติ ที่พึงคาดหมายได้อยู่แล้ว และทาง Operation Doomtrain เองก็เคยคุยกันตั้งแต่แรกแล้วว่าสิ่งที่พวกเขาทำนั้นมันเป็นการละเมิดลิขสิทธิ์
-------------------------
Final Fantasy Type-0 นั้นเป็นเกมที่วางจำหน่ายในประเทศญี่ปุ่นตั้งแต่เดือนตุลาคม 2011 หลังจากนั้นทีมงานก็เริ่มจัดทำตัวเกมเวอร์ชั่นภาษาอังกฤษจนคืบหน้าไปมาก ทว่าช่วงเวลาดังกล่าวตลาด PSP ในอเมริกาเหนือและยุโรปก็เข้าสู่ขาลง ยอดขายเครื่องและเกมต่าง ๆ ตกลงจนน่าใจหาย กระทั่งสื่อบางเจ้าเช่น Andriasang และ Nova Crystallis เริ่มคาดการณ์แล้วว่าสถานการณ์แบบนี้ น่าจะเป็นเหตุให้ Square Enix ยกเลิกการจัดทำ Final Fantasy Type-0 เวอร์ชั่น PSP ให้ตลาดตะวันตกแน่ ซึ่งทางค่ายก็ได้ยกเลิกจริง ๆ และเริ่มวางแผนที่จะทำให้กับตลาด PS Vita แทน แต่ระหว่างการประเมินตลาด PS Vita เพื่อเขียนแผนการลงทุน ก็พบว่าตลาด PS Vita ยังดูไม่มีความมั่นคง ยังมีตัวเลขไม่น่าพอใจ จึงตัดสินใจที่จะพักโครงการดังกล่าวลงไปก่อน
จนกระทั่งปลายปี 2012 ก็ยังไม่มีการประกาศจัดทำตัวเกมดังกล่าวสำหรับการวางจำหน่ายในตลาดตะวันตกอย่างเป็นทางการ ในช่วงปลายปีนั้นเองคุณ Sky Blade Cloud จึงได้ตั้งทีมขึ้นมาจัดทำแพทซ์ภาษาอังกฤษของเกมดังกล่าวขึ้น และได้ประกาศว่าจะปล่อยแพทซ์ดังกล่าวออกมาในวันที่ 8 สิงหาคม 2014 ทว่าในช่วงเดือนมีนาคม 2014 ได้เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้นเมื่อทาง Square Enix France ได้ทวีตข้อความคุยกับแฟน ๆ บอกใบ้เป็นนัยว่าจะมีการประกาศเกี่ยวกับการจัดทำ Final Fantasy Type-0 เป็นภาษาอังกฤษภายในงาน E3 ปีนี้ ซึ่งเมื่อพิจารณาร่วมกับคำให้สัมภาษณ์ของทีมงาน Square Enix แล้ว ก็ทำให้คุณ Sky Blade Cloud หวั่นใจว่าเรื่องดังกล่าวจะเป็นความจริง จึงรีบคลอดแพทซ์ดังกล่าวออกมาในวันที่ 8 มิถุนายน 2014 เร็วกว่าเวลาที่กำหนดไว้ในตอนแรกถึง 2 เดือน ซึ่งต่อมาวันที่ 10 มิถุนายน 2014 ทาง Square Enix ก็ได้เปิดตัว Final Fantasy Type-0 HD ภายในงาน E3 และประกาศว่าจะจัดทำตัวเกมดังกล่าวให้กับตลาดทั่วโลก รวมถึงตลาดตะวันตกด้วยนั่นเอง
http://www.skybladecloud.net/type-0-translation-patch-unavailable/
http://www.gamespark.jp/article/2014/07/18/50175.html
http://www.gamespark.jp/article/2014/07/18/50175.html
อ้างอิงข่าวเก่า
[เฮลั่นทั่วโลก! อัลติมาเนียเผย FF Type-0 กำลังทำเวอร์ชั่นต่างประเทศ]
[นักพากย์นิรนามเผย FF Type-0 ภาคอังกฤษเกือบเสร็จไปตั้งแต่ปีก่อนแล้ว...]
[ทาบาตะเผยประวัติศาสตร์ความพยายามในการทำ FF Type-0 ให้ตลาดตะวันตก]
[SkyBladeCloud เตรียมปล่อย FF Type-0 แพทซ์อังกฤษ 8 สิงหาคม 2014]
[Square Enix France เย้า! อาจมีเซอร์ไพรซ์เรื่อง FF Type-0 ในงาน E3]
[Type-0 เวอร์ชั่นแพทซ์อังกฤษ เลื่อนออกเร็วขึ้น 2 เดือน!!]
[Type-0 แพทซ์อังกฤษ เริ่มออกเผยแพร่แล้ววันนี้!!]
[เปิดตัว FF Type-0 HD]
Thursday, July 17, 2014
GeoHot เข้าร่วมทีมแฮ็คเกอร์ Project Zero ของ Google
ยังจำเขาได้รึเปล่า!? สำหรับ GeoHot หรือ George Francis Hots ลูกครึ่งพระเจ้า & ซาตาน ชาวนิวเจอร์ซีย์บนวัย 24 ปี ผู้ก่อวีรกรรมในการแฮ็ค iPhone iPad และ root keys ของ PS3 ซึ่งเปิดทางให้คนอื่นนำไปต่อยอดเพิ่มเติมจนอล่างฉ่างอย่างทุกวันนี้ได้ ซึ่งจากกรณีแฮ็ค PS3 นั้น เจ้าตัว GeoHot ได้เคยถูก FBI มาเคาะประตูบ้านปลุกในตอนเช้า และก็ถูกฟ้องร้องตามกฎหมาย ทว่าเรื่องระหว่าง Sony และ GeoHot ก็จบได้ด้วยการเจรจานอกรอบ โดยตกลงกันว่า Geohot จะต้องไม่ยุ่งกับการแฮ็คผลิตภัณฑ์ของ Sony อีกนั่นเอง
เส้นทางชีวิตต่อมาของ GeoHot ก็คือเขาได้รับเข้าทำงานให้กับ Facebook ในช่วงกลางปี 2011 อยู่เป็นเวลาครึ่งปี ซึ่งล่าสุด Google ได้ประกาศรับตัวแกเข้าไปร่วมงานแล้วในฐานะส่วนหนึ่งของทีม Project Zero ซึ่งคือทีมแฮ็คเกอร์ที่ทำหน้าที่หาช่องโหว่บนระบบรักษาความปลอดภัยของทาง Google แล้วแจ้งให้ผู้พัฒนาอุดช่องโหว่นั้น เพื่อที่ผู้ใช้ Software ของทาง Google จะได้มั่นใจในประสิทธิภาพของระบบความปลอดภัยมากขึ้น
