บทสัมภาษณ์ฮาจิเมะ ทาบาตะ กับ FF World และ FF Ring

ในวันพฤหัสบดีที่ 30 ตุลาคม 2014 ที่ผ่านมา นอกจากการพรีเซนต์เกม Final Fantasy Type-0 HD และ Final Fantasy XV ของคุณ ฮาจิเมะ ทาบาตะ ที่ปารีสแล้ว ทาง Square Enix สาขาฝรั่งเศส ยังได้เชิญนักข่าวจากเว็บไซต์ FF World และ FF Ring ไปร่วมสัมภาษณ์คุณทาบาตะด้วย ซึ่งเนื้อหาของการสัมภาษณ์สรุปได้ดังนี้


Q : คุณทาบาตะทำแต่เกมสำหรับโทรศัพท์มือถือและเกมสำหรับเครื่องพกพามาตลอด 10 ปี พอมาทำคอนโซลแล้ว มันแตกต่างกันยังไงบ้าง?

A : เกมมือถือนั้นออกแบบมาให้พกพาไปกับตัว และหยิบมาเล่นในเวลาว่าง โดยไม่มีใครจ้องเราเล่นไปด้วย มันทำให้เกิดประสบการณ์ส่วนตัว

แต่เกมคอนโซล เราเล่นในห้องที่มีคน มีครอบครัวรายล้อม จึงต้องทำให้ดูน่าสนใจ ดึงดูดคนที่ดูอยู่รอบ ๆ ข้างได้ด้วย

นอกจากนี้ยังมีเรื่องระยะห่างระหว่างจอกับคนเล่น กรณีเกมมือถือหรือพกพา ระยะห่างระหว่างจอกับคนเล่นจะสั้น แต่สำหรับคอนโซล ระยะห่างมันจะมากกว่า แม้ว่าเกมเพลย์ของเกมจะไม่แตกต่างกัน แต่ระยะห่างจะส่งผลต่อกระบวนการรับรู้ข้อมูลของดวงตา

นี่เป็นครั้งแรกในรอบหลายปีที่ผมได้ทำเกมคอนโซล ผมตระหนักว่าถ้าระยะห่างระหว่างจอกับผู้เล่นมันสั้น ก็จะทำให้คนเล่นรู้สึกอินไปกับเกมได้ง่ายกว่า แต่พอเป็นเกมที่เล่นออกจอทีวี ตาจะเห็นสิ่งที่รายล้อมอยู่รอบทีวีไปด้วย พวกผใเลยต้องหาทางที่จะทำให้คนเล่นอินกับเกมให้ได้มากขึ้น

Q : คิดว่าการสร้าง FF Type-0 บน PSP เป็นความผิดพลาดหรือไม่? และคิดว่าจริง ๆ แล้วมันควรเป็นเกมบนคอนโซลรึเปล่า?

คุณทาบาตะได้ยินคำถามก็หัวเราะก่อน แล้วบอกว่าอาจจะใช่ก็ได้

A ตอนเริ่มพัฒนา FF Type-0 ขึ้นมา ผมไม่ได้คิดเรื่องคอนโซลเลย ตอนนี้มันอาจจะใช่ก็ได้ (พูดรับมุกว่ามันอาจจะเป็นความผิดพลาดก็ได้) ตอนที่เขาเริ่มสร้างเกมนี้ขึ้นมา เขาเพียงต้องการสร้างสิ่งที่มันแตกต่างจากเกม PSP ในสมัยนั้น ก็คือสร้าง FF รูปแบบใหม่บนเครื่องนั้น อีกทั้งตอนนั้นลูกทีมของผมก็ไม่เคยทำเกมบนคอนโซลมาก่อน ดังนั้น จะให้สร้าง FF Type-0 บน PS3 เลยคงยาก เพราะพวกเขามีแต่ประสบการณ์สร้างเกมบน PSP เท่านั้น

Q : พอมาทำ FF Type-0 HD บนเครื่องคอนโซลแล้ว ไม่อยากสร้างความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ลงไปในเกมบ้างเหรอ?

A : ตอนแรก ผมก็อยากเปลี่ยนแปลงทุกอย่างในเกม ซึ่งมันก็เป็นปกติสำหรับคนสร้างเกมอยู่แล้ว ผมเคยนึกอยากทำฉากให้มันกว้างขึ้น จะได้สู้กันในฉากกว้าง ๆ ใส่ระบบกำบังลงไป และเปลี่ยนวิธีการเล่าเรื่องสักหน่อย แต่ผมก็คิดได้ว่าถ้าเขาเปลี่ยนแบบนั้น มันจะกลายเป็นคนละเกมกันไปเลย ผมคิดว่าที่ผ่านมา Type-0 มันเป็นเกมที่ดีมาก ๆ อยู่แล้ว จึงควรจะปล่อยให้มันเป็นอย่างเดิม ดังนั้น เลยตัดสินใจว่าจะเอาไอเดียใหม่ ๆ ที่เคยคิดจะใส่ลง FF Type-0 HD ไปใส่ลงใน FFXV แทน

Q : ตอนนี้กราฟฟิกของ FF Type-0 HD ได้พัฒนาเป็น HD แล้ว ในส่วนของดนตรีล่ะ?

A : พวกเสียงดนตรีทั้งหมดก็ถูกรีมาสเตอร์ด้วยเช่นกัน เพื่อทำให้เสียงที่ออกจากทีวีมันดีกว่าสมัย PSP ทีมงานจึงได้ปรับแต่งเสียงเอฟเฟคท์ เพลงประกอบ เสียงเบสที่สมัย PSP ทำได้ไม่ดีนัก คราวนี้ก็จะดีขึ้นแล้ว ในเมื่อทำลงคอนโซลแล้วมันเปิดโอกาสให้แสดงคุณภาพด้านเสียงได้เต็มที่ พวกเขาเลยทำกันใหม่

Q : ในปี 2011 ทางค่ายได้จดทะเบียนเครื่องหมายการค้าไว้อีกตรึมเลย อย่างเช่น Type-1 เป็นต้น ตอนนั้นทีมงานกะว่าจะสร้างภาคต่อ ๆ ไปอีกจริง ๆ ใช่มั้ย?

คุณทาบาตะหัวเราะก่อน แล้วตอบว่า

A : ก็ยังไม่ได้มีแผนเป็นรูปธรรม แต่ผมก็อยากทำแหละ ใน FF Type-0 พวกผมพยายามจะสร้าง FF รูปแบบใหม่ ทั้งการเล่าเรื่อง และการเล่น ถ้าแฟน ๆ สนุกกับมัน ช่วยกันสนับสนุนให้มันประสบความสำเร็จ เราก็จะสามารถสร้าง Type-1 ด้วยไอเดียใหม่ได้

ผมอยากสร้าง Type-0 ให้เป็นเกม RPG ที่ผู้เล่นจะสัมผัสได้ถึงอารมณ์และความเจ็บของตัวละคร มีการต่อสู้ที่ทำให้ผู้เล่นต้องสั่นเทิ้ม และทำทุกอย่างเพื่อเอาชีวิตรอดให้ได้ ผมไม่คิดว่าจะมี FF ภาคอื่นที่เค้นอารมณ์ได้ขนาดนี้ ถ้าได้ทำภาคต่อบนคอนโซล และทำให้มันเค้นอารมณ์ได้มากขึ้นก็จะดีมาก

Q : FFXV และ FF Type-0 HD ต่างยังเกี่ยวข้องกับตำนาน Fabula Nova Crystallis อยู่มั้ย? ในเมื่อเกมมันถูกสร้างและเกิดความเปลี่ยนแปลงขึ้นมากมายนับแต่ปี 2006 แล้ว?

A : สำหรับ Type-0 ตอนพวกเขาเริ่มสร้างขึ้นมา มันก็ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับตำนานคริสตัลเลย แต่หลังจบช่วง Pre-production พวกเขาถึงได้ไปปรับแต่งเนื้อเรื่องและโลกของเกมให้มันสอดคล้องกับ Fabula Nova Crystallis (สอดคล้องกับที่คุณทาบาตะเคยให้สัมภาษณ์ไว้ว่า เดิมทีเขาแต่งแต่เรื่องประวัติศาสตร์การรบในเกม จนลูกทีมบอกว่ามันไม่เห็นจะเกี่ยวกับ FNC เลย คุณทาบาตะเลยให้ลูกทีมไปช่วยปรับแต่งเนื้อเรื่องให้มันสอดคล้องกับ FNC)

ส่วน FFXV ผมมาเข้าร่วมทีมก็ตอนที่เปลี่ยนชื่อจาก Versus XIII เป็น FFXV แล้ว ในตอนนั้นคอนเซปต์ของจักรวาลมันก็เสร็จสมบูรณ์ และมีเรื