นิยาย Final Fantasy VII Remake : Trace of Two Pasts


[Work in Progress]


ซีน 1

แอริธ เกนส์โบโร อยู่บนเรือชินระเฟอรี 8

สวมชุดฟอร์มชินระ พรางตัว

ครั้งแรกที่ได้ออกทะเล ขึ้นเรือ (แล้วตอนชินระพาเจ๊จากไอซิเคิลมายังชินระล่ะ?)

ไปยังคอสต้าเดลโซล

ทิฟามาชวนคุยเพื่อให้ไม่เมาเรือ แต่เจ๊แอบอก ไม่ได้เมา เธอเมารึ ทิฟาก็บอกไม่เมาเหมือนกัน

แอรู้ว่าทิฟาแค่อยากชวนคุย แล้วทิฟาก็บอกว่าอยากฟังเรื่องของเจ๊แอ

ทิฟาถามว่าเจ๊แอเกิดในสลัม 5 รึเปล่า

เจ๊แอบอกว่า อืมมม มันเล่ายากก

ทิฟานึกขึ้นได้ว่าเจ๊แอเคยบอกว่าเป็นชนเผ่าโบราณ ผู้รอดชีวิตคนสุดท้ายนี่หว่า เลยขอโทษที่ล้วงลึกไป

เจ๊แอบอกไม่ ๆ ไม่ใช่แบบนั้น แล้วเธอก็เริ่มเล่า


ซีน 2

อิฟาลน่า แม่ของแอริธ เป็นชนเผ่าโบราณเลือดบริสุทธิ์คนสุดท้าย พ่อแม่เธอเป็นเซทร่าทั้งคู่ เธออาศัยชั้นบนสูงของตึกชินระมาเป็นเวลานาน นอกจากอิสระในการออกไปใช้ชีวิตข้างนอกแล้ว ห้องเธอมีสากเบือยันเรือรบ


แอริธอาศัยกับอิฟาลน่าในตอนเด็ก แต่จำวันแรกที่เข้าห้อไม่ได้ 

ความจำแรกสุดที่แอริธจำได้ ก็คืออยู่ในห้องนี้แล้วเหมือนกัน คนรอบตัวมีแต่ผู้ใหญ่

คนเดียวที่แอริธเรียกเว่าเพื่อนได้คือ รอนนี (Ronnie) ลูกชายของมาเรียล (Mariel) ผู้ดูแลแอริธ

โดยรอนนีโตกว่าแอริธ 2 ปี


ในปี 1992 แอริธอายุ 7 ขวบพลังเซทร่าของแอริธตื่นขึ้น เธอเห็นนิมิตในหัวมากมาย ทั้งทิวทัศน์ คนที่ไม่เคยเห็นมาก่อน สัตว์และมอนสเตอร์เยอะแยะไปหมด


แอริธวัยเด็กควบคุมการรับรู้ภาพเหล่านั้นไม่ได้ แต่ก็อิกนอร์ไม่ได้

เลยหยิบกระดาษมา และพุ่งหากำแพง แล้วละเลงสีลงไป เพื่อถ่ายทอดให้คนอื่นรู้ว่าเธอเห็นอะไร

เธอคิดว่าถ้าทำแบบนี้แล้ว ภาพนิมิตปริศนาพวกนั้นจะหายไป


ซีน 3

แอบอกทิฟาว่า เธอมารู้ทีหลังว่าเธอเหมือนเป็นตัวประกัน

แม่ต้องคอยทำตามคำสั่งโฮโจ เพื่อปกป้องตัวเจ๊แอ

แล้วพอโฮโจรู้ว่าเจ๊แอก็มีพลังเซทร่าเหมือนกัน โฮโจยิ่งระเริง

พอรู้ว่ามีคนสืบทอดแล้ว โฮโจเลยยิ่งกล้าทดลองร้ายแรงกับแม่ยิ่งขึ้น

อะไรที่ไม่เคยทำมาก่อนก็ทำ สุขภาพแม่เลยยิ่งทรุดลง


ซีน 4

แม่ถูกโฮโจและทีมงาน เอาไปทดลองศึกษาเช้าจรดเย็น

แม่อ่อนแอลง จนเดินไม่ไหว ต้องนั่งวีลแชร์

ตอนนั้นเอง ฟาซ ฮิกส์ (Fuzz Hicks) สตาฟฟ์นักวิจัยซึ่งมีรูปร่างตัวใหญ่กำยำสุด ก็ปรากฏตัวมา

เป็นคนที่ตัวใหญ่จนแบกแม่ได้


บางทีแม่ก็ขอยาจากฟาซ ด้วยเสียงเศร้าสร้อย

ฟาซก็หันหลังให้กล้องวงจรปิด จัดยาและเข็มฉีดให้ แล้วบอกให้อิฟาลน่าอย่าบอกคนอื่น

แล้วฟาซก็ไป โดยที่อิฟาลน่าต้องจัดการฉีดยาตัวเอง

แอริธไม่กล้าดูแม่ทิ่มเข็มเข้าตัวเอง เลยได้แต่ไปแอบในเงาหลังโซฟา


เพราะยังเด็ก แอริธเลยยังจำเรื่องวันเวลาตามปฏิทินไม่ได้ 

แต่มีคืนหนึ่งขณะที่เธอขดตัวใต้ผ้าห่ม แม่ถามว่า “แอริธอยากไปผจญภัยมั้ย?”

“เราจะไปทำอะไรกันดีนะ? ฉันคิดถึงมันเหลือเกิน”


แอริธตอนนั้นก็ไม่เข้าใจความรู้สึกของแม่ แต่ก็รู้สึกถึงความสะอื้นที่แฝงในน้ำเสียงของเธอ

อิฟาลน่ายกแขนขึ้นปิดหน้าตัวเอง แขนเธอนั้นเต็มไปด้วยร่องรอยความเจ็บปวดจากการฉีดยา

“ถ้าเราออกไปข้างนอก หม่าม๊าจะดีใจมั้ย? ม๊าจะไม่ต้องถูกฉีดยาแล้วใช่มั้ย?”

“อื้อ ก็น่าจะแบบนั้นนะ”

“อือ งั้นไปกันเถอะ แต่เราจะไปได้ไงอ่ะ มีกล้องมองเราอยู่”

“ฟาซจะช่วยเราเอง”

“ทำไมฟาซถึงช่วยเราล่ะคะ”

“เพราะเขาเป็นคนดีไงล่ะ”

=====

วันหนึ่งอิฟาลน่าถูกพาตัวออกจากห้องแล้วกลับมาตอนเย็น ฟาซเข็นวีลแชร์เข้ามาตามปกติ

ฟาซทักทายแอริธ แล้วบอกว่าเตรียมอะไรต่าง ๆ ไว้เรียบร้อยแล้ว มีบ้านลับอยู่ในสลัมเขต 3 จะมีห้องให้แอริธด้วย อาจจะเล็กหน่อย แต่เอาน่ะ แล้วฟาซก็จากไป

ช่วงเช้าวันถัดมา จู่ ๆ ก็มีสัญญาณเตือนภัยฉุกเฉินดังขึ้น

อิฟาลน่าเร่งเร้าให้แอริธ รีบเปลี่ยนเสื้อผ้า เป็นชุดที่ไม่เคยใส่มาก่อน

แม่ลูกต่างก็ใส่ชุดใหม่ที่ฟาซเตรียมไว้

“ปายยยยยยยยยยยยย”

แล้วอิฟาลน่าก็เปิดประตู ออกจากห้องที่น่าจะล็อกได้

แอริธ 7 ขวบเป็นงงงง

แม่ลูกพากันสูดหายใจลึก แล้ววิ่งพรวดออกมา

เสียงสัญญาณเตือนภัยดังขึ้นกังวาน พร้อมเสียงประกาศว่ามีมอนสเตอร์ทดลองหลุดออกมา ขอให้นักวิจัยอพยพไปยังที่ปลอดภัย

ทั้งสองเดินไปถึงหัวมุมแรก ยังไม่เจอทั้งสตาฟฟ์หรือมอนสเตอร์ มีรถเข็นขนาดใหญ่จอดอยู่ เป็นรถเข็นลังเครื่องมือทำความสะอาด จริง ๆ มันควรจะมีของใส่อยู่เต็มลัง แต่ในลังนั้นกลับว่างเปล่า

“เราจะซ่อนตัวในนี้ แม่จะเข้าไปก่อน”

อิฟาลน่าพรวดเข้าไปในลัง แล้วเรียกให้แอริธพรวดตามเข้ามา

อิฟาลน่าหดขาเข้ามา เพื่อเพิ่มสเปซให้แอริธอยู่ แล้วบอกแอว่าเราต้องอยู่ในนี้กันสักกพัก ดังนั้นจัดท่าให้ตัวเองอยู่กันได้โดยสบายตัวก่อน จากนั้นอิฟาลน่าก็ปิดลัง ทุกอย่างมืดสนิท

เสียงประกาศเตือนภัยว่ามีมอนสเตอร์หลุดออกมายังคงกังวาน ในไม่ช้า ก็มีเสียงคนเข้ามาใกล้ลัง แล้วลังก็สั่นเบา ๆ

“ชั้นเองงง”

“ฝากด้วยนะ ฟาซซซซ”

“ไปละน้าาาา”

แล้วลังก็เริ่มถูกเข็นพรวดไป

“ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ก็ห้ามส่งเสียงล่ะ”


สักพักฟาซก็บอก “จะเลี้ยวล่ะนะะะะะะ”

ต่อด้วย “ถึงลิฟต์แล้ว แต่เดี๋ยวต้องเปลี่ยนลิฟต์อีกหลายรอบเลยนะ”

ระหว่างลงลิฟต์ไปหลาย ๆ รอบ แอริธก็เริ่มคลื่นไส้

“ม๊า หนูม่ายค่อยสบาย”

“เดี๋ยวก็จบแล้วลูกกก”

เมื่อความรู้สึกของการลงลิฟต์ครั้งแล้วครั้งเล่าจบลง รถเข็นก็เริ่มวิ่งอีกครั้ง

“ถึงลานจอดรถแล้ว”