ที่มา : wired
ปกเกมและรายละเอียดการวางจำหน่าย Kingdom Hearts -HD II.5 ReMix-
วันนี้เว็บไซต์หลักของ Kingdom Hearts -HD II.5 ReMix- ได้อัพเดทภาพปกเกมดังกล่าวแล้ว ซึ่งตัวเกมนี้จะวางจำหน่ายที่ญี่ปุ่นวันที่ 2 ตุลาคม 2014 และในอเมริกาเหนือวันที่ 2 ธันวาคม 2014
ตัวเกม Kingdom Hearts -HD II.5 ReMix- อย่างเดียวนี้สนนราคา 6,648 เยน + ภาษี
นอกจากการเปิดเผยภาพปกเกม Kingdom Hearts -HD II.5 ReMix- แล้ววันนี้ทางค่ายยังเปิดเผยชุด KINGDOM HEARTS COLLECTORS PACK HD 1.5+2.5 ReMIX สำหรับตลาดญี่ปุ่นด้วย
- แผ่นเกม Kingdom Hearts -HD I.5 ReMix-
- แผ่นเกม Kingdom Hearts -HD II.5 ReMix-
- Blu-ray Disc Music「KINGDOM HEARTS MUSIC SELECTION」×1
- หนังสือ「KINGDOM HEARTS VISUAL ART COLLECTION」
- Serial Code ในชื่อ Anniversary Set ของ Kingdom Hearts χ
นอกจากนี้ก็มีชุดที่เล็กลงมาเรียกว่า Kingdom Hearts Starter Pack -HD II.5 ReMix- สนนราคา 9,800 เยน + ภาษี ชุดนี้ประกอบด้วยแผ่นเกม 2 ภาคและ Serial Code ในชื่อ Anniversary Set ของ Kingdom Hearts χ
เว็บไซต์หลักของเกม : http://www.square-enix.co.jp/kingdom/khhd2/
ที่มา : 4gamer
โปสการ์ดครบรอบ 1 ปี KINGDOM HEARTS χ
ในโอกาสครบรอบการเปิดให้บริการ 1 ปีของ KINGDOM HEARTS χ ตัวเกมจึงได้มีการจัดกิจกรรม Gummy Block Ranking ขึ้น ซึ่งกิจกรรมนี้มีรางวัลเป็นโปสการ์ดที่วาดด้วยภาพอิลลัสฯ ใหม่ของคุณโนมุระ, SR Card และ Limted Avatar
รายละเอียดของกิจกรรมดูได้จากลิงค์ต่อไปนี้ : http://sqex-bridge.jp/guest/information/6303
ในโอกาสนี้คุณโนมุระได้มีคอมเมนต์ถึงผู้เล่นดังนี้
"แด่ผู้ใช้คีย์เบลดใน Kingdom Hearts χ ก็ต้องขอขอบคุณอย่างเช่นเคย โลกนี้ดำรงซึ่งความสงบไว้ได้ด้วยฝีมือของพวกคุณเหล่าผู้ใช้คีย์เบลด ซึ่งก็ครบรอบ 1 ปีแล้ว ผมก็ขอขอบคุณสตาฟฟ์ที่คอยดูแลงานในช่วงปีที่ผ่านมา เพื่อเป็นที่ระลึกของการครบรอบปีแรก ผมก็ได้วาดอิลลัสฯ ใหม่ขึ้นมา เหมือนว่ามันจะถูกทำเป็นโปสการ์ด ผมจะยินดีมากหากพวกคุณมีความสุขกับการเล่นเกมนี้และช่วยปกป้องความสงบสุขของโลกกันต่อไป"
ผู้กำกับซีรีส์ Kingdom Hearts เท็ตสึยะ โนมุระ
Tuesday, July 15, 2014
Reminiscence -tracer of memories- ตอนที่ 7 โอลบา ยุน แฟงก์ & โอลบา ไดอา วานิลล์
คุณ Galvea จาก GameFaqs ได้แปลเรื่องราวบทนำของ Final Fantasy XIII: Reminiscence -tracer of memories- เอาไว้ ผมจึงแปลและเรียบเรียงใหม่เป็นภาษาไทยไว้ดังนี้
REMINISCENCE -tracer of memories-
ตอนที่ 7
โอลบา ยุน แฟงก์ & โอลบา ไดอา วานิลล์
สายลมอันแห้งเหือดพัดผ่านม่านทรายให้ลอยคลุ้ง แอเด้ขึ้นไปบนยอดเนิน เธอรู้ว่าเธอใกล้จะมาถึงโบราณสถานอันเป็นจุดหมายของเธอแล้ว เธอพึ่งมาจากหมู่บ้านเล็ก ๆ ที่เต็มไปด้วยไร่ปศุสัตว์ท่ามกลางป่าหิน สังคมในหมู่บ้านนั้นมีขนาดเล็กพอที่จะทำให้ทุกคนจดจำหน้าตาและคุ้นเคยกันได้ ทำให้แอเด้สามารถตามหาร่องรอยของผู้หญิงสองคนได้อย่างรวดเร็ว ชาวบ้านบอกเธอว่ามักจะพบเห็นสองคนนั้นได้แถวโบราณสถาน ซึ่งตั้งไกลจากหมู่บ้านออกไประดับหนึ่ง ระหว่างที่แอเด้มุ่งหน้าตามไป เธอคิดว่าเธอพอเข้าใจเหตุผลที่สองคนนั้นชอบไปอยู่ในที่แบบนั้น เพราะโบราณสถานที่ตั้งตระหง่านท่ามกลางภูมิทัศน์ที่รกร้างว่างเปล่า มันทำให้พวกเขานึกถึงบ้านเกิดนั่นเอง
แอเด้เข้าไปในโบราณสถาน แล้วพบว่าตัวเองอยู่ในห้องโถงหินขนาดใหญ่ มีกำแพงค่อนข้างหนาและดูทนทาน และมีเสียงของสายลมที่พัดกร่อนมาแต่ยาวไกล แม้โบราณสถานแห่งนี้จะถูกทิ้งร้างมาหลายปี แต่แอเด้ก็สังเกตได้ว่ามันถูกรักษาไว้เป็นอย่างดี สถานที่แห่งนี้ยังคงสะอาดอย่างน่าประหลาดใจ ถ้าเอาเฟอร์นิเจอร์มาวางสักหน่อยก็อาจอาศัยอยู่ได้เลย แต่แล้วแอเด้ก็ต้องเตือนตัวเองว่าผู้หญิงสองคนที่เธอตามหาอยู่ ไม่ได้อาศัยอยู่ที่นี่จริง ๆ
แอเด้สูดหายใจลึก ก่อนจะตะโกนออกมา
“มีใครอยู่มั้ยคะ?”
เสียงของแอเด้ดังก้องไปทั่วโถงอันว่างเปล่า ก่อนที่เสียงอันกังวานจะหายไป เสียงใครบางคนก็ดังขึ้นจากด้านหลังของแอเด้
“เลิกตะโกนได้แล้ว มันน่าหนวกหูนะ”
แอเด้ไม่รู้สึกตัวมาก่อน เธอสาบานได้ว่าเมื่อครู่ยังไม่มีใครอยู่ตรงนั้นสักหน่อย เธอหันกลับไปพบกับผู้หญิงรูปร่างสูงใหญ่ ผู้มีผิวคล้ำและผมสีดำ แอเด้รู้ว่าเธอพบคนที่ใช่แล้ว
แฟงก์ : ผู้คนที่หมู่บ้านด้านล่างขึ้นมาบอกพวกเราแล้วว่ามีผู้หญิงคนหนึ่งกำลังตามหาพวกเรา ใครเป็นคนบอกเธอเรื่องสถานที่แห่งนี้กัน แม่วีเซลน้อย?
แอเด้ : เอ่อ... โนเอลค่ะ เดี๋ยวนะ ถ้าพูดให้ถูก ก่อนหน้านั้นก็ได้เจอสโนวมาก่อน แล้วเขาก็ฝากข้อความมาให้...
แฟงก์แผ่บรรยากาศอันไม่เป็นมิตรออกมากดทับแอเด้ จนเธอเงอะงะไม่รู้จะพูดยังไงดี พออธิบายไปก็ไม่รู้เรื่อง ไม่เข้าประเด็น
“พูดบ้าอะไรของเธอเนี่ย?”
ตอนนี้แฟงก์ยิ่งสงสัยในตัวแอเด้เข้าไปใหญ่ จนแอเด้ยังคิดว่าเดี๋ยวแฟงก์คงไล่เธอไปแน่
“ฉันได้ยินไม่ผิดใช่มั้ยคะ!? ที่คุณบอกว่าคุณได้พบสโนวและคนอื่น ๆ มาแล้ว!?”
อีกเสียงหนึ่งดังขึ้น เสียงที่เต็มไปด้วยความไร้เดียงสา แล้วบรรยากาศอันตึงเครียดก็หายไปในพริบตา แอเด้พบว่าผู้หญิงผู้มีผมสีแดงและหางเปีย ซึ่งแอบมองมาจากเงามืดของห้องโถงได้ช่วยเธอเอาไว้ แอเด้ถือโอกาสนี้พยายามสงบใจ และคราวนี้การแนะนำตัวก็เป็นไปอย่างราบรื่น หลังจากฝึกซ้อมมานาน แอเด้ก็เล่าเรื่องได้อย่างเชี่ยวชาญจนกระทั่งแฟงก์ยังคล้อยตาม แฟงก์และวานิลล์จึงเริ่มเล่าเรื่องของพวกเธอ จนมาถึงตอนที่พวกเธอกลายเป็นคริสตัลเพื่อช่วยปกป้องโคคูนไว้
แฟงก์ : เรากลายเป็นคริสตัลแล้วเข้าสู่การหลับใหล แต่เราก็ยังจับตาดูชีวิตของผู้คนบนแกรนพัลส์ได้
แอเด้ : จะว่าไป เซร่าห์ได้บอกฉันไว้นะคะว่าระหว่างการเดินทางท่องกาลเวลา พวกคุณได้ช่วยเธอไว้
วานิลล์ : อ๊ะใช่ นึกออกละ เซร่าห์ขอความช่วยเหลือมาจากโลกแห่งความฝัน ฉันมักรู้สึกว่าเซร่าห์กับฉันมีสายสัมพันธ์บางอย่างแก่กันยังไงก็ไม่รู้ ฉันหมายถึง ตอนที่ฉันลืมตาขึ้นมาบนโคคูนครั้งแรก เซร่าห์เป็นคน ๆ แรกที่ฉันพบ
แฟงก์ : อือ ที่เซร่าห์ต้องกลายเป็นลูซิเป็นความผิดของพวกเรา เราอยากจะช่วยเธอ ถ้าเราได้สู้เคียงข้างเธอ บางทีเรื่องมันก็คงไม่จบลงแบบนี้ และเซร่าห์ก็คงไม่ตาย
แอเด้ : แต่ตอนนั้นพวกคุณทั้งสองเป็นเสาค้ำโคคูนอยู่ ก็เลยทำอะไรไม่ได้... แต่หลังจากนั้น พอโลกถูกเคออสปกคลุมแล้วพวกคุณหนีออกมาได้ยังไงกันคะ?
วานิลล์ : โฮปช่วยพวกเราไว้ค่ะ จังหวะก่อนที่โคคูนจะตกลงมา พวกเขาผ่าพวกเราออกมาจากเสาค้ำและช่วยปกป้องพวกเราไว้ หมายถึงองค์กรที่โฮปสร้างขึ้นน่ะค่ะ เอ่อ เค้าเรียกว่าอะไรนะ?
แอเด้ : สภาเรอเนสซองค่ะ หลังจากนั้นพวกคุณสองคนก็หลับต่อไปอีก
วานิลล์ : ใช่ค่ะ เราหลับไปอีกเกือบ 500 ปี แล้วตื่นขึ้นมา 13 ปีก่อนจะถึงวาระสุดท้ายของโลก ฉันอยากขอบคุณโฮปที่ช่วยเราไว้มาก แต่ว่า...
แฟงก์ : แต่ตอนนั้นโฮปก็ถูกพระเจ้าลักพาตัวไปได้ 150 กว่าปีแล้ว สภาเรอเนสซองเองก็ล่มสลายไปนาน แล้ว Order if Salvation ก็กลายมาเป็นผู้ดูแลสิ่งต่าง ๆ แทน รู้มั้ยว่าตอนนั้นพวกเราช็อคขนาดไหน? ในที่สุดเราก็ตื่นขึ้นมา แล้วเราพบอะไร? โลกกำลังยุ่งเหยิง ผู้คนยอมสยบแทบเท้าเทพประหลาด ฉันคิดในใจว่า นี่มันบ้าอะไรกันเนี่ย?
วานิลล์ : แต่มันเป็นเรื่องที่ต้องเกิดขึ้นไม่ช้าก็เร็ว พวกเราที่หลับมาตลอดนั้นย่อมไม่เป็นไร แต่คนอื่น ๆ ที่เขามีชีวิตในโลกที่กำลังจะตายมากว่า 500 ปี... การที่เขาต้องหาอะไรยึดเหนี่ยวนั้นเราจะไปว่าเป็นความผิดของพวกเขามันก็ไม่ได้ ข้างในนั้น พวกเขาเหนื่อยกันมามาก แล้วฉันก็คิดว่า ถ้าคำสอนของ Order เป็นวิถีจรรโลงชีวิตอย่างหนึ่ง บางทีฉันก็อาจช่วยพวกเขาได้เหมือนกัน
แอเด้ : ฉันได้ยินมาว่าในช่วงหลายปีนั้น คุณวานิลล์ เป็นนักบุญของ Orde of Salvation ฉันเดาว่าเมื่อเป็นนักบุญแล้ว คุณย่อมอยากช่วยผู้คนให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ในตอนที่คุณร่วมมือกับพวกเขา
วานิลล์ : ...ใช่ค่ะ แต่มันกลายเป็นว่าฉันไม่ได้ร่วมมือกับพวกเขา ฉันแค่ถูกหลอกใช้
แอเด้ : หลอกใช้?
แฟงก์ : ทาง Order ใช้ประโยชน์จากความรู้สึกของวานิลล์ พวกมันยินดีต้อนรับวานิลล์เข้าโบสถ์ โป้ปดคำพูดสวยหรูที่เธออยากได้ยิน เธอเป็นพวกจริงจังกับทุกอย่าง เชื่อในทุกสิ่งที่ได้ฟัง ไม่เคยสงสัยอะไรทั้งนั้น เธอเก็บไปคิดในหัวว่าเธอจะช่วยทุกคนได้ถ้าเธอยอมทำทุกอย่างตามที่ทาง Order ต้องการ
วานิลล์ : …นั่นก็มักเป็นความผิดหนึ่งของฉัน เรามักคิดว่าทำยังไงถึงจะรักษาจุดอ่อนของตนเองได้ แต่สุดท้ายแล้วเราก็เปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้เลย ฉันรู้สึกอับจนหนทาง ก่อนที่ฉันจะรู้ตัวว่าฉันกำลังทำอะไร ฉันก็กลายเป็นส่วนหนึ่งในแผนของทาง Order –ไม่สิ ในแผนของพระเจ้าไปแล้ว
แอเด้ : พระเจ้า... คุณกำลังพูดถึงเทพผู้ยิ่งใหญ่ บูนิเบลเซ่ สโนวบอกว่าการที่พวกคุณฟื้นขึ้นมาจากสภาพคริสตัลได้ก็เพราะมีบูนิเบลเซ่อยู่เบื้องหลัง เรื่องนั้นจริงรึเปล่าคะ?
แฟงก์ : ใครจะไปรู้? ฟังดูเป็นคำอธิบายที่สมเหตุสมผลดี แต่ที่เรารู้คือลูมิน่าอาจเป็นคนที่อยู่เบื้องหลังก็ได้
แอเด้ : ลูมิน่า... เด็กสาวที่ปรากฏตัวขึ้นตอนที่พวกคุณสองคืนฟื้นขึ้นมา เด็กคนแรกที่ปรากฏตัวขึ้นมาในช่วง 500 ปี ในโลกที่ไม่มีเด็กเกิดขึ้นมาใหม่อีกแล้ว พอเป็นแบบนี้ พวกคุณเลยอดคิดไม่ได้ว่าเธออาจเป็นบุตรีผู้ศักดิ์สิทธิ์ของพระเจ้างั้นสิคะ
แฟงก์ : ศักดิ์สิทธิ์บ้าอะไร ยัยนั่นก็แค่เด็กเหลือขอเท่านั้นแหละ ก็แค่การแปลงกายของเคออส แต่ไม่รู้ว่าเพราะอะไรเธอถึงติดวานิลล์นัก
วานิลล์ : ลูมิน่าอาจทำตัวดูเหมือนพวกขี้เล่นที่ชั่วร้าย แต่จริงๆ เธอเป็นคนขี้เหงาที่ต้องการเรียกร้องความสนใจ บางทีที่เธอปลุกเราขึ้นมาก็ก็เพราะเธออยากจะหาใครสักคนมาสนองความต้องการของเธอ
แฟงก์ : ยังไงก็ตาม ลูมิน่าก็อาจทำงานใต้บัญชาของบูนิเบลเซ่ได้เหมือนกัน ตอนที่ไลท์กับฉันตามหา Holy Clavis ยัยนั่นก็คอยป่วนการค้นหาของเรา
แอเด้ : ทันทีที่ฟื้นขึ้นมาจากสภาพคริสตัล คุณก็ออกไปอยู่ที่ทะเลทรายทันทีเลยรึเปล่าคะ?
แฟงก์ : ไม่อ่ะ ฉันอยู่กับวานิลล์ไม่กี่ปีที่โบสถ์ภายในเมืองลุคเซริโอ ภายใต้การดูแลของทาง Order ตอนนั้นก็คือช่วงที่สบายที่สุดในชีวิตแล้วหลังจากที่เราผ่านอะไรกันมากมาก ทั้งชีวิตในโอลบา บนแกรนพัลส์ที่เราเกิดและเติบโตขึ้นมา วันคืนนั้นเต็มไปด้วยความยากลำบากอย่างต่อเนื่อง แล้วพอเรากลายเป็นลูซิได้รับหน้าที่ถล่มโคคูน เอ่อ คำว่าชีวิตรันทนก็คงยังไม่พอ ดังนั้น ฉันเลยคิดว่าการใช้ชีวิตง่าย ๆ สบายๆ อยู่ในลุคเซริโอมันก็ไม่เลว แถมหมู่สาวกของ Order มันก็มีชายหญิงที่ดูเป็นผู้เป็นคนอยู่ไม่น้อยด้วย
วานิลล์ : พวกเขาดูแลเราดีมาก
แฟงก์ : พวกเขาเป็นแบบนั้นจริง ๆ แต่ถึงพวกลูกสมุนจะเป็นคนดี ทว่าพวกเบื้องบนของทาง Order นี่มันขยะเน่าชัด ๆ ฉันคิดว่าถ้าทุกอย่างเป็นไปตามแผนของพวกมัน วานิลล์ก็จะตกอยู่ในอันตราย ฉันถึงออกมาจากลุคเซริโอ ฉันอยากให้วานิลล์ออกมาด้วยกัน แต่ถึงจะแซะยังไง เธอก็ไม่ยอมออกมา
วานิลล์ : ตอนนั้นฉันคิดว่าการอยู่กับทาง Order น่าจะดีที่สุด น่าแปลกที่บางครั้งฉันก็ดื้อด้านเกินไป ทั้งที่ปกติแล้วฉันเป็นพวกหัวอ่อนจะตาย
แฟงก์ : เธอเคยหัวอ่อนตั้งแต่เมื่อไหร่กัน? เอาเถอะ ท้ายที่สุดฉันก็ไปจากลุคเซริโอตามลำพัง มุ่งหน้าไปยังทะเลทราย ฉันวางแผนตามหา Holy Clavis ด้วยตนเอง แต่ฉันก็ไปเจอกับกลุ่มโจร พวกนักล่าสุสาน ฉันเลยตัดสินใจร่วมมือกับพวกนั้น ค้นหาสุสานอย่างละเอียดด้วยกัน
วานิลล์ : เธอพูดเหมือนเธอร่วมมือกับพวกเขา แต่ที่จริงแล้วฉันได้ยินว่าเธอลงไม้ลงมือจนพวกเขาต้องยอมสยบ กลุ่มโจรโมโนคูลัสพยายามขัดขวางเธอ เธอเลยสั่งสอนพวกเขาไปซะหน่อย พวกเขาเลยยกให้เธอเป็นหัวหน้า
แฟงก์ : มันดูเป็นอย่างงั้นเหรอ? จริง ๆ แล้วเราก็ได้คุยกันนิดหน่อยนะ แต่ต่อมาพวกโจรก็คุกเข่าก้มหน้าขอร้อง “ช่วยเป็นหัวหน้าพวกเราด้วย!” ฉันไม่มีเหตุผลที่จะปฏิเสธ ก็เลยกลายเป็นผู้นำของโมโนคูลัส
แอเด้ : จากนั้นคุณก็ปล่อยให้พวกโจรค้นหา Holy Clavis แล้วการขุดค้นเป็นไงบ้างคะ?
แฟงก์ : แย่หน่อยที่โบราณสถานมันถูกผนึกไว้ เราเข้าใกล้พื้นที่สำคัญไม่ได้ กระทั่งไลท์เป็นคนมากรุยทางให้
วานิลล์ : ไลท์นิ่งกลับมาหาพวกเรา หลังจากที่แฟงก์จากไปได้ 4-5 ปีมั้งคะ
แฟงก์ : ใช่แล้ว ถ้าไม่มีพลังของผู้ปลดปล่อย เราก็ไม่สามารถปลดผนึกของ Holy Clavis ได้
แอเด้ : Holy Clavis มีพลังแบบไหนเหรอคะ?
วานิลล์ : พลังในการอัญเชิญวิญญาณของผู้ตาย และชำระล้างพวกเขาน่ะ เมื่อมีคำบรรยายสรรพคุณแบบนั้นแล้ว คงคิดกันว่ามันเป็นของศักดิ์สิทธิ์ ทว่าทาง Order กลัวมีวิธีใช้ Holy Clavis อย่างชั่วร้ายอยู่ในใจ แต่ฉันกลับงี่เง่า เลยอ่านแผนของพวกนั้นไม่ออก
แฟงก์ : หากทาง Order ไม่สิ หากบูนิเบลเซ่ดำเนินการตามแผนได้สำเร็จ วิญญาณของผู้ตายก็จะถูกลบเลือน ไม่มีทางเกิดใหม่ได้อีก เดาว่าทุกคนก็จะลืมเรื่องราวทั้งหมดเกี่ยวกับโลกใบนั้น
แอเด้ : …แต่การที่คนจำนวนมาก รวมถึงฉันด้วย ยังคงมีความทรงจำของโลกใบฝังลึกอยู่ในก้นบึ้งของหัวใจ หมายความว่าพวกคุณทั้งหมดช่วยกันหยุดยั้งแผนของบูนิเบลเซ่ วิญญาณของฉันได้รับการช่วยเหลือในตอนนั้น โดยพวกคุณทุกคน
วานิลล์ : ฉันไม่ได้ทำอะไรเลย มีแต่ทำให้แฟงก์เป็นห่วง แล้วไลท์นิ่งก็มาชี้ทางให้ฉันเองค่ะ
แฟงก์ : ไลท์ช่วยพวกเรา... ทุกคนไว้
ในตอนนั้นแอเด้ไม่สามารถเก็บความตื่นเต้นของเธอไว้ได้อีกต่อไป เธอลืมไปแล้วว่าเธอมาที่นี่เพื่อจะรับฟังเรื่องราวของสองสาว แต่กลับถูกเร้าด้วยความนึกคิดที่อยากพบกับไลท์นิ่ง
แอเด้ : เป็นแบบนี้แล้ว ฉันก็ยิ่งอยากพบไลท์นิ่งและฟังเรื่องราวจากปากของเธอ การสัมภาษณ์โฮปเป็นจุดเริ่มต้นการเดินทางของฉัน แล้วก็ได้พบกับซัสซ์ สโนว และทุกคนที่ต่อสู้เคียงข้างพวกคุณมา ทว่าไลท์นิ่ง คือคนเดียวที่ฉันไม่สามารถติดต่อได้เลย พอมองย้อนไปดูการสัมภาษณ์ที่ผ่านมาแล้ว ฉันรู้สึกว่าผู้ปลดปล่อย คือบุคคลที่เป็นหัวใจของทุก ๆ สิ่ง เป็นคนที่ช่วยโลกใบนั้นไว้
แฟงก์และวานิลล์ชำเลืองมองกันและกัน แล้วพยักหน้าเป็นนัย แอเด้มองทั้งสองแล้วก็คิดว่าสำหรับคนสองคนที่อยู่ด้วยกันมานานคณานับ แค่สบตากันเพียงนิด ก็พอจะทำให้พวกเขาเข้าใจกันและกันได้แล้ว
แฟงก์ : ถ้าได้พบกับไลท์แล้ว เธอจะทำอะไรล่ะ?
แอเด้รู้สึกว่าคำถามที่ไม่ได้ไร้สาระนี้เปรียบเหมือนกับหอกที่ทิ่มแทงเข้ามา เธอลนลาน แล้วอธิบายกลับไปด้วยน้ำเสียงที่ไม่มั่นคง
แอเด้ : ก้อเอ่อ ปกติแล้วก็ต้องอยากสัมภาษณ์น่ะค่ะ... แล้วก็มีอะไรบางอย่างที่อยากบอกให้เธอได้รู้ ว่าฉันรู้สึกปลาบปลื้มเขามากแค่ไหน ไลท์นิ่งคือคนที่ช่วยวิญญาณของพวกเราไว้ในโลกใบนั้น ใช่มั้ยคะ? ก็ถ้าเธอช่วยพวกเราไว้ ฉันก็อยากขอบคุณสำหรับเรื่องนั้นค่ะ
แฟงก์ : อืม เขาคงได้รู้แล้วว่าเธอรู้สึกขอบคุณ นั่นเพราะเธอยังมีชีวิตอยู่ ที่นี่ตรงนี้
แล้ววานิลล์ก็อธิบายสิ่งที่แฟงก์พูด ด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยน แต่มั่นใจ
วานิลล์ : นี่คือสิ่งที่ไลท์นิ่งปรารถนาจากก้นบึ้งของหัวใจ เขาอยากให้ทุกคนมีชีวิตที่จับจ้องไปยังอนาคตได้ โดยไม่ต้องละทิ้งอดีตไป เพื่อการนั้นเขาจึงสู้กับพระผู้เป็นเจ้า แล้วชัยชนะของเขาก็นำมาซึ่งโลกใบนี้ โลกใหม่ที่ทุกคนจะได้อาศัยอยู่ด้วยกัน
แฟงก์ : ตราบเท่าที่ทุกคนยังมีชีวิตอย่างเป็นสุขอยู่บนโลกใบนี้ ความปรารถนาของไลท์นิ่งก็เป็นจริง ไม่จำเป็นต้องวิ่งไล่ตามไปโบกธงขอบคุณ เขาไม่ได้ต้องการอะไรแบบนั้น ฉันเห็นว่างั้นนะ
แอเด้ : ...พูดอีกนัยหนึ่งคือคุณกำลังบอกฉันว่า ฉันควรเว้นวรรคจากเขาไว้? ฉันควรปล่อยไลท์นิ่งไปตามลำพังใช่มั้ยคะ?
แฟงก์ : ฉันบอกว่าถ้าเธอคิดจะตามหาเขาด้วยตัวเธอเอง มันก็เรื่องของเธอ ฉันก็จะไม่บ่นอะไร เธอมีอิสระที่จะไปหาเขาได้
วานิลล์ : ไลท์นิ่งเองก็เช่นกันนะคะ เขาก็เป็นอิสระเหมือนกัน
ถ้าเป็นการสัมภาษณ์ตามปกติครั้งอื่น ๆ แอเด้คงกดดันเพื่อขอข้อมูลของไลท์นิ่ง แต่กรณีแฟงก์กับวานิลล์ เธอไม่อยากทำให้ทั้งสองต้องลำบากใจ สองคนนี้เสียสละตนเองเพื่อค้ำจุนโคคูน สถานที่ซึ่งเธอเคยอาศัย ฉะนั้นเธอจึงรู้สึกเป็นหนี้ทั้งสอง แต่ถึงกระนั้น แอเด้ก็ยังไม่ยอมล้มเลิกการตามหาไลท์นิ่ง เธอตัดสินใจว่าถึงเวลาที่ต้องกลับไปยังจุดเริ่มต้น ถึงเวลาที่ต้องไปถามหาชิ้นส่วนสุดท้ายของเรื่องราวจากคนที่ช่วยเหลือไลท์นิ่งในช่วง 13 วันก่อนจะถึงวาระสุดท้ายของโลกใบนั้น – โฮป เอสไฮม์
ที่มา : http://www.gamefaqs.com/boards/681990-lightning-returns-final-fantasy-xiii/69438054
Saturday, July 12, 2014
SQEX ปฏิเสธการจัดทำหนังสือ Ultimania เป็นภาษาอังกฤษ
3 เดือนก่อน บริษัท Interbooks จำกัด ซึ่งทำธุรกิจแปลหนังสือจากประเทศญี่ปุ่นและจัดจำหน่ายสู่สากล ได้มองหาว่าจะแปลอะไรขายต่อไปดี? ในโอกาสนี้คุณเปาโล คาลัซโชโล่ ผู้จัดการฝ่ายต่างประเทศ ก็มีไอเดียปิ๊งวับขึ้นมาในหัวว่าพวกเขาน่าจะลองทำการสำรวจว่ามีคนสนใจให้แปลหนังสือ Ultimania มากแค่ไหน?
หนังสือ Ultimania ในที่นี้ก็คือหนังสือบทสรุปอย่างเป็นทางการของซีรีส์ Final Fantasy ซึ่งวางจำหน่ายเพียงในประเทศญี่ปุ่น แต่ได้โปรดอย่านำมันไปเทียบกับบทสรุปในไทยใด ๆ อย่างที่คุณเคยเห็นมา เพราะขึ้นชื่อว่าบทสรุปอย่างเป็นทางการแล้ว หมายความว่านอกจากตัวรายละเอียดเกี่ยวกับการเล่นเกมทุกซอกทุกมุมแล้ว ยังประกอบด้วยอาร์ทเวิร์ค งานออกแบบ บทอธิบายโครงเรื่อง บทสัมภาษณ์ทีมงาน ความเป็นมาของเกม เบื้องหลังของพล็อต ฯลฯ กล่าวคือทุกสิ่งทุกอย่างที่ทีมงานอั้นไว้ เขาก็จะเอามาปล่อยในเล่มนี้แหละ
ด้วยเหตุนี้คุณเปาโลจึงจัดทำหน้าสำหรับส่งคำร้องขึ้นมา เพื่อให้คนที่สนใจอยากจะอ่านหนังสือ Ultimania เป็นภาษาอังกฤษ ได้ไปลงชื่อกัน! เป็นการสำรวจนั่นเองว่ามันทาง Interbooks ควรลงทุนกับ Ultimania หรือไม่!?
ล่าสุดผ่านมา 3 เดือน... ปรากฏว่ามีคนมาลงชื่อเพียงเกือบ 600 คนเท่านั้น... ถือเป็นตัวเลขที่อนาถยิ่งนัก เหมือนว่าการประชาสัมพันธ์แคมเปญนี้จะล้มเหลวไม่เป็นท่า (ผมเองก็พึ่งจะเห็นวันนี้เอง) ทาง Interbooks โดยคุณเปาโลก็ได้ออกมาประกาศยกธงขาว ล้มเลิกแผนนี้ ด้วยเหตุผลว่าเมื่อติดต่อทาง Square Enix ไปแล้ว ก็ได้คำตอบว่าในตอนนี้ทางค่ายไม่มีความสนใจที่จะให้จัดทำหนังสือ Ultimania เวอร์ชั่นภาษาอังกฤษแต่อย่างใด โดยทางค่ายได้ชี้แจงเหตุผลลับบางอย่างมาซึ่งทาง Interbooks ไม่สามารถนำมาเปิดเผยสู่สาธารณะได้
ก็ถือเป็นเรื่องน่าเสียดายมากที่เราคงไม่ได้เห็นหนังสือ Ultimania เวอร์ชั่นภาษาอังกฤษในเร็ววันนี้แน่ แต่ส่วนตัวผมเห็นว่านั่นไม่ใช่เรื่องน่าเสียหายสำหรับคนอ่านอย่างเรา ๆ เท่าไหร่ เพราะสุดท้ายแล้วเวลามี Ultimania เล่มใหม่วางจำหน่าย เดี๋ยวก็ต้องมีกลุ่มแฟนของเกมนั้น ช่วยกันแปลเนื้อหาสำคัญ ๆ ให้เราได้อ่านกันเอง
ครบรอบ 17 ปี SaGA Frontier ยอด RPG แห่งความทรงจำ
ก่อนจะหมดวันไป วันนี้เป็นวันครบรอบ 17 ปีการวางจำหน่าย SaGA Frontier บนเครื่อง PlayStation รุ่นแรก หลังจากวางจำหน่ายไปเมื่อวันที่ 11 กรกฎาคม 1997
เกมนี้เป็นหนึ่งในเกม RPG ที่ผมชื่นชอบมากที่สุด ซึ่งโดดเด่นด้วยการมีตัวเอก 7 คน แต่ละคนก็มีเนื้อเรื่องเป็นของตนเอง แต่ทั้งหมดก็อยู่บนจักรวาลเดียวกัน จักรวาลที่เต็มไปด้วยดวงดาวต่างๆ อารยธรรมต่างๆ ดันเจี้ยนพิสดาร เพื่อนใหม่ๆ รอให้่เราไปชวนมาเข้าทีม เพื่อนแต่ละคนก็สามารถฝึกสกิลได้ทุกด้าน ทว่าแต่ละคนก็จะมีพรสวรรค์ในด้านที่แตกต่างกันออกไป
ระบบที่น่าจะเด่นที่สุดในเกมนี้ ก็คือระบบการโจมตีประสาน กล่าวคือถ้าเพื่อนในกลุ่มได้ออกเทิร์นในเวลาไล่เลี่ยกัน และท่าของพวกเขามันสามารถผสานกันได้ การโจมตีของพวกเขาก็จะกลายเป็นการโจมตีประสานสุดอลังการ ที่ดาเมจจะพุ่งทะลักไปไกลกว่าปกติมาก ยิ่งถ้าเพื่อนทั้งปาร์ตี้โจมตีประสานกันออกมาเป็น 5 Combination มันจะอลังการดาวล้านดวงจนผมเชื่อว่าหลายๆ คนในสมัยนั้น ต้องอ้าปากค้าง หรือไม่ก็ซู๊ดปาก อื้ออ อาาา อื้อออ อ๊าาา (ใครไม่เคยเห็น ลองกดไปดูนาทีที่ 4:05 ก็ได้)
นอกจากนี้ก็มีระบบแปลกๆ ที่ผมชอบมากคือ ระบบยิ่งใกล้ตาย... ยิ่งโดนต้อนให้จนมุม ตัวละครก็จะยิ่งพัฒนาความสามารถตัวเองขึ้นมาอย่างรวดเร็วในระหว่างการต่อสู้ ทำให้ในจังหวะที่เราโดนกระทืบจวนเจียนจะร่วงหลายครั้ง ตัวละครเราก็จะมีหลอดไฟปิ๊งวับขึ้นบนหัว เป็นสัญลักษณ์ว่าตัวละครคิดค้นท่าโจมตีใหม่ได้ระหว่างการต่อสู้ แล้วก็จะทะยานออกไปใช้ท่าโจมตีใหม่ทันที (แต่ถ้าคิดไม่ออกก็ตายโหงอยู่ตรงนั้น)
ตอนเด็กๆ ผมเล่นเกมนี้จบแค่เนื้อเรื่องของเรด เอมิเลีย และ T260G ตัวละครที่ชอบที่สุดก็คือ T260G ร่างสุดยอด (ส่วนเนื้อเรื่องที่เหลือ พี่สาวผมเป็นคนเล่น)
หวังว่าหลายๆ คนจะยังจำเก็น, แอนนี่, ลิซ่า, รูจ, DSC, คิลิน, จ้าวแห่งกาลเวลา, การต่อสู้กับกองทัพสไลม์, สุสานกษัตริย์นิรนาม, โลกแห่งเงา ฯลฯ ได้กันอยู่นะครับ
Wednesday, July 9, 2014
ทีมงานเผยเคยสร้าง KH เป็นอนิเมซีรีส์ แต่ยกเลิกไปในที่สุด
คุณ Seth Kearsley ได้เปิดเผยผ่าน Devianart ของตนว่าในช่วงปี 2002 ที่ Kingdom Hearts ภาคแรกได้วางจำหน่ายออกมา Disney TV animation ก็ได้จ้างเขาก็ให้มากำกับ Kingdom Hearts ภาคอนิเมซีรีส์ ตัวเขาเลยได้ลองเล่นเกมดังกล่าวตั้งแต่ต้นจนจบ ส่วนทาง Disney ก็ได้เริ่มทำโปรเจคท์ไปบ้าง ระหว่างนั้นก็มีข่าวลือแพร่งพรายออกมาว่า Disney กำลังทำอนิเมดังกล่าวอยู่ แต่ก็ไม่มีหลักฐานที่แน่ชัดออกมา จนกระทั่งวันนี้คุณ Seth ก็ได้เอาสตอรี่บอร์ดที่เขาเคยเขียนไว้เมื่อครั้งอดีตขึ้นมาให้ดู ซึ่งเป็นสตอรี่บอร์ดตอนบุกโลกอกราบา
แต่แล้วขณะที่โปรเจคท์กำลังดำเนินไปด้วยดี โปรเจคท์ดังกล่าวก็ถูกยกเลิกลงเนื่องจาก Square วางแผนจะสร้างภาคต่อของเกม และทีมงานผู้สร้างเกมไม่อยากให้เนื้อหาของภาคอนิเมมาทำให้ผู้ชมที่ติดตามเนื้อเรื่องของเกมสับสน
สามารถรับชมสตอรี่บอร์ดเต็ม ๆ ของคุณ Seth ได้ตามลิงค์ด้านล่างครับ
คำให้การของคุณ Seth มีดังต่อไปนี้
This goes back to about 2002. Only the first game had come out at this point. I was hired by Disney TV animation to develop and direct an animatic for a possible Kingdom Hearts animated series. I played the first game from beginning to end and was so excited to get this opportunity. This would have been the perfect thing for me, especially because of my action/comedy background with Mummies. It was dark. It combined anime and classic disney characters. Are you kidding me? This was awesome. I also had control of the script on this so it was INCREDIBLY DARK…but then so is the game. The darkest moment in the pilot was when Maleficent possessed Riku after he snatched the lamp. That’s the very last panel here.
You’ll notice a series lack of backgrounds in these boards. There was a pretty good reason for that. As part of the project, I was able to go to the Disney Animation Archives. The episode took place on Agrabah, so I pulled actual production BGs from Aladdin and boarded with it in mind that I would use this backgrounds.
This is one of those projects I really wish I could go back and have another crack at. Especially with the technology now. Looking back at these drawings, I can’t believe how small some of them are. I also can’t believe I inked them and did marker tones on all of them. I must have been temporarily insane.
At any rate, the pilot animatic tested exceptionally well but it was decided there wouldn’t be an animated series because they planned on making many more games. WHO KNOWS…there could be a Kingdom Hearts animated series at some point.
——
I actually played the entire game myself to the end and tossed the script they originally had because it read more like an episode of Aladdin guest starring the characters from Kingdom Hearts. I wanted to be very true to the game without just copying the game. The episode took place in Agrabah and centered around Sora and Riku trying to get the lamp, which was the key to Argrabah. It started on the island the way the game starts so we could meet Sora, Riku and Kiri then it turns into a bit of a nightmare and Sora wakes up on the ship with Donald and Goofy as they’re approaching Agrabah. We see Riku with Maleficent and Jafar. Riku and Sora meet up in a fight against the heartless in the streets. They both go for the lamp. As soon as Riku touches the lamp it’s as though Maleficent has control of him and ultimately Sora gets the lamp away from Riku before a giant heartless hand pulls him through a portal. SOOO….quite a lot of information to get through in a 7 minute pilot presentation.
Ultimately, it tested very well but there was so much respect for the Japanese Director who was doing the games and there were still so many games in the works that they didn’t want to muddy the water with a series. Who knows. Maybe they’ll still do one down the road. When I see Disney acquiring Marvel and then LucasFilms, all I think is, “Those would be awesome worlds to battle heartless.”
It would have been such an amazing show. With the pilot, I actually went to the Disney Archive and pulled production backgrounds from Aladdin to use as backgrounds for the pilot and then did the board with those backgrounds in mind. So when Sora and Riku were fighting in the streets, it was the actual backgrounds from the movie. When Riku grabs the lamp, it was the background from when Aladdin grabbed the lamp. My plan was to do that for all of the lands they would visit in the series. I felt that using the actual backgrounds would not only save a bunch of money it would keep us from recreating the wheel for each of those lands and it would have a visceral effect and make you feel like you had seen this before. I thought it would do an interesting thing to the brain of any hardcore fans.
So…yeah…it was the coolest project that never got off the ground for reasons that had nothing to do with the project itself but more company wide strategizing.
ที่มา : KH2UK
Tuesday, July 8, 2014
Dragon Quest X เตรียมวางจำหน่ายครั้งใหม่บน 3DS!!
Dragon Quest X Online เตรียมวางจำหน่ายอีกครั้งให้กับเครื่อง Nintendo 3DS ในประเทศญี่ปุ่นวันที่ 4 กันยายน 2014 สนนราคาเพียง 3,800 เยน
โดยตัวเกมเวอร์ชั่นนี้จะรันด้วยระบบ Cloud กล่าวคือเซอร์เวอร์จะประมวลผลข้อมูลและภาพมาให้ (เหมือนระบบ PlayStation Now) แล้วส่งข้อมูลภาพมาให้กับเครื่อง 3DS ของผู้เล่น
สำหรับราคาค่าบริการก็ค่อนข้างซอยย่อยให้เป็นพิเศษ ดังนี้
- แบบ 3 วัน : 350 เยน (ยังไม่รวมภาษี)
- แบบ 10 วัน : 650 เยน (ยังไม่รวมภาษี)
- แบบ 30 วัน : 1,500 เยน (ยังไม่รวมภาษี)
ตัวเกมเวอร์ชั่นนี้จะแถมโค้ดทดลองเล่น 60 วัน, พาหนะเลม่อนสไลม์บอร์ดพริสซึม レモスラボードプリズム, ตั๋วแจก EXP 1,000 แต้มจำนวน 5 ใบ, ตั๋วแลกเหรียญคาสิโน, โปสเตอร์ และการ์ดล็อตเตอรี่
ที่มา : Square Enix, Dengeki Online
Monday, July 7, 2014
เผยระบบจับมอนสเตอร์ และการเรียนอบิลิตี้เบื้องต้นใน FF Explorers
นิตยสารแฟมิซือได้มีโอกาสสัมภาษณ์ทีมงานของเกม Final Fantasy Explorers ซึ่งเป็นเกม Action RPG ที่พัฒนาให้กับเครื่อง Nintendo 3DS โดยคราวนี้เป็นการสัมภาษณ์คุณอะสึชิ ฮาชิโมโตะ ผู้กำกับเกม และคุณทาคาฮิโระ อาเบะ ผู้บริหารโปรเจคท์ ซึ่งพวกเขาได้เปิดเผยข้อมูลใหม่ดังนี้
- ตัวเกมสามารถปรับระดับความยากของเควสต์ได้
- มี Resonance System ให้ผู้เล่นได้ผสานอบิลิตี้ระหว่างกัน จนเกิดเป็นท่าประสานใหม่ที่ทรงพลังกว่าเดิม
- เกมนี้ยังมีการเดินทางด้วยเรือเหาะเช่นเดิม
- ไม่มีโจโคโบะให้ขี่ แต่มีแผนการใช้โจโคโบะในรูปแบบอื่น
- มีระบบการจับมอนสเตอร์ และเลี้ยงมอนสเตอร์ คล้ายกับระบบใน Final Fantasy XIII-2 คือต้องปราบมันให้ได้ก่อน จากนั้นก็ภาวนาให้มันดรอปไอเทมพิเศษให้ แล้วเอากลับไปเปลี่ยนเป็นมอนสเตอร์ได้ที่เมือง เราสามารถจับมอนสเตอร์แทบทุกชนิดในเกมาเลี้ยงได้
- ตัวเกมมีเนื้อเรื่องหลัก ซึ่งจะไม่ได้เน้นให้เข้มข้นเท่าเกมภาคหลัก และตัวเอกของเกมจะเป็นตัวอวตารที่ให้ผู้เล่นสร้างขึ้นมา
- ตัวละครแต่ละตัว สามารถปรับแต่งอาชีพ อาวุธ เครื่องป้องกัน และอบิลิตี้ได้หลากหลาย ทำให้เกิดการเล่นได้หลากหลายรูปแบบ ตัวอย่างเช่น จะสามารถสร้างไวท์เมจสายบู๊ก็ทำได้ หรือจะสร้างปาร์ตี้ที่ไม่มีไวท์เมจ แต่ให้อาชีพอื่นเรียนเวทย์เคอัลแล้วเป็นตัวฮีลแทนก็ได้
- ระบบอบิลิตี้ในเกมนี้ ไม่ได้ยึดโยงกับอาชีพที่เป็นอยู่ ดังนั้น ถึงเล่นเป็นไวท์เมจอยู่ ก็สามารถเรียนอบิลิตี้มนต์ดำไปด้วยได้ ซึ่งคอนเซปต์นี้แตกต่างไปจาก Final Fantasy ที่ผ่านมา (ที่หากผู้เล่นอยากเรียนอบิลิตี้ประเภทใดก็ต้องให้ตัวละครเล่นเป็นอาชีพนั้น) ซึ่งทีมงานเห็นว่าระบบแบบใหม่นี้เหมาะสมกับวิถีการเล่นของคนในยุคนี้มากกว่า
- ทว่าผู้เล่นก็ยังมีความจำเป็นต้องเปลี่ยนเป็นอาชีพใหม่ ๆ อยู่บ้าง เพื่อให้ตัวละครได้เรียนอบิลิตี้แรกของอาชีพนั้น ๆ ตัวอย่างเช่น หากอยากเรียนอบิลิตี้ของนักรบมังกร ก็ตองเปลี่ยนเป็นนักรบมังกรเพื่อเรียนอบิลิตี้ Jump ซึ่งเป็นอบิลิตี้แรกก่อน แต่เมื่อเรียนอบิลิตี้แรกไปเรียบร้อยแล้ว การจะเรียนอบิลิตี้ถัด ๆ ไป ก็สามารถเรียนได้แม้ให้ตัวละครเปลี่ยนไปเป็นอาชีพอื่นแทนแล้ว
ปัจจุบันเกมนี้พัฒนาไปได้ 60% แล้ว และสามารถเล่นแบบ Wi-Fi พร้อมกันได้สูงสุด 4 คน
ที่มา : แฟมิซือ
Subscribe to:
Posts (Atom)