จบไปหนึ่งซีซั่น....

ก็จบไปเป็นที่เรียบร้อยแล้วนะครับ สำหรับฤดูกาลแรกของผมใน Winning Eleven 2011 ซึ่งเล่นโหมด Master League ด้วยความยากระดับ Top Player หลังจากที่ทีมของผมสามารถคว้าถ้วย FA Cup และ UEFA Champions League มาครองได้สำเร็จ ก็ปิดท้ายด้วยการพลิกแซงเชลซีขึ้นนำเป็นจ่าฝูงในนัดสุดท้ายของฤดูกาล แล้วก็กลายเป็นแชมป์ Premier League ไปแบบเฮงๆ.... (ตอนแรกตามเชลซี 2 แต้ม แต่นัดสุดท้ายเชลซีดันเสมอกับแมนยูฯ)


ก่อนจะเข้าสู่เรื่องอื่นใด ผมขอออกตัวกันความเข้าใจผิดไว้ก่อนว่าผมไม่ได้เป็นสาวกปืนโตแต่ประการใดครับ ทว่าเหตุที่ผมต้องมาเลือกเล่นทีมพลังเด็ก Arsenal ในครั้งนี้ก็เพราะความตั้งใจที่จะเล่นโหมดนี้ให้ครบ 10 ฤดูกาล ก่อนที่จะเปลี่ยนไปเล่นโหมดอื่นต่อไป ซึ่งการทำทีมให้ได้ถึง 10 ฤดูกาลนั้น ปัญหาใหญ่ที่เคยทำผมหนักอกหนักใจมาแล้วในภาคก่อนก็คือการบริหารเงินในคลัง บ่อยครั้งนักเตะฝีเท้าดีพอโชว์ฟอร์มได้เปล่งปลั่งเข้าหน่อย มันก็ชอบกระจองอแง ร้องจะขอขึ้นค่าแรงแบบบ้าคลั่งท่าเดียว ซึ่งภาคก่อนผมเองก็บ้าจี้ นักเตะมันกล้าเรียกค่าแรงมาเท่าไหร่ ผมก็กล้าถวายจ่ายให้มันทุกบาททุกสตางค์ สุดท้ายสโมสรที่ผมเล่นก็มีอันวอดวาย ต้องล้มละลายเพราะหาเงินมาจ่ายนักเตะกระหายเงินพวกนี้ไม่ไหว

ดังนั้นในการเล่น Winning Eleven 2011 นี้ ผมจึงตั้งใจจะใช้นโยบายแบบคุณป้า เอ้ย...ป๋าเวนเกอร์ ด้วยการกว้านซื้อนักเตะอายุน้อยๆ ไม่เกิน 25 มารวมทีมเยอะๆ แล้วปลุกปั้นจนมีฝีเท้าฉกาจ ก่อนที่จะถีบส่งออกไปในราคาแพงนรกเพื่อทำกำไรให้ทีม ผมเชื่อว่าหากใช้นโยบายนี้ไปเรื่อยๆ สโมสรคงไม่น่ามีอันเป็นไปง่ายๆ แน่

ที่กล่าวมานี้ก็คือเหตุผลที่ทำให้ผมเลือกเล่นทีม Arsenal ซึ่งอุดมไปด้วยเด็กเอ๊าะๆ นั่นเอง...

ตลอดหนึ่งฤดูกาลแรกที่ผ่านมา ผมก็ได้ประสบการณ์ที่ดีในการเล่นมากมาย มันทำให้ผมรู้ว่าทีมที่ผมเชื่อว่าตัวเองรู้จักดีอยู่แล้วอย่าง Arsenal แท้จริงแล้วมันมีอะไรมากกว่าที่ผมคิด อย่างแรก... ผมรู้ซึ้งเลยครับว่าทำไมทีมนี้ถึงขาดหนูเชส ฟาเบรกัสไม่ได้ ผมรู้แล้วว่าอังเดร อาร์ชาวินนั้นเก่งกาจขนาดไหน และก็รู้เช่นกันว่าการมีมานูเอล อัลมูเนียกับลูคัส ฟาเบียงสกี้เป็นนายทวาร มันชวนให้เสียวว้อยยยยยยยยยยยยยยยยย~ เพียงไร...!!!

หลายครั้งที่ทีมผมตกเป็นรอง.. โดนอีกฝ่ายกระทำชำเราจนเกือบแพ้พ่าย เด็กคะนองจากสเปนผู้มีนามว่าเชส จะสร้างปาฏิหาริย์ให้กับทีมของผมได้เสมอ  บ่อยครั้งน้องแกก็วิ่งขึ้นมาโขกทำประตูให้ได้บ้างล่ะ พอได้ฟรีคิกก็ยิงเสียบมุมเข้าไปแบบสุดสวยบ้างล่ะ... ทั้งที่เวลาทีมเราเป็นฝ่ายออกนำไปก่อน น้องเชสของผมจะยิงทิ้งยิงขว้าง หรือไม่ก็หายไปจากเกมไปโดยไม่ทราบสาเหตุ ราวกับโดนมัจจุราชลักพาออกจากเกมไปก็ไม่ปาน

เช่นเดียวกับกัปตันชาวรัสเซียอย่างนายอาร์ชาวินเองที่เปรียบได้ดั่งเพชฌฆาตของทีม ในขณะที่นักเตะทั่วไปไม่สามารถลงเล่น 180 นาทีเต็มภายในสัปดาห์เดียวกันไหว แต่อาร์ชาวินแกสามารถทำได้ และทำได้ดีกว่าคนอื่นๆ เสียด้วย ทั้งลีลากระชากลากเลื้อย ทั้งทักษะการยิงโขกจ่าย... ทุกความสามารถที่เขาแสดงออกมาล้วนทำให้ผมประทับใจ... เป็นอย่างมาก...

ตอนกลางซีซั่นทีม Inter Milan ก็มาตามตื๊อขอซื้ออาร์ชาวินไปจากผม แต่ผมก็เล่นตัวเก็บเอาไว้ไม่ขาย สุดท้ายพอปิดฤดูกาลแรก ทีมยักษ์ใหญ่จากอิตาลีก็ยังคงตามตื๊อดาวซัลโวของทีมผมไม่ลดละ แถมยังทุ่มเงินถวายให้ในราคาระดับเดียวกับค่าตัวของเจ้าหมูฉึกฉึกในทีมผีแดง... ผมเลยตัดสินใจขายอาร์ชาวินออกไป แล้วเอาเงินไปซื้อเป็นนายโปเต้... (ปาโต้) หนุ่มกองหน้าสายพันธุ์แซมบ้าจาก AC Milan มาเสริมคมแทน ซึ่งผมว่านี่เป็นการลงทุนที่คุ้มค่า เรื่องฝีเท้าของปาโต้นั้นจัดอยู่ในขั้นที่ใช้ได้ แต่ที่เหนือไปกว่านั้นคือปาโต้เป็นคนที่สามารถทำให้ทุกคนๆ รวมทั้งผมรู้สึกได้ว่า หนุ่มวัย 21 ปีคนนี้ยังสามารถยกระดับฝีเท้าตัวเองขึ้นไปได้อีกหลายชั้น ผิดกับอาร์ชาวินที่อายุอานามไม่น้อยแล้ว และคงจะเก่งกว่านี้ได้ไม่มากแล้ว ดังนั้นการยอมสละอาร์ชาวินเพื่อเอาเงินไปซื้อโปเต้ เอ้ย.. ปาโต้มาทดแทน ย่อมเป็นการลงทุนที่ดีแล้ว

นอกจากนี้ ก็ยังทีมเรื่องที่ทีมของผมยังประสบความฉิบหายอีกหลายครั้ง เพราะความบัดซบของประตูกากๆ อย่างอัลมูเนียและฟาเบียงสกี้... ที่ชอบทำแจกโชคแจกสกอร์ให้อีกฝ่ายง่ายๆ... ดูไอ้สองคนนี้เล่นทีไร ผมก็เสียววาบๆ ใจคอไม่อยู่กับเนื้อกับตัวทุกที อย่างกับดูหนังผีอยู่ยังไงยังงั้น แม้ว่าในชีวิตจริงตอนนี้ ฟาเบียงสกี้กำลังมือขึ้นอยู่ก็ตาม

หากให้พูดถึงแมตช์ที่ผมประทับใจที่สุดในการเล่นฤดูกาลแรก... ผมนึกถึงแมตช์ที่ลูกทีมของผมปะทะกับราชันย์ชุดขาว Real Madrid ใน UEFA Champions League รอบ 8 ทีมสุดท้าย ซึ่งนัดแรกทีมของผมต้องออกไปเยือนสนามเบอร์นาบิวที่สเปน... ในตอนนั้นลูกทีมของเฮียเครียดทุกคนเล่นได้ดีมากๆ เรียกได้ว่าพับสนามบุกถล่มผมอยู่ฝ่ายเดียว เล่นเอาผมปวดกบาล ต้องปรับมาเล่นสไตล์ตีหัวเข้าบ้าน อุดแล้วหาจังหวะบุกสวนกลับทำประตู

แม้ว่าสกอร์ในเกมนั้นจะจบลงที่ 2-2 ซึ่งผมรอดตายออกมาจากเบอร์นาบิวได้อย่างหวุดหวิด แต่ที่น่าจดจำยิ่งกว่านั้นก็คือ 2 ประตูที่ลูกทีมของเฮียเครียดยิงตุงตะข่ายทีมผมได้นั้น เกิดจากฝีมือของคริสเตียโน่ โรนัลโด้เพียงคนเดียว โดยลูกแรกเกิดหลังจากที่ทีมของผมบุกสวนกลับเร็วจนหาจังหวะยิงเข้ากรอบได้ ทว่าการ์ซิยาสนั้นกลับเซฟได้แถมเขายังรีบเตะเปิดเกมเร็วมาที่ครึ่งสนาม หนูโด้ก็วิ่งมาดูดบอลเข้าฝ่าตีนไปตามถนัด ก่อนที่จะโชว์ลีลาการสับ ลากเลี้อยแหวกกองหลังผมสามคน.... เข้าไปดวลเดี่ยวกับอัลมูเนีย ซึ่งผลลัพธ์คงไม่ต้องบอกนะครับ แค่ตะข่ายไม่ขาดก็นับว่าบุญแล้ว

ส่วนลูกที่สองของเจ๊ตโด้... มันเป็นปาฏิหาริย์ชัดๆ !! เจ๊ตโด้รับบอลที่โอซิลส่งมายังบริเวณมุมกรอบเขตโทษทางซ้าย ตรงจุดหัวมุมพอดี ตอนนั้นในเขตโทษเต็มไปด้วยกองหลังของทีมผมเยอะแยะ เจ๊ตโด้คิดว่ายังไงก็คงฝ่าเข้าไปไม่ได้ เลยตัดสินใจ... ยิงแม่งจากตรงนั้นเลยครับ !! โดยบักโด้ก็เลือกยิงไปที่เสาสองแบบเต็มตีน... ลูกบอลพุ่งแรงมาก แต่ดูทิศทางแล้วมันน่าจะเลยออกนอกเสาสองไป แต่แล้วลูกบอลมันกลับตกลง!! และหักเข้าซ้ายแบบฉับพลัน!! ราวกับฟลายอิ้งไดรฟ์ชูตของซึบาสะก็ไม่ปาน... สุดท้ายลูกบอลก็หักเข้าเสียบมุมประตูไปอย่างสวยงาม อย่างที่ผมได้แต่ยืนอึ้งตาค้าง... และในใจก็กรีดร้องโหยหวนทรมานจนแทบอยากเขวี้ยงจอยทิ้ง...

ไอ้เจ๊ตโดวววววววววววววววววววววววววววววววววววววววว~~~~~!!!!!

แต่หลังจากผ่าน Real Madrid ในรอบ 8 ทีมสุดท้ายไปได้ ผมก็ฝ่าเข้าไปเจอ Barcelona แล้วก็เจอ AC Milan ในรอบชิงตามลำดับ ซึ่งผมก็ชนะรวดและไม่รู้สึกว่าทั้งสองทีมหลังนั้นจะสร้างความระทมกบาลให้ผมได้แต่อย่างใด


สุดท้ายหลังฤดูกาลแรกจบสิ้นลงไป ทุกอย่างก็ต้องมีการเปลี่ยนแปลง เมื่อมีคนติดต่อมาขอซื้อนิคลาส เบนเนอร์กับโรบิน ฟาน เพอร์ซี่ด้วยราคาอย่างงาม ผมก็ขายไปแล้วเอาเงินไปแปรธาตุเป็นเบนเซม่า กับเมาโีร ซาราเต้มาแทน... ส่วนพวกอเล็กซง เดนิลสัน และดิยาบี้ ผมก็ถีบส่งไปอย่างไม่เหลียวแล ก่อนที่จะเอาเงินไปซื้อเป็นมาเร็ค แฮมซิกกับ ลาซซาน่า ดิยาร่าแทน ส่วนตำแหน่งอื่นๆ ก็ตามที่ทุกคนเห็นจากภาพด้านบน

ซึ่งจะเห็นได้ว่านอกจากแบ็คสองข้าง.. น้องเชส และนายประตูจอมเฟอะแล้ว มันแทบไม่เหลือความเป็นปืนโตแล้วเลย (ฮา~) อย่างไรก็ตาม ผมมองว่าความเป็น Arsenal ไม่ได้อยู่ที่ว่านักเตะจะเป็นใคร แต่อยู่ที่แนวทางที่มีความชัดเจน นั่นคือการเล่นเกมรุกลื่นไหลรวดเร็วและสวยงาม ประกอบกับความสดใหม่ของนักเตะอายุน้อย ที่ยังกระหายในความสำเร็จอยู่เสมอ

หลายคนอาจเคยคิดว่า Winning Elven ก็แค่เกมเตะบอลกลับไปกลับมาให้เข้าประตู ไม่มีความหวือหวาหรือสาระอะไร แต่เอาเข้าจริงแล้วเกมนี้ก็ไม่ได้มีแค่สิ่งที่คนทั่วไปเห็นจากภายนอก ความสนุกที่แท้จริงของเกมนี้ไม่ได้มาจากดราม่าที่เกิดขึ้นในสนามอย่างเดียว แต่ยังเกิดขึ้นจากจินตนาการ ความคิดว่าเราจะบริหารจัดการทีมอย่างไรไม่ให้ขาดทุน จะจ้างสตาฟฟ์คนไหนมาเป็นทีมงานสโมสรดี จะซื้อนักเตะคนไหนและให้ค่าเหนื่อยเท่าไหร่ดี ถ้านักเตะไม่ยอมต่อสัญญาแล้วจะทำยังไง ถ้าพวกตัวสำรองมันเกิดงอแงที่ไม่ได้ลงเล่น แล้วก็ฟอร์มตกอย่างต่อเนื่องเราจะทำอย่างไรดี

นี่ขนาดแค่เกมนะครับ ยังทำให้เข้าใจเลยว่าการจะประคับประคองโครงสร้างของสโมสรแห่งหนึ่งให้อยู่รอดได้นั้นเป็นเรื่องยากแค่ไหนและต้องเผชิญกับปัญหาอะไรบ้าง ซึ่งในชีวิตจริงมันก็ต้องยากกว่านั้นขึ้นไปอีกมาก แต่ถ้าหากเราสามารถแก้ปัญหาเหล่านั้นได้ เราก็จะมีความสุขที่สามารถฝ่าฟันอุปสรรคดังกล่าวและพาทีมของเราให้มุ่งหน้าต่อไปได้ ความสุขจากการสู้รบปรบมือกับพวกนักเตะเนี่ยแหละครับ คือความสุขเล็กๆ แต่ยิ่งใหญ่

ที่คุณสามารถหาได้จาก Winning Eleven..!!

ไม่มีความคิดเห็น