แล้วฟาซก็เปิดลังที่ทั้งสองซ่อนตัวอยู่ออกมา ข้างหน้ามีรถบรรทุกจอดรถอยู่ ฟาซอุ้มแอริธและอิฟาลน่าขึ้นไปท้ายรถบรรทุก แล้วบอกให้ทั้งสองเข้าไปซ่อนตัวในลังไม้เปล่า ๆ ที่อยู่ด้านในสุด แล้วญาติเขาจะขับรถบรรทุกออกไปให้ ไปส่งที่สถานีรถไฟ แล้วจะมีเจ้าหน้าที่มาขนย้ายลัง ไปส่งที่สถานีสลัมเขต 4 แล้วให้รออยู่ที่นั่น

“รอในลังเหรออออ?” อิฟาลน่าถาม

ฟาซพับกระดาษโพยแล้วส่งให้อิฟาลน่า พร้อมบอกว่าจะมีเพื่อนเขารออยู่แถว ๆ สถานี ทำตามคำแนะนำของเธอซะ เขาเขียนรายละเอียดไว้ในโพยนี้แล้ว

“เดี๋ยว แล้วฟาซจะไปไหนอ่ะ?” แอริธถาม

“จะกลับไป แกล้งทำเป็นค้นหาพวกเธอสองคนไง ถ้าเกิดฉันถูกจับได้ขึ้นมา มันไม่จบแค่ฉันคอขาดคนเดียวแน่”

แล้วญาติของฟาซก็บีบแตร เป็นสัญญาณว่าขึ้นมาได้แล้ววว

“เออ ไว้ค่อยว่ากัน ในลังไม้มีอาหารกับน้ำเตรียมไว้ให้แล้วนะ”

“แล้วเราต้องรอเธอจนถึงเมื่อไหร่ล่ะ?”

ฟาซบอกว่าอย่างช้าที่สุด ก็รอถึงรถไฟเที่ยวสุดท้าย จากนั้นฟาซก็จูบลาที่ด้านหลังมือของอิฟาลน่า ทำให้แอริธแปลกใจ

“ฟาซ ขอบใจนะ”

แล้วรถบรรทุกก็พรวดออกไป บัดนี้แม่ลูกได้พรวดออกจากตึกชินระเป็นครั้งแรกแล้ว

=====

แม่ลูกคลานเข้าลังเปล่าท้ายรถบรรทุก กลิ่นในลังเหม็นสุดขั้ว แต่ก็ทนกันไป

ในลังมีไฟฉาย ผลไม้แห้ง ถั่ว ขนมปัง และขวดน้ำ และซองจดหมายใส่เงินเตรียมไว้ให้

อิฟาลน่าให้แอริธเอาไปฉายส่งกระดาษโพยที่ฟาซพับมา ในนั้นเขียนว่าเพลทที่ตั้งของตึกชินระและสลัมด้านล่างนั้น เชื่อมต่อกันด้วยทางรถไฟ ลังเหล่านี้จะถูกบรรทุกขึ้นรถไฟขนส่งสินค้า ระหว่างที่รถไฟวิ่ง จะมีการฉายแสงสีแดงเข้ามาในลังหลายครั้ง ไม่ต้องไปตกใจอะไร รถไฟจะวิ่งลงลาดลงสู่ระดับพื้นดิน พอได้ยินเสียงประกาศหยุดวิ่งแล้วก็ให้ออกมาจากลัง รถไฟจะมาถึงสลัมเขต 4 แล้วจ่ายเงินให้คนที่เปิดประตูซะ เป็นค่าตอบแทนให้เขา คนนั้นเป็นเพื่อนของฟาซเอง จากนั้นทำตามคำแนะนำของเธอจนกว่าฟาซจะมารับ

ระหว่างอ่านนั้น อิฟาลน่าก็ไออย่างรุนแรง ไอไม่หยุด เธอพยายามปิดปากเอาไว้ บอกให้แอริธปิดไฟฉาย ก่อนจะไออย่างรุนแรงและไม่หยุดยั้ง

=====

แล้วรถบรรทุกก็หยุดวิ่ง แม่ลูกรู้สึกถึงได้การสั่นสะเทือน แล้วรู้สึกว่ามีคนเข้ามาใกล้

จากนั้นก็เริ่มมีการยกลังท้ายรถบรรทุกออก เป็นการยกและโยนลังออกมา

แม่ลูกต้องทนรับแรงสั่นสะเทือนและความเจ็บปวด อิฟาลน่ากอดแอริธแล้วปิดปากเธอเอาไว้

จากนั้นลังก็ถูกขนขึ้นรถไฟขนส่งสินค้า ในแบบที่ขนกันไม่นิ่มนวลเท่าไหร่

พอการขนย้ายเสร็ต แล้วรถไฟออกวิ่ง แอริธที่สะลึมสะลือถึงค่อยสบายใจ

ระหว่างรถไฟวิ่ง แอริธผลอยหลับไป แล้วก็ตื่นขึ้นเพราะได้ยินเสียงไออย่างรุนแรงของแม่

อิฟาลน่าตอบด้วยเสียงแหบแห้งว่าไม่ได้เป็นอะไร แล้วก็รถไฟน่าจะลงมาถึงภาคพื้นดินแล้ว แสงสีแดงก็หยุดส่องเข้ามาแล้ว เราอาจจะใกล้ถึงแล้ว

แอริธก็งง เอ๊!? เธอยังไม่ทันเห็นแสงสีแดงเลยยย ถึงกลัวแต่ก็อยากจะเห็นสักหน่อย

ทันใดนั้น ก็มีแสงสีแดงฉายเข้ามาในลัง แม่ลูกต่างมองหน้ากัน แต่ไม่ได้ตกใจมากนัก

อิฟาลน่าฉีกขนมปังให้แอริธกิน แล้วฉีกห่อผลไม้แห้งออก

แอริธบอกว่าอย่างกับมาปิกนิกเลย อิฟาลน่าก็ถามว่าปิกนิกคืออะไร?

แอริธบอกว่าเคยได้ยินรอนนีเล่าให้ฟังว่าคนเรามีกิจกรรมแบบเดินทางไกล ไปกินข้าวกัน

แล้วแม่ก็ส่งขนมปังที่เหลือให้แอริธกิน แอริธถามแม่ว่าแม่ไม่กินบ้างเหรอ? แต่อิฟาลน่าบอกว่าเธอกินไปแล้วตอนที่แอริธหลับ ทว่าแอริธคิดว่าแม่โกหก

รถไฟค่อย ๆ ลดความเร็วลง ขณะที่อิฟาลน่ายังคงไอไม่หยุด เธอยังคงปิดปาก แล้วบอกแต่ว่าไม่เป็นอะไร

จนกระทั่งมีเสียงประกาศว่าสถานีต่อไปสลัมเขต 4 ทั้งคู่จะค่อย ๆ โผล่ออกจากลังไม้ รถไฟที่กำลังรถความเร็วลงเรื่อย ๆ ยังคงสั่นอยู่

แอริธที่ออกจากลังมาแล้ว กำลังสนุกกับการพยาบามทรงตัวไม่ให้ล้ม ขณะที่อิฟาลน่าเกาะลังไว้แน่น

“แอริธ”

“คะ?”

“อย่าลืมความรู้สึกนี้นะ”

“ความรู้สึกอะไรคะ?”

“ความรู้สึกว่าเธอจะมีความสุขได้กับทุก ๆ สิ่ง”

“หืมมม เข้าใจแล้วค่ะ!”

แล้วอิฟาลน่าก็ชี้ให้แอริธดูฉลากที่แปะไว้บนลังไม้ที่ขนพวกเธอมา

“จากบริษัทชินระ ถึงบริษัทชินระ เพื่อเอาไปเก็บยังสถานีเขต 4 วัตถุอันตราย ห้ามเปิดระหว่างทางโดยเด็ดขาด”

“นี่เราเป็นวัตถุอันตราย?”

“หยาบคายยยย”

แล้วรถไฟก็ชะงักหยุดลง แอริธเสียการทรงตัวจนเซไปหาแม่

มีผู้หญิงทำหน้ามุ่ย ๆ ใส่ชุดเลอะ ๆ มาเปิดประตูให้ อิฟาลน่าเข้าไปถามว่าใช่เพื่อนของฟาซรึเปล่า

สาวที่เปิดประตูให้พยักหน้า อิฟาลน่าก็จะส่งซองเงินให้ แต่เธอจะไม่รับ ก็โต้กันไปมาแป๊ปนึง จนเธอตัดสินใจรีบคว้าใส่กระเป๋าไป แล้วบอกให้พวกอิฟาลน่ารีบไป


ทีนี้ แต่จากประตูรถไฟห้องเก็บสินค้าจนถึงพื้นล่าง มันค่อนข้างสูงอยู่ สูงจนคนปกติไม่น่าจะโดดลงไป

อิฟาลน่าก็มองไปรอบ ๆ ว่ามีใครอยู่รึเปล่า แล้วก็ตัดสินใจโดดลงไป

อิฟาลน่าร้องด้วยความเจ็บปวด ทำเอาแอริธตกใจ แต่อิฟาลน่ารีบยืนขึ้นอ้าแขน บอกให้แอริธรีบกระโดดตามลงมา

แอริธก็กลัวว่าถ้ายึกยัก เดี๋ยวแม่สาวชุดเลาะจะโกรธ ก็เลยรีบโดดลงไป อิฟาลน่าที่คว้ารับก็ทรุด และเซเกือบจะล้ม

เพื่อนของฟาซ พูดลงมาว่าให้ไปซ่อนในลานเก็บตู้คอนเทนเนอร์ จนกว่าฟาซจะมารับ แล้วเธอก็ชี้ไปยังลานที่ว่า

“พอพระอาทิตย์ตก จะมีเจ้าหน้าที่รับสินค้าเข้ามา อย่าให้เขาพบตัว”

อิฟาลน่าถามกลับไปว่าเมื่อไหร่พระอาทิตย์จะตกดินล่ะ เพื่อนฟาซบอกว่าอีกราว 4 ชม.

อิฟาลน่าถามอีกว่าเขต 3 ไปทางไหน ผู้หญิงคนนั้นก็เงยคางชี้ไปทางนั้น แล้วก็รีบชี้ให้สองแม่ลูกไปซ่อนที่ลานตู้คอนเทนเนอร์

อิฟาลน่ากุมมือแอริธบอกว่าจากนี้ไป จะเป็นการผจญภัยที่แท้จริงแล้วนะ

แอริธถามว่าทำไมแม่มือร้อน อิฟาลน่าบอกว่าเพราะเธอกำลังตื่นเต้น

แล้วแม่ก็พาแอริธไปที่หน้ารั้วตะข่ายสูงสองเมตร อิฟาลน่าบอกว่าต้องปีนข้ามไป ไม่งั้นการผจญภัยจะจบลง ทั้งสองก็พยายามตะกายกันอยู่พักนึง มีคนแถวนั้นเดินผ่านไปมาเห็น แต่ก็ไม่มีใครสนใจทั้งคู่นัก

แม่ก็สอนแอริธ ถึงวิธีตะกายข้ามรั้วตะข่าย แอริธก็ลองผิดลองถูกทำตาม จนพอตะกายเป็น จนไปถึงยอดรั้ว กำลังจะพลิกตัวข้ามฟาก ก็มีเจ้าหน้าที่สถานีเห็นจากระยะไกล เจ้าหน้าที่ตะโกนมาแต่ไกล “เฮ้ย!! ลงมาเดี๋ยวนี้!!”

อิฟาลน่าก็รีบปีนรั้วขึ้นไปบ้าง แต่เธอค่อนข้างช้า

ขณะที่เจ้าหน้าที่สถานีวิ่งมา ก็มีชายตัวสูงคนหนึ่งที่เดินผ่านมายังอีกฟากของรั้ว ช่วยรับแอริธที่กำลังจะพลิกล้มข้ามฟากในท่าเอาหัวลงก่อนไว้พอดี

ในขณะที่อิฟาลน่า ก็ปีนข้ามรั้วมาได้พอดิบพอดี โดยที่เจ้าหน้าที่สถานีคว้าเธอไว้ไม่ทัน

“ไม่เป็นไรนะ?” ชายคนนั้นถามอิฟาลน่า พร้อมค่อยวางแอริธลงกับพื้น

อิฟาลน่าไม่ได้ตอบอะไร แต่ไออย่างหนัก

“ลักลอบโดยสารนี่ความผิดร้ายแรงนะ!!” เจ้าหน้าที่สถานะตะโกน ก่อนจะเริ่มตะกายปีนรั้วบ้าง

“ความผิดร้ายแรงที่ใคร ๆ ก็ทำกันเยอะแยะ แต่แกจับพวกเขาไม่ได้ไง” ชายที่ช่วยแม่ลูก ตอบกลับ

แล้วชายคนนั้นก็ต่อยเข้าไปที่นิ้วของเจ้าหน้าที่สถานี ที่กำลังเกาะตะกายรั้วอยู่ เจ้าหน้าที่ก็ร้องจ๊ากแล้วเด้งตัวออกจากรั้ว

“พวกระยำชินระเอ้ยยย” ชายคนนั้นสบถด่าเจ้าหน้าที่ ทั้งสองก็จ้องหน้าเขม็งกัน แต่สักพักชายที่ช่วยแม่ลูกไว้ก็เดินจากไป

“เขต 3 ไปทางไหนคะ?” อิฟาลน่ายังกล้าหันไปถามเจ้าหน้าที่สถานีที่อยู่อีกฟากของรั้ว… ซึ่งทั้งเจ้าหน้าที่สถานี และแอริธ ต่างก็เป็นงงง ว่ายังกล้าถามอี๊กกก

เจ้าหน้าที่ก็ตะคอกกลับมาว่าใครจะไปบอก อิฟาลน่าก็ขอโทษขอโพย แล้วรีบจูงแอริธหนีจากจุดเกิดเหตุไป

 =====

แม่พาแอริธออกจากสถานีสลัมเขต 4 มาเรื่อย ๆ ดูไม่มีใครไล่ตามพวกเขามา

ทั้งสองมองขึ้นไปบนฟ้า เห็นเพลทมากมายที่ประกอบเข้าด้วยกัน เป็นฐานให้คนใช้ชีวิตอาศัยบนนั้น สเกลมันใหญ่มากจนแอริธดูแล้วก็ไม่เข้าใจโครงสร้างทั้งหมดนัก

“แอริธ ถ้ามัวแต่มองด้านบน จะล้มนะลูก”

“เครค่ะ”

เป็นธรรมชาติของชาวสลัมที่ปกติ ก็จะไม่มองขึ้นไปมองเพลทนัก เพราะมันก็เป็นสิ่งที่เห็นกันอยู่ทุกวัน

แล้วแอริธก็ถามแม่ว่าคนที่ช่วยเราไว้เมื่อกี้เป็นใครอ่ะ? อิฟาลน่าบอกว่าก็คงคนที่เกลียดชินระมั้ง สงสัยชาวสลัมเขาก็เกลียดชินระกันทั้งนั้น

“ม๊ารู้เรื่องสลัมได้ไงอ่ะ?”

“ก็เคยถามมาเยอะแยะ เพื่อวันนี้ไง”

“รวมถึงวิธีปีนรั้วด้วยเหรอคะ?

“อื้อ ถ้า ศจ.โฮโจ ไม่อยู่ ทุกคนก็เข้ามาคุยกับแม่กันทั้งนั้นแหละ ที่จริงแล้วทุกคนเขาก็เป็นคนดีนะ เขาเป็นห่วงและแคร์แม่ แต่ไม่มีใครช่วยแม่ออกมา คนที่ดีจริง ๆ จึงไม่ใช่คนที่พูดอย่างเดียว แต่เป็นคนที่ลงมือช่วยจริง ๆ”

“ไม่รู้ว่าป่านนนี้คุณฟาซจะเป็นไงบ้าง” แอริธถามขึ้นบ้าง

อิฟาลน่าไม่ได้ตอบอะไร หากแต่ชี้ไปยังลานกว้างซึ่งมีม้านั่งตั้งอยู่หลายตัว แล้วชวนแอริธไปนั่งพักกันตรงนั้น


ซีน 5

นึกเป็นภาพแอริธที่กำลังเล่าให้ทิฟาฟัง

“ทันทีที่นั่งลงบนม้านั่ง แม่ก็ควักเข็มฉีดยาขึ้นมา ฉีดตัวเอง ฉันตกใจมาก”

“ลำบากแย่เลยย” ทิฟาพูดด้วยน้ำเสียงและแววตาเห็นใจ

“ทั้งที่รู้ว่าไม่สบาย แต่ตอนนั้นฉันห่วงแต่ตัวเอง”

“ก็ตอนนั้นเธอยังเด็กนี่นา...”

“ก็รู้…”

แอริธเงียบลง ตอนนั้นเธอยังเป็นเด็ก มันก็เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ แต่กระนั้นก็มีเรื่องมากมายที่เธอเสียใจและไม่อยากลืมมันไป

“ยามันก็ออกฤทธิ์ เราก็เดินในสลัมเขตต่อ 4 ต่อกันเป็นชั่วโมง พอหยุดพัก ก็บอร์ดประกาศ ที่แปะข้อมูลสลัมเขต 5 เอาไว้”


ซีน 6

แอริธหันไปถามแม่ นี่มันป้ายทางไปสลัมเขต 5 แต่บ้านใหม่ของเราอยู่ที่เขต 3 ใช่มั้ย?

“แอริธ เรารีบไปกันเถอะลูก เดี๋ยวจะมืดแล้ว” อิฟาลน่าตอบไม่ตรงกับสิ่งที่เจ๊แอถาม

“เรากำลังจะไปไหน? จะรีบไปไหนเหรอคะ?”

อิฟาลน่าไม่ตอบ แต่รีบกำมือแอริธแน่น และรีบเร่งเดินต่อไป

แอริธเป็นงงง แต่แล้วอิฟาลน่าก็เริ่มพูดขึ้นเบา ๆ

“แม่ได้ยินว่ามีโบสถ์อยู่ในสลัมเขต 5 ในอดีต ผู้คนจะไปรวมตัวกันที่นั่นแล้วภาวนาต่อพระผู้เป็นเจ้า แต่ตอนนี้ไม่มีใครไปที่นั่นแล้ว แม่คิดว่าเราน่าจะไปซ่อนที่นั่นกันสักพัก...”

“หนูเคยได้ยินเรื่องพระผู้เป็นเจ้ามาก่อน!! พระเจ้ามีจริงเหรอคะ?” แอริธถามขึ้นด้วยความสงสัย

“สาวกเชื่อว่าเขามีจริงนะ แม่ได้ยินว่าเวลาพวกเขาภาวนา ก็จะแบบมีพลังมากขึ้นด้วย”

“ภาวนา…?”

อิฟาลน่าบอกว่าการภาวนา ก็เหมือนกับการที่ชาวเซทร่าพูดคุยกับดวงดาว แต่ตอนนี้ไม่มีใครมาที่โบสถ์แล้ว อาจจะไม่มีสาวกอยู่แล้ว อาจจะแย่สำหรับพระเจ้า แต่ก็ถือเป็นโอกาสที่ดีสำหรับพวกเรา

“เราจะรอฟาซกันที่โบสถ์เหรอคะ?”

อิฟาลน่านิ่งไปสักพัก แล้วก็ส่ายหน้า

“เราจะไม่สร้างปัญหาไปกว่านี้แล้ว”

“แล้วบ้านใหม่ล่ะคะ?”

“เราจะไม่ไปอยู่ที่นั่น”

“คุณฟาซคงจะเสียใจแย่เลยใช่มั้ย?”

“ก็น่าจะนะ”

“หม่าม๊า จะไม่เป็นไรจริง ๆ เหรอคะ?”

“ตราบใดที่มีลูกอยู่ข้าง ๆ เท่านั้นแม่ก็พอใจแล้ว”

แอริธยังคงรู้สึกผิดต่อฟาซ รู้สึกเหมือนว่าไปทรยศเขา แต่พอคิดว่า เธอจะไม่ต้องเห็นแม่ถูกฉีดยา กินยา หรือถูกจูบหลังมือแล้ว ก็รู้สึกโล่งใจ

“กลับไปที่สถานีกันก่อน แม่รู้ทางไปจากที่นั่น”

“เราควรจะถามทางใครก่อนมั้ยคะ?”

“ไม่ล่ะ เราไม่อยากให้ใครรู้ว่าเราอยู่ที่ไหน”

=======

ในสลัมนั้น ก็มีช่วยเวลาที่แสงแดดไม่พอเพียง เพราะว่ามันทีเพลทกำบังแดดอยู่ด้านบน จึงมีสร้างโคมไฟยักษ์ที่เรียกว่า Sun Lamp ขึ้นมาเพื่อการนี้ ทว่าแสงที่ได้เห็นกันในตอนเช้าและบ่าย มันเป็นแสงแดดจริง ๆ แอริธทึ่งไปกับการอธิบายสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้จากแม่ แต่เธอก็รู้สึกกังวล ใกล้จึงเวลาเย็นแล้ว แอริธเกรงว่าถ้าไปถึงโบสถ์ไม่ทันพระอาทิตย์ตกดิน มันจะเกิดอะไรไม่ดีขึ้นรึเปล่านะ

อิฟาลน่าชี้ให้แอริธเห็นสถานีรถไฟเขต 5

สถานีรถไฟเขต 5 ค่อนข้างต่างจากสถานีของเขต 4 เพราะที่นี่เป็นสถานีเล็ก ๆ ที่มีแต่ชานชาลา อาจจะเพราะมีผู้โดยสารสัญจรไปมาที่นี่น้อย แล้วยังไม่ค่อยมีคนเดินผ่านไปมาที่สถานีนัก

“เอาล่ะ เราจะไปทางไหนต่….”

ไม่ทันจบคำ อิฟาลน่าก็เซล้มลงไปกองกับพื้น

“หม่าม๊า~~~~~!?”

เสียงของแอริธทำให้ผู้คนรอบข้างหันมามอง แต่ไม่ได้มีใครเข้ามาช่วย

อิฟาลน่าหายใจหอบ แอริธสัมผัสตัวแม่อีกครั้ง คราวนี้เธอถึงรู้ว่าแม่กำลังมีไข้ขึ้นสูง

“หม่าม๊า ยาอยู่ไหน???”

“แม่… ทานไปหมดแล้ว….”

“ม๊าไหวรึเปล่า? ม๊า?”

อิฟาลน่าพยายามพูดอะไรบางอย่างด้วยลมหายใจที่เหลืออยู่ แอริธไม่ได้ยินเลย เธอเอียงหูเข้าไปใกล้ริมฝีปากของแม่ แต่มีเพียงลมหายใจร้อน ๆ เท่านั้นที่มากระทบหู 

“จะทำไงดี? ทำไงดี? ทำไงดี?” ในหัวแอริธเต็มไปด้วยคำพูดคำนี้

อิฟาลน่าพยายามพูดอะไรบางอย่างออกมาอีกครั้ง คราวนี้แอริธได้ยินแม่บอกว่าไม่เป็นไร แต่แม่น่ะต้องเป็นอะไรแล้วแน่ ๆ จะทำไงดีล่ะ?

แอริธสงสัยว่าจะมีใครช่วยพวกเธอได้มั้ย เหมือนอย่างที่มีคนมาช่วยตอนอยู่ในสถานีสลัมเขต 4 

แอริธเงยหน้าขึ้น มองหาคนที่อาจจะช่วยพวกเธอได้ แต่กลับไม่มีใครสนใจ

“ช่วยพวกเราหน่อยได้มั้ยคะ? ช่วยมองมาทางนี้หน่อยได้มั้ย?” แอริธได้แต่คิด

“แม่หนูป่วยยย เค้าไข้ขึ้น ช่วยพวกหนูด้วยยย ใครก็ได้ ช่วยพวกหนูด้วยยยยย!”

แต่แอริธ ก็ไม่ได้พูดออกมาสักคำ

“ขอโทษนะ” อิฟาลน่าพยายามกลั้นใจพูดออกมา “เราอยู่… ระหว่างการผจญภัยแท้ ๆ …”

แต่แล้วก็มีเสียงชายคนนึงในชุดสกปรก ดังขึ้นจากด้านหลังแอริธ

“คุณไม่สบายเหรอ?”

“ขยับมาทางนี้ เธอขวางทางอยู่นะ”

แล้วชายคนนั้นก็สอดมือเข้ามาทางสองฝั่งของอิฟาลน่า ลากตัวเธอออกไป โดยที่รองเท้าของเธอหลุดจากเท้า แอริธได้แต่ตามเก็บรองเท้าของแม่ แล้ววิ่งตามไป

“เบา ๆ หน่อย!”

ชายคนนั้นไม่ได้สนใจ เขาเพียงแต่ลากเธอไปพิงไว้ข้างชานชาลา

“เรียกหมอซะ”

“คุณหมออยู่ที่ไหน?”


“ไม่รู้สิ ถ้าเป็นฉัน ก็คงตะโกนถาม” แล้วเขาก็หันไปตะโกนจริง ๆ

“มีหมออยู่แถวนี้มั้ยยยยยยยยยยยยยยย!”

แต่ก็ไม่มีใครตอบกลับหรือสนใจ ชายคนนั้นก็เลยเดินจากไปโดยไม่หันกลับมา

“คุณพระช่วย” เสียงจากชายหญิงคู่หนึ่งที่แต่งตัวค่อนข้างดี เดินเข้ามาหาอิฟาลน่าและแอริธ

“พวกคุณเป็นหมอใช่มั้ยคะ?”

“เปล่าหรอก”

“ว่าแต่ เค้าเป็นแม่ของเธอเหรอ?”

“เราควรรีบตามหมอรึเปล่า?”

“เธอไม่มียาเหรอ?”


 ขณะที่ฟังชายหญิงสองคนนี้พูด แอริธก็นึกถึงคำสอนของแม่ได้ว่า คนที่ดีจริง ๆ คือคนที่ลงมือช่วย ซึ่งคนพวกนี้ ไม่ใช่คนแบบนั้น


“ม๊ารออยู่ที่นี่นะ หนูจะรีบไปตามหมอมาาา”

แอริธออกวิ่งไป ท่ามกลางความวิตกกังวล เธอตะโกนเข้าไปในทางที่มีคนอยู่เยอะ ๆ “มีหมอมั้ยยย?”

แอริธวิ่งออกจากสถานีรถไฟมาไกลพอควรแล้ว เธอเห็นกลุ่มชายหญิงเดินสวนมา แอริธตัดสินใจจะเข้าไปถาม โดยกะว่าถ้ายังไม่ได้ผล ก็จะกลับไปที่สถานีแล้ว

แต่แล้วหนึ่งในผู้ชายของกลุ่มนั้นก็พลิกตัวกลับหลังหันไปคุยกับเพื่อนสาว แล้วเดินถอยหลังมา

แอริธที่วิ่งมา พยายามจะหลบชายคนนั้น แต่หลบไม่ทัน ก้นของชายคนนั้นเลยกระแทกเข้าหน้าแอริธจนล้ม

กลุ่มชายหญิงพวกนั้นมองแอริธ แล้วไล่ให้กลับบ้านไปนอน แถมยังหัวเราะเยาะเย้ยออกมา

แอริธลุกขึ้นมาอย่างเหม่อลอย ท่ามกลางเสียงหัวเราะของคนหนุ่มสาว เธอทั้งหงุดหงิด เศร้า โกรธ และผิดหวัง

“เธอเป็นอะไรรึเปล่า?”

คราวนี้เป็นเสียงที่ดูเป็นห่วงเป็นใยจริง ๆ จากผู้หญิงคนหนึ่ง ที่รวบผมไปทางด้านหลังอย่างเรียบ ๆ

“หนูไม่เป็นไรค่ะ? คุณรู้จักหมอบ้างรึเปล่า?”

แอริธเริ่มรู้สึกว่าตัวเองกำลังร้องไห้ และพยายามปาดน้ำตาของตัวเอง

“ฉันอาศัยอยู่ชานเมือง เลยไม่รู้จักหมอแถวนี้เลย”

แอริธขอบคุณ แล้วเดินจากไป เมื่อไหร่ก็ตามที่ถูกถามว่าเธอเป็นอะไรรึเปล่า เธอได้แต่ตอบว่าไม่เป็นไรอยู่เสมอ จนเธอเองเริ่มคิดกลับว่าเธอเคยถามแบบนี้กับแม่มากี่ครั้งแล้วนะ

“ม๊า หนูขอโทษ….”

แอริธวิ่งกลับไปทางสถานี แล้วพบว่า มีผ้าห่มคลุมอยู่บนตัวแม่ คงมีคนดีโผล่มาช่วยไว้ แต่พอเห็นอาการของแม่ที่เจ็บปวดทุรนทุราย แอริธรู้สึกว่าเธอจะอกแตกตาย อิฟาลน่าตัวร้อนมาก จนแอริธทนจับไม่ได้ด้วยซ้ำ

“หม่าม๊า”

ทั้งที่แอริธเรียกอยู่ อิฟาลน่ากลับมองขึ้นไปบนฟ้ากว้าง

“แอริธ ลูกอยู่ที่นี่ใช่มั้ย?”

“หนูอยู่นี่”

“นี่...” อิฟาลน่าหยิบกระเป๋าใบเล็กออกมาจากชุดของเธอ แล้วยื่นส่งมา

“แม่ได้มาจากคุณตา แล้วคุณตาก็ได้มาจากยายทวด ซึ่งก็ได้จากคุณแม่ของยายทวดมาอีกที มันไม่ได้มีค่าอะไรหรอก แต่มันคอยเชื่อมโยงพวกเรา ชาวเซทร่า เอาไว้”

แอริธเต็มไปด้วยความรู้สึกรุมร้อนในอก

“ไม่ หนูไม่อยากด้ายยย”

แอริธรู้ว่าถ้าเธอรับไว้ ทุกอย่างจะจบลง

“ชีวิตของแม่… ใกล้จะหมดลงแล้ว แม่กำลังจะกลับคืนสู่ดวงดาว”

มือของอิฟาลน่าที่ถือกระเป๋าอยู่ สั่นเทิ้ม แล้วร่วงลง

“อย่าเสียใจไปเลย จากนี้ไป แม่ก็จะยังคงอยู่เคียงข้างลูกเสมอ”


“หม่าม๊าาา”

“เธอเป็นอะไรมั้ย?”

เสียงอันห่วงใยจากผู้หญิงคนเดิม ที่ช่วยแอริธไว้ตอนที่เธอล้มเมื่อกี้ ได้ดังขึ้น

ทันใดนั้น อิฟาลน่าก็พยายามขยับตัว ลุกเงยขึ้นมา แล้วจับแขนของผู้หญิงคนนั้นไว้

“ช่วย… พาแอริธ… ไปอยู่ในที่ปลอดภัยด้วย”

อิฟาลน่าพูดด้วยน้ำเสียงที่จริงจังเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนที่วินาทีต่อมา…

อิฟาลน่าสิ้นใจลง วิญญาณได้หลุดลอยออกจากร่างของเธอไว้แล้ว

เหลือเพียงร่างเนื้อและกระดูกอันว่างเปล่า


“อ๊ะ…” แอริธคิดทบทวนถึงคำพูดของแม่ ที่บอกว่าไม่ต้องเศร้า ฉันกำลังจะกลับคืนสู่ดวงดาว และจะอยู่เคียงข้างเธอเสมอ เชื่อมโยงกันเอาไว้ 


ทั้งที่รู้แบบนี้ แต่แอริธกลับเจ็บปวด น้ำตาเอ่อล้นออกมา แล้วเธอก็พรั่งพรูร้องไห้ เธอเจ็บปวดและกำลังสั่นเทิ่ม ทว่า… ใครบางคนกำลังลูบหลังของเธอ

ทันใดนั้น รอบข้างก็เต็มไปด้วยความโกลาหล แอริธเงยหน้าขึ้นพบว่ารถไฟกำลังเข้าเทียบชานชาลาพร้อมเสียงดังกระหึ่ม

“ไปกันเถอะ”


ผู้หญิงคนนั้นกุมมือแอริธไว้แน่น ดึงให้เธอรีบไป แอริธก็ได้เพียงรีบเก็บกระเป๋าของแม่ขึ้นมา

“ฉันรู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดี”

ผู้หญิงคนนั้นจูงแอริธ พยายามรีบไปจากสถานีรถไฟ

แอริธจำได้ว่าก่อนหน้านี้ไม่นาน แม่พึ่งเป็นคนจูงมือเธอ เดินข้ามทางรถไฟ

ไม่รู้ว่าแล้วมือคู่ใหม่นี้ จะพาเธอไหที่ไหน

หม่าม๊า ลาก่อนนะคะ…

จากนี้ไป ทั้งสองแม่ลูกอาจยังคงอยู่ด้วยกัน แต่แอริธไม่สามารถรู้สึกถึงร่างนั้นได้อีกแล้ว เพราะรูปแบบชีวิตของแม่นั้น ได้แปรเปลี่ยนไปแล้ว

“หม่าม๊า!”

 แอริธหันกลับไป ตะโกนไปทางแม่ ทว่าผู้หญิงที่จูงมือเธออยู่นั้น กลับยิ่งดึงมือแรงขึ้น แอริธเห็นว่าจากรถไฟที่หยุดลง เมื่อประตูเปิดออกมา…. กองกำลังของชินระ และเหล่าชายในชุดกาวน์สีขาว ก็พากันเดินลงมา

“วิ่งกันเถอะ”

เมื่อผู้หญิงคนนั้นเห็นว่าแอริธแน่นิ่งไม่ขยับ เธอจึงต้องจับอุ้ม แล้วออกวิ่งไปจากชานชาลา….

======

เมื่อทั้งสองมาถึงใจกลางของสลัม ผู้หญิงคนนั้นก็วางแอริธลง และขอโทษที่ไม่มีโอกาสปล่อยให้แอริธได้บอกลาแม่เลย จำเป็นต้องทิ้งไว้ตรงนั้นแล้วรีบวิ่งออกมา แต่แอริธส่ายหัว แล้วบอกว่าคุณแม่แค่กลับคืนสู่ดวงดาวเท่านั้น เธอจึงไม่ได้เศร้าอะไร

“อา… ก็มีคนคิดแบบนั้นเยอะเหมือนกันนะ แต่ว่า การจากลากัน มันก็เศร้าอยู่ดีใช่มั้ย?”

“ไม่ค่ะ หนูยังเจอแม่ได้อยู่”

“งั้นเหรอ งั้นตอนนี้เรากลับบ้านฉันกันก่อนมั้ย? ไว้ไปถึงแล้ว เธออยากจะร้องเท่าไหร่ก็ร้องได้เต็มที่เลยนะ”


ซีน 7

กลับมาที่ปัจจุบัน แอริธบอกทิฟาว่าซึ่งเธอก็ไม่ได้ร้องไห้ออกมาเลยจริง ๆ นะ

คราวนี้ทิฟา เป็นงงงงง บ้าง

แอริธถามต่อไปว่าเคยไปที่บ้านของเธอในสลัมเขต 5 แล้วใช่มั้ย? มีดอกไม้เยอะเลยใช่มั้ยล่ะ? ตอนที่เธอมาถึงครั้งแรก ก็รู้สึกเหมือนได้รับการต้อนรับจากหมู่ดอกไม้ เธอรู้สึกถึงดวงดาว รู้สึกถึงแม่ ก็เลยไม่ได้ร้องไห้อะไร สิ่งที่จากไปนั้นไม่ใช่แม่ เพราะแม่อยู่ที่นี่แล้ว

ทิฟายิ่งเอียงคอ แสดงความงงขึ้นไปอี๊กกก

“ฉันพูดอะไรประหลาดใช่มั้ย” แอริธหัวเราะ

“ฉันว่ามันแปลก แต่ไม่ได้ประหลาดหรอก” ทิฟาตอบ

“ขอบใจนะ กะแล้วว่าเธอจะต้องพูดแบบนี้ เพราะงั้นฉันเลยถึงกล้าเล่าไง”

แล้วแอริธก็เปลี่ยนเรื่อง

“บ้านฉันใหญ่ใช่ม๊า? ยิ่งเทียบกับบ้านอื่น ๆ ในสลัม”

ทิฟาตอบว่าอลังการงานสร้างสุด ๆ ดูไม่เหมือนบ้านในสลัม หรือบ้านในมิดการ์เลยด้วยซ้ำ

แอริธเล่าให้ฟังต่อว่าบ้านนั้นเดิมเป็นของพ่อตาของเอลมีร่า เค้าว่ากันว่าพ่อตาเป็นผู้มีอิทธิพล

“จะอธิบายยังไงดี… คอร์เนโอแบบที่ไม่ใช่คนเลวอ่ะ”

“คอร์เนโอแบบที่ไม่ใช่คนเลว?” ทิฟาพูดทวน

ทิฟาพยายามนึกภาพตาม แต่ไม่ไหวเลยยย มีแต่ภาพหน้าคอร์เนโอลอยมาเต็มมมม

“ฉันพลาดเอง คิดถึงหน้าคนที่เป็นสุภาพบุรุษยิ่งกว่านี้ ใครก็ได้ที่ไม่ใช่คอร์เนโอ”

“จะลองดู”

ทิฟาพยายามคิดตาม แต่แล้วก็หลุดหัวเราะออกมา

“หืมมมมมมมมมมมม?”

“ฉันไม่ค่อยรู้จักผู้ชายที่ดูเป็นสุภาพบุรุษสักเท่าไหร่”


ซีน 8

แอริธที่ไม่ค่อยรู้เรื่องเกี่ยวกับภูมิศาสตร์ของสลัม รู้สึกได้ว่าดินแดนแห่งนี้เป็นสถานที่พิเศษ เปี่ยมไปด้วยธรรมชาติและดอกไม้ที่เบ่งบาน แอริธที่เคยเห็นแต่ดอกไม้ในแจกันจึงตะลึงมาก

ระหว่างที่แอริธเหยียบย่างไปบนแผ่นไม้ที่เรียงเป็นทางเดิน เธอรู้สึกว่ามีใครบางคนลูบมือและขา แต่ไม่ได้รู้สึกกลัวหรือไม่สบายใจอะไร มันกลับให้ความรู้สึกอ่อนโยนและมอบความสงบแก่หัวใจ

เมื่อสายลมพัดผ่านแก้ม เธอรู้สึกหัวใจพองโต

วันแรกที่ก้าวออกจากตึกชินระ แอริธเต็มไปด้วยประสบการณ์ครั้งแรก รวมถึงการเหยียบเข้าบ้านคนอื่น บ้านของเอลมีร่านั้นตกแต่งด้วยไม้จากธรรมชาติ มีชุดโต๊ะ เก้าอี้ อยู่กลางห้อง กำแพงนั้นเต็มไปด้วยหน้าต่างมากมาย มีเฟอร์นิเจอร์ เครื่องใช้ หม้อ อาหาร อุปกรณ์ทำความสะอาด แถมยังเหมือนได้ยินเสียงลมหายใจของผู้คนที่ใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ แอริธนั้นกำลังมึนกับข้อมูลมากมายที่โถมเข้ามาในทีเดียว จึงสูดหายใจลึก

เอลมีร่าบอกว่าระหว่างทางที่เดินกลับมายังบ้าน เธอครุ่นคิดในหัวตลอดว่าจะทำยังไงต่อดี อันที่จริงในสลัมก็มีสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าที่มีเด็กอยู่มากมาย แต่ได้ยินข่าวว่าที่นั่นอยู่ใต้อิทธิพลของชินระ ซึ่งเมื่อดูจากเรื่องที่เกิดขึ้นที่สถานีรถไฟแล้ว แอริธคงจะเกลียดชินแร่แน่เลยใช่มั้ย?

แอริธพยักหน้าหงึกหงักรัว ๆ

เอลมีร่าบอกว่าหลังจากนี้ต้องคิดอย่างรอบคอบว่าจะทำไงกันต่อ แต่ตอนนี้เธอคิดอะไรซับซ้อนไม่ไหวละ ไว้ค่อยว่ากัน ตอนนี้ให้แอริธพักอยู่ที่นี่ก่อนดีกว่าเนอะ?

แอริธตัวน้อยพยักหน้าแล้วพยักหน้าอีก

แล้วเอลมีร่าก็พาแอริธขึ้นไปยังชั้นสอง เธออธิบายว่าบ้านแห่งนี้มีแขกแวะเวียนกันมาเยอะ ถ้าจู่ ๆ มีเด็กโผล่ขึ้นมา พวกเขาก็จะต้องสงสัยแน่ แล้วพวกเขาก็อาจจะเอาไปบอกชินระก็ได้ ดังนั้นขอให้แอริธอยู่แต่บนชั้นสองไว้ดีกว่า

เอลมีร่าถามต่อว่าแล้วพวกชินระ ไล่ตามแค่แม่ของเธอ หรือไล่ตามเธอด้วย?

แอริธคิดว่าเพราะเธอเป็นลูกหลานชาวเซทร่า ก็คงถูกตามล่าด้วยเหมือนกัน ก็เลยตอบตรง ๆ ว่าใช่

เอลมีร่าจึงบอกให้แอริธอยู่แต่บนชั้นสอง จนกว่าชินระจะเลิกตามหาเธอ

แอริธฟังแล้วก็เศร้า เธอคิดว่าชินระไม่มีวันเลิกตามหาแน่ ๆ สงสัยคงได้อยู่แต่บนชั้นสองไปชั่วชีวิต แต่เอลมีร่าก็บอกว่ามันไม่เป็นแบบนั้นหรอก

“กิ๊งก่องงงง”

ยังไม่ทันขาดคำ เสียงกริ่งหน้าบ้านก็ดังขึ้น ทำเอาแอริธระแวงว่าพวกชินระตามมาแล้วเหรอ?

เอลมีร่าลงไปเปิดประตูที่ชั้นหนึ่ง ส่วนแอริธที่หมอบแอบอยู่บนชั้นสอง ก็ได้ยินเสียงผู้ชายตะโกนเข้ามา

“ไปไหนมา!!”

“ไม่ใช่เรื่องของคุณ!”

“เธอเป็นคนบอกชั้นเองว่าให้มาตอนเย็น? แล้วทำกันแบบนี้เหรอ?”

“ชั้นบอกว่าชั้นน่าจะอยู่ตอนเย็น ๆ แต่ไม่ได้รับปากสักหน่อย คุณจะมาที่นี่โดยไม่มีปี่มีขลุ่ยไม่รู้เวลาไม่ได้”

“ต้องให้บอกกี่ครั้งว่า มันจะจบเมื่อได้ลายเซ็นกับรอยประทับเลือด?”

“จะพูดกี่ครั้งก่อนเหมือนเดิม เข้าใจมั้ย? นี่มันเป็นกติกาสังคม ถ้าเมกุโระ (Meguro) ไม่ยินยอม ชั้นก็จะไม่ทำอะไรทั้งนั้น ต่อให้ได้รอยประทับเลือดชั้นไป เขาก็คิดว่าฉันโดนข่มขู่ให้ทำ ถ้าคุณอยากจะทำงานต่อไป ก็ต้องรักษาคำพูดเข้าใจมั้ย?”

แล้วเอลมีร่าก็ไล่ชายคนนั้นออกไป พร้อมกับเสียงปิดประตูเสียงดัง

แอริธไม่ค่อยเข้าใจเนื้อหาการสนทนาสักเท่าไหร่ ได้แต่เห็นเอลมีร่าที่เดินขึ้นชั้นสองมาอย่างอ่อยเพลีย แล้วบอกว่าชายคนนั้นชื่อ คาร์โล คิงกี้ (Carlo Kinky) เป็นแขกที่ไม่ปกติสักเท่าไหร่

====

เอลมีร่าแนะนำว่าห้องที่จะให้แอริธอยู่ เป็นห้องของกาเบรียล (Gabirel Gainsborough) คนที่สร้างบ้านหลังนี้ขึ้นมา และเป็นห้องที่เขาพักรักษาตัวอยู่จนถึงสองเดือนที่แล้ว ห้องมันก็เรียบร้อยและสะอาดดี เธอไม่ได้รู้สึกถึงร่องรอยของการเสียชีวิตแต่อย่างใด

เอลมีร่าบอกว่าเธอก็ไม่คิดว่าบรรยากาศมันจะดี แต่อีกห้องที่มี มันก็ยังไม่ได้เก็บกวาด

แอริธฟังแล้วก็ไม่ได้ใส่ใจอะไร กลับกันเธอรู้สึกเหมือนได้รับการต้อนรับจากห้องนี้

แล้วคืนนั้น ผีอิฟาลน่า ก็ปรากฏตัวขึ้นมาข้างเตียงที่แอริธนอน

คุณแม่หัวเราะ และยังคงยิ้ม เป็นรอยยิ้มที่แฝงด้วยความอ่อนล้า แบบเดียวกับรอยยิ้มที่แอริธเห็นตอนเดิมกับแม่ในสลัม

“ม๊ามาที่นี่ได้ยังไงอ่ะ?”

“ไม่ใช่ว่าม๊ามา แต่เราอยู่ด้วยกันตลอด เพราะเราเชื่อมโยงถึงกัน”

อิฟาลน่าลูบหน้าผากของแอริธ ทำให้คืนนั้นเธอหลับไปได้อย่างสงบ

ในคืนที่สอง อิฟาลน่าก็ยังมาเยี่ยมเยียนแอริธอีก

“วันนี้เป็นไงบ้าง? เข้ากับเอลมีร่าได้ดีมั้ย?”

“อืมมม…. ไม่รู้เหมือนกัน คุณเอลมีร่าทำข้าวเช้าแล้วเอามาให้หนู เราทานข้าวด้วยกัน แล้วก็ทำขนมปังมาให้เป็นมื้อเที่ยงให้ จากนั้นเค้าก็ออกจากบ้าน แล้วกลับมาตอนเย็น ๆ ดูท่าทางเค้าเหนื่อย ๆ ก็เลยไม่ได้คุยอะไรกันมาก หนูเขากับเค้าไม่ค่อยได้ ทำยังไงดีคะม๊า?”

“ไม่เป็นไรหรอก ตอนนี้เอลมีร่าเค้ากำลังลำบากอยู่ แต่แม่ว่าหนูสามารถช่วยเค้าได้”

“หนูควรทำยังไง?”

“ในยามที่เค้าต้องการร้องไห้ ขอให้ลูกอยู่กับเค้า กอดเค้าไว้ให้แย่ย ก็เหมือนกับตอนที่ลูกอยู่กับแม่”

“....ม๊า เคยมีช่วงที่เคยอยากร้องไห้ด้วยเหรอคะ?”

“ก็เคยอยู่บ้างนะ...”


ซีน 9

กลับมาที่ปัจจุบัน แอริธหันมาเล่าขยายความให้ทิฟา เธอบอกว่าสมัยเด็ก เธอนึกว่าไอ้ที่เธอคุยกับแม่นั่นมันเป็นความฝัน แต่มันไม่ใช่

“มันเป็นหนึ่งในพลังของชาวเซทร่า เราสามารถเป็นหนึ่งเดียวกับชีวิตที่ล่องลอยอยู่บนดวงดาวได้ มันอาจจะมีเงื่อนไขหลายอย่าง แต่เราก็สามารถสื่อสารกับคนที่เราแยกจากกันไปแล้วได้”

“มหัศจรรย์ไปเลย” ทิฟาตอบ

แอริธพูดต่อว่าแต่ตอนนี้เธอทำแบบนั้นไม่ได้แล้ว บางทีเวลาไปอยู่ในที่ห่างไกลลึก ๆ ก็ยังพอรู้สึกอะไรบางอย่างได้ รู้สึกถึงความสุข รู้สึกถึงความเศร้า ตอนเด็ก ๆ ก็จะรับรู้สัมผัสได้เยอะ แต่ตอนนี้ปกติก็สื่อสารแบบนั้นไม่ได้แล้ว


ซีน 10

คืนวันที่ 3 พระอาทิตย์ตกดินแล้ว อาทิตย์ยังไม่ได้ทานอะไรเลยหลังจากทานซุปและขนมปังไปตอนเที่ยง เอลมีร่าก็ยังไม่กลับบ้าน แอริธกำลังคิดว่าควรย่องลงไปหาอะไรทานที่ชั้นล่างเองมั้ย?

แต่แล้วเธอก็ได้ยินเสียงเปิดประตูบ้าน

“ชั้นเอง จะรีบไปทำกับข้าวเดี๋ยวนี้แหละ” เสียงของเอลมีร่านั่นเอง

แอริธดึงโต๊ะพับออกมาจากตู้เสื้อผ้าออกมากาง สักพักเอลมีร่าก็ถือถาดอาหารที่มีขนมปังและถั่วร้อนขึ้นมา

“อ๊ายยย”

แอริธร้องขึ้นมาโดยไม่ตั้งใจ เธอตกใจกับพลาสเตอร์ขนาดใหญ่ที่แปะบนคิ้วขวาของเอลมีร่า และที่มุมตรา

“หกล้มนิดหน่อยน่ะ ไม่ต้องห่วงหรอก” เอลมีร่าพูดเหมือนไม่อยากที่จะเล่ารายละเอียด จากนั้นเธอก็ยกถาดอาหารสำหรับสองคนวางลงบนโต๊ะของแอริธ แล้วเอลมีร่าก็เริ่มทานอาหาร  เจ๊แอก็เริ่มทานด้วยท่าทางสดใสเหมือนเคย

“อร่อยจังค่ะ!”

“มันคืออาหารกระป๋องน่ะ”

“อาหารกระป๋องก็อร่อยค่ะ”

“ถ้าคนสร้างได้ยิน คงดีใจน่าดู”

“ใครสร้างเหรอคะ?”

“โรงงานชินระน่ะ แต่เธอทานเงียบ ๆ เถอะ”

หลังได้ยินว่าอาหารกระป๋องนี่เป็นสินค้าของชินระ แอริธก็หงอยไป


เอลมีร่าบอกว่าการใช้ชีวิตโดยปราศจากสินค้าของชินระมันยาก ถ้าไม่มีวัตถุดิบและเชื้อเพลิงจากชินระก็คงทำขนมปังไม่ได้ เอลมีร่ามีน้ำเสียงหงุดหงิด แอริธเองก็เสียใจ แต่ถ้าพยายามจะเอ็นจอยกับการกินไม่ได้ งั้นก็ขอไม่เก็บอาการแล้วละกัน

“โอเค แต่บอกหนูหน่อยสิคะ หลังจากอาหารเช้าแล้ว คุณเอลมีร่าไปไหนมา?”

เอลมีร่าหยุดทาน แล้วจ้องมายังแอริธ จากนั้นก็ก้มลงมองไปที่จานของเธออยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะตักถั่วเข้าไปในปากต่อ แอริธอ่านความรู้สึกเอลมีร่าไม่ออกเลย แล้วก็ไม่รู้จะทำยังไงต่อ ทว่าเอลมีร่าก็พูดขึ้นมา

“ฉันเคยพกโต๊ะตัวนี้ไปปิคนิคด้วยกันหลายครั้ง”


“ถึงชั้นจะพูดแบบนั้น มันก็เป็นแค่ในสลัม แต่ถ้าเป็นไปได้ก็จะพยายามไปในที่ ๆ ไม่มีผู้คนและมอนสเตอร์ เอาแฮม แซนวิชชีสไป แล้วก็มีดื่มแอลกอฮอล์กันนิดหน่อยด้วย”

“ท่าทางสนุกนะคะ!”

“มากเลยจริง ๆ”

เอลมีร่าท่าทางเศร้า ทำให้แอริธตกใจอีกครั้ง

“ไปปิคนิคคนเดียวเหรอคะ?”

“เปล่า ไม่ใช่แบบนั้น”

เอลมีร่าออกไปนอกห้อง สักพักก็เดินกลับเข้ามาพร้อมกรอบรูป เป็นรูปเอลมีร่ากอดกับชายที่แอริธไม่รู้จัก ชายคนนั้นดูกำยำผิดกับเอลมีร่าที่ผอมบาง แล้วมีโต๊ะที่วางแซนวิชอยู่ในภาพด้วย

“เคลย์”เกนส์โบโร เขาเป็นลูกชายคนเดียวของกาเบรียล และเป็นสามีของฉัน”

แอริธบอกว่าเธอรู้จักคำว่าสามี! สามีคือคนสำคัญของภรรยา แล้วภรรยาก็คือคนสำคัญของสามี

เอลมีร่าหัวเราะ แล้วบอกว่าเคลย์เป็นคนสำคัญของเธอ ไว้เขากลับมาแล้ว ให้แอริธเรียกเขาว่าเคลย์ก็ได้ เขาเป็นคนรักเด็ก จะต้องรักแอริธมากแน่

“แล้วตอนนี้เคลย์อยู่ที่ไหนเหรอคะ?” แอริธถามขึ้นขณะที่ต้องมองลูก

ไม่มีเสียงตอบกลับมา แอริธเงยหน้าขึ้น เห็นเอลมีร่าที่กำลังจะร้องไห้ แต่พอสบตากัน ก็พยายามฝืนยิ้มออกมา

“เขาไปออกรบ ฉันได้รับจดหมายบอกว่าเขากำลังจะกลับบ้าน แต่เขาน่าจะมาถึงตั้งแต่ 6 วันที่แล้ว วันที่ฉันเจอเธอ ก็คือวันที่ 3”

แอริธฟังแล้วก็เข้าใจท่าทางแปลก ๆ ของเอลมีร่าทันที


“คุณไปที่สถานีรถไฟทุกวันเลยเหรอคะ?”

“อือ… ตั้งแต่เช้าจรดเย็น ฉันคงดูเหมือนคนบ้าเลย”

“ไม่เลยค่ะ” แอริธส่ายหัว

เอลมีร่าบอกว่าถึงถามชินระไปก็ไม่มีประโยชน์ ชินระเคยบอกว่าที่อยู่ของกำลังพลนั้นเป็นความลับ

แอริธทวนถามว่าเคลย์เป็นทหารชินระเหรอ?

เอลมีร่าก็ขอโทษที่ไม่ได้บอกตั้งแต่แรก บ้านนี้ก็เกี่ยวพันกับชินระอย่างลึกซึ้ง

แอริธตัวแข็งทื่อทันที

“แต่ไม่ต้องห่วงนะ เคลย์กับฉันไม่มีทางไล่เธอกลับไปหาชินระหรอก แอริธ ถึงชั้นจะไม่เข้าใจสถานการณ์ แต่ฉันไม่มีวันลืมสีหน้าสิ้นหวังของแม่เธอ เราจะไม่ทำอะไรที่เป็นการทรยศเธอเด็ดขาด”


“เคลย์อาสาไปเป็นกำลังพลให้ชินระเองเพื่อหลีกเลี่ยงเสียงวิจารณ์จากสังคมว่าทำไมบ้านเกนส์โบโรถึงได้รับอภิสิทธิ์พิเศษจากชินระ กาเบรียลเองคัดค้านนะ แต่เคลย์ตัดสินใจไปแล้ว และยึดมั่นใจทางเลือกของตัวเอง หลังจากนั้นพวกเขาก็ไม่คุยกันอีก ฉันเลยต้องเป็นสื่อกลางในการสื่อสารระหว่างพวกเขา”

“เคลย์กับกาเบรียล ไม่ค่อยถูกกันเหรอคะ?”

“พวกเขาทะเลาะกันบ่อย แต่ทั้งสองเป็นคนที่นิสัยเหมือนกันน่ะ”

แอริธไม่ค่อยเข้าใจ แต่ก็คิดว่าถึงเคลย์จะเป็นทหารชินระ ก็อาจจะเป็นทหารที่ดีก็ได้

“แอริธ เธอมีเรื่องที่อยากจะเล่าให้ชั้นฟังบ้างรึเปล่า? แบบเรื่องที่รู้ไว้ก็ดีกว่าไม่รู้?”


แอริธตัดสินใจที่จะเล่าความลับของเธอให้เอมีร่าฟังทีละเรื่อง ตั้งแต่เรื่องที่ตัวเองเป็นชาวเซทร่า หรือชนเผ่ายุคโบราณ ความเป็นมาต่าง ๆ ของชาวเซทร่าที่ที่แม่ของเธอเคยเล่าให้ฟัง เรื่องที่ชินระอยากรู้ความลับของชนเผ่ายุคโบราณ แล้วก็มีคนอย่างโฮโจที่พร้อมจะฉีดยาหรือเฉือนเนื้อไปเพื่อทดลอง

“หนูกับแม่ถูกนักวิทยาศาสตร์เพี้ยน ๆ จับตัวไปและกักขังไวในตึกชินระ แม่ถูกนำไปทำการทดลองหลายอย่าง เป็นเหตุผลให้แม่ไม่สบาย”

แอริธในร่างเด็กน้อย วิงวอนว่าขอให้เธอได้อยู่ในบ้านหลังนี้ต่อไป เธออยากอยู่ที่นี่ กับสวนของที่นี่ ถึงต้องทานอาหารกระป๋องของชินระต่อไปก็เถอะ ดังนั้น คุณเอลมีร่าคะ… ได้โปรด

เอลมีร่าอ้าปากกว้างด้วยความเหลือเชื่อกับเรื่องราวที่ได้ยิน จากนั้นเธอก็ยื่นสองแขนออกมา ข้ามโต๊ะอาหารตัวเล็ก แล้วโอบกอดแอริธไว้

“แน่นอน เธอไม่ต้องกลับไปแล้วนะ ฉันสัญญาว่าจะไม่ทำอะไรก็ตามที่เธอไม่ชอบ งั้น เรามาทานอาหารกันต่อนะ”

หลังจากนั้นทั้งสองก็ทานอาหารกันต่อเงียบ ๆ

สักพักเอลมีร่าก็บอกว่าพรุ่งนี้จะมีแขกมาที่บ้านด้วย ปกติแล้วเธอชอบทำอาหาร แต่พออยู่คนเดียวก็ไม่ได้ทำ พรุ่งนี้เป็นโอกาสดีละเพราะจะมีทั้งแขกมา และจะได้ทำอาหารเผื่อแอริธด้วย

แอริธอาสาว่าเธออยากช่วยทำกับข้าวด้วย แต่เอลมีร่าบอกว่ายังเร็วเกินไป ครัวมันอยู่ชั้นหนึ่ง ตอนนี้ก็ยังไม่อยากให้แอริธลงมา ขอให้แอบอยู่ชั้นสองต่อไปก่อน

เอลมีร่าบอกว่าแขกที่จะมาชื่อเมกุโระ จะมาคุยเรื่องธุรกิจของครอบครัว ไว้พรุ่งนี้เธอจะเล่าให้ฟัง


ซีน 11

กลับมาปัจจุบัน แอริธบอกทิฟาว่าตอนนั้นเธอไม่ได้รู้สึกเหงาหรือโหยหาอะไร พอตกกลางคืน ก็ได้เจอแม่ ต่อให้ไม่ได้เจอกัน ก็ยังรู้สึกว่าเชื่อมโยงถึงกันผ่านดวงดาว แล้วในกระเป๋าที่แม่ยื่นให้ก่อนตาย มีมาเทเรียที่เปล่งแสงสีขาวอ่อน ๆ ออกมา มันก็ไม่ได้มีประโยชน์อะไร แต่ตอนพกไว้ ก็รู้สึกอุ่นใจดี

แอริธยื่นมือไปจับมัดผมด้านหลังศีรษะของเธอ มาเทเรียลูกนั้นยังคงอยู่กับเธอตลอดเวลา

“แล้วเธอจะได้ส่งต่อมันให้กับใครกันนะ...” ทิฟาพูดเบา ๆ ขึ้นมา

“ไม่เคยคิดมาก่อนเหมือนกัน”

อาจมีสักวันที่เธอจะไม่ใช่ “สายเลือดชนเผ่าเซร่าคนสุดท้าย” อีกต่อไป เรื่องแบบนั้นเป็นสิ่งที่แอริธก็ไม่เคยคิดจินตนาการมาก่อนเหมือนกัน จากนั้นทิฟาก็ขอให้แอริธเล่าต่อ


ซีน 12

แอริธที่คิดว่าตัวเองต้องแอบอยู่บนชั้นสองไปเรื่อย ๆ ถูกเรียกลงมานั่งงบนโต๊ะชั้นล่างอย่างไม่คาดคิด

เมกุโระ แขกที่มาในวันนี้ ลุกขึ้นจากเก้าอี้แล้วขอเขย่ามือกับแอริธ เขาเป็นผู้ใหญ่รูปร่างท้วม แววตาสดใส ดูแก่กว่าเอลมีร่ามากพอสมควร

“เขาคือเมกุโระ เป็นรองหัวหน้า เป็นมือขวาของกาเบรียล เป็นเพื่อนสมัยเด็กของเคลย์ และเป็นที่ปรึกษาชั้นเซียนของชั้น”

เมกุโระบอกว่าเขาได้ฟังเรื่องของแอริธจากเอลมีร่ามาหมดแล้ว ทำให้แอริธตกใจมาก แล้วหันไปมองเอลมีร่า ราวกับว่าไปบอกเขาได้ยังงัยยยยย

“เมกุโระเขาโอเค ต่อให้ฉันปิดบังเรื่องนี้จากเขา เขาที่เป็นคนรอบรู้และเซนส์ดี ก็จะไปได้ข้อมูลจากที่ไหนมาสักที่แล้วก็รู้ความจริงเอง ชั้นเลยคิดว่างั้นสู้บอกเขาเองตั้งแต่เนิ่น ๆ เลยดีกว่า”

แอริธไม่โอเค และคิดว่าเอลมีร่าน่าจะเก็บเรื่องของเธอเป็นความลับซะอีก แต่เอลมีร่าก็เตือนว่าในสลัมนี้มีแก็งค์ลักพาตัวเด็กผู้หญิงเพื่อเอาไปขาย ยิ่งแอริธเป็นคนที่แอริธต้องการตัว ก็ย่อมมีพวกคนชั่วหิวเงินที่อยากจะรับซื้อจากแก็งค์ลักพาตัวไป

เมกุโระ เข้ามาประเมินแล้วบอกได้ทันทีว่าแอริธมีอายุ 7 ขวบ เขาเองก็มีลูกสาวอายุเท่ากันชื่อโรน่า (Rona) เขาเลยอยากแนะนำว่าเพื่อความปลอดภัย อยากให้ทั้งสองเล่นเป็นแม่ลูกกันนับจากนี้ แอริธไม่ต้องทำตัวหลบ ๆ ซ่อน ๆ แล้ว แต่จงเดินไปไหนมาไหนกับเอลมีร่าอย่างสง่าผ่าเผย ไปแนะนำให้คนอื่น ๆ รู้จัก บอกว่าเป็นลูกที่เกิดก่อนแต่งงานกับเคลย์ แล้วเอาไปฝากญาติเลี้ยง แต่ตอนนี้ตกลงกับเคลย์แล้วว่าจะเอาเด็กคนนี้มาอยู่ด้วย

เอลมีร่าเป็นงง เมกุโระเลยอธิบายว่า ก็ถ้าแอริธใช้ชีวิตอย่างหลบ ๆ ซ่อน ๆ หากวันหนึ่งโดนลักพาตัวไป มันก็จะไม่มีใครสังเกตไง ในทางกลับกัน ถ้าแนะนำให้ทุกคนรู้ว่านี่เป็นลูกสาวเอลมีร่าเอง หากแอริธหายไป คนแถวนี้ก็ย่อมช่วยกันมอง แล้วก็รู้อะไรบ้าง

เอลมีร่าแย้งว่า งั้นบอกว่าเป็นลูกของญาติไปตั้งแต่แรก? หรือเป็นเด็กที่รับมาจากสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า ไม่ดีกว่าเหรอ?

เมกุโระก็อธิบายว่า สถานเลี้ยงเด็กกำพร้าก็อยู่ห่างออกไปไม่ไกล เธอจะไปรับมาเลี้ยงได้ไง มันไม่เมคเซนส์ แต่ถ้าบอกว่าเป็นลูกบุญธรรมที่รับมาจากญาติ อันนี้โอเค ดูเป็นธรรมชาติ… แล้วจากนี้ไป ก็ให้แอริธเรียกเอลมีร่าว่า “หม่าม๊า” แบบที่เขาเรียกกาเบรียลว่า “ป๊า” ด้วย 

เมกุโระหันไปอธิบายแอริธว่าเขาเองก็เป็นเด็กกำพร้า ที่กาเบรียลรับมาเลี้ยงน่ะ จากนี้ไปแอริธก็ต้องใช้ชีวิตในฐานะลูกสาวของเคลย์และเอลมีร่านะ

ฟังดูเป็นความคิดที่ยอดเยี่ยม ปกติแล้วถ้าแอริธไปขอความช่วยเหลือจากใคร เหมือนอย่างตอนเรียกหาหมอที่สถานีรถไฟ มันก็ไม่มีใครช่วย แต่ถ้าทุกคนคิดว่าแอริธเป็นลูกสาวของเอลมีร่า เกนส์โบโร มันก็เป็นอีกเรื่องนึง

เอลมีร่าบอกเมกุระว่าความคิดดี แต่เรื่องนี้ไม่เพียงสำคัญต่อแอริธ แต่มันสำคัญกับความเป็นอยู่ของตระกูลเกนส์โบโรด้วย ดังนั้น เธอตัดสินใจซื้อไอเดียนี้ทันทีไม่ได้ ขอเวลาไปคิดก่อนนน

แล้วเมกุโระ ยังแนะนำว่าเวลาแอริธออกไปข้างนอก ให้เปลี่ยนชื่อเรียกแอริธด้วย ฝากไปให้คิด

แล้วเมกุโระ ก็ถามอีกว่าแผลบนหน้าของเอลมีร่า เป็นฝีมือของคาร์โลใช่มั้ย?... ซึ่งก็ใช่

เมกุโระบอกว่าคาร์โลนี่มันตัวปัญหาเลย ไม่รู้มาเป็นพวกระดับหัวหน้างานได้ไง

เอลมีร่าบอกว่าหลังจากกาเบรีนลเสียแล้ว คาร์โลคงคิดว่าเคลย์คงยอมรับคาร์โลแน่ แล้วเอลมีร่าก็เป็นตัวแทนของเคลย์ คาร์โลคงคิดว่าถ้าคุกคามผู้หญิงตัวคนเดียวแรง ๆ ผู้หญิงคนนี้ก็คงร้องและยอมลงนามให้ง่าย ๆ

เมกุโระฟังแล้วทำหน้าเครียด แล้วถามว่า เคลย์จะรับสืบทอดตำแหน่งของกาเบรียลใช่มั้ย?

“ใช่ คราวนี้เขาลางานกลับมาก่อน ก็เพื่อจะมาคุยกับคุณเรื่องนี้” เอลมีร่าตอบ

“ไม่ ไม่ หมอนั่นมันขอลาเพื่อกลับมาเจอหน้าสุดที่รักต่างหาก เรื่องธุรกิจมันแค่ข้ออ้างเท่านั้น”

แล้วเมกุโระก็หัวเราะลั่น

“เรื่องคาร์โลให้ชั้นจัดการเอง ไว้เคลย์กลับมา เราค่อยมาคุยเรื่ององค์กรทั้งหมดกัน”


ซีน 13

กลับมาปัจจุบัน แอริธบอกทิฟาว่าหลังจากเมกุโระไปแล้ว เอลมีร่าก็อธิบายธุรกิจของตระกูลเกนส์โบโรให้ฟัง 

กาเบรียลเป็นผู้จัดการ ดูแลคนงานทั้งหมดในไซต์ก่อสร้าง ทุกคนเรียกเขาว่า “The Recruiter” (หัวหน้าผู้รับเหมา ซึ่งไปรวบรวมคนงานมาก่อสร้างนั่นแหละ)

กาเบรียลทำงานนี้มาตั้งแต่สมัยก่อสร้างเมืองมิดการ์ ที่จริงก็ยังมีคนอื่นที่ทำงานเหมือนกาเบรียล แต่พวกนั้นย้ายขึ้นไปอาศัยบนเพลทกันหมดแล้ว มีเพียงทีมของกาเบรียลกับลูกน้องที่ยังคงอาศัยอยู่ในสลัม เพราะสลัมค้ำจุนเพลทไว้ แล้วก็ยังมีสิ่งปลูกสร้างมากมายในสลัม เมื่อถึงเวลาที่ต้องซ่อมแซมหรือก่อสร้างเพิ่มเติม ซึ่งต้องใช้คนจำนวนมาก ชินระก็จะติดต่อตระกูลเกนส์โบโรมา

แล้วแอริธก็ยกนิ้ววาดรูปสามเหลี่ยมต่อหน้าทิฟา แล้วชี้ไปที่จุดยอดมุม

กาเบรียลเป็นหัวหน้าใหญ่ลำดับที่ 1, เคลย์กับเมกุโระ เป็นรองหัวหน้า หรือลำดับที่ 2, ส่วนพวกหัวหน้าลำดับที่ 3 นั้นประกอบไปด้วย 6 คน แต่ละคนก็มีลูกน้องของตนเอง เจ้านักเลงคาร์โลนั้น ก็เป็นเหมือนน้องร่วมสาบานของเคลย์


ซีน 14

เอลมีร่าต่างจากอิฟาลน่า ตรงที่เธออธิบายสถานการณ์ให้แอริธฟังด้วยท่าทางจริงจัง โดยเฉพาะเรื่องที่ว่างานของครอบครัวมาจากชินระ สามีเธอเองก็เป็นกองกำลังของชินระ เมื่อเป็นอย่างนั้นแล้ว แอริธยังยอมรับที่จะอยู่ที่นี่รึเปล่า? 

นั่นทำให้แอริธต้องคิดและตัดสินใจอย่างรอบคอบ

เอลมีร่าเสริมว่า ถึงแม้ชินระจะเป็นลูกค้า แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเราจะเทิดทูนพวกเขา เรื่องนั้นไม่ต้องห่วง

แอริธเองก็ไม่สบายใจที่บ้านนี้มีความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับชินระ แต่ถ้าเธอไม่ยอมรับที่จะอยู่ที่นี่ เธอก็ไม่รู้ว่าควรทำยังไง? ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองอยากทำอะไร

แอริธมองมายังเอลมีร่า ก็เห็นว่าเอลมีร่ามีผิวหนังและเส้นผมที่แห้งกว่าแม่ของเธอ เอลมีร่ามีท่าทางเหนื่อย ทั้งยังมีพลาสเตอร์ปิดเผลแปะบนใบหน้าอยู่ โดยแผลก็น่าจะมาจากการถูกคาร์โลทำร้ายมา เอลมีร่ามักจะไปที่สถานีเพื่อรอเคลย์กลับมา ถึงได้มาพบเข้ากับแอริธ ถึงแม้เอลมีร่าจะพบเจอความยากลำบาก แต่เธอก็ยังคำนึงถึงความรู้สึกของแอริธ

เมื่อแอริธคิดได้เช่นนั้น ก็ถามกลับไปว่าหากเธออยู่ที่นี่ จะไม่ทำให้เอลมีร่าลำบากเหรอ?

“ถามอะไรตอนนี้? มันแน่อยู่แล้ว”

ไม่มีความคิดเห็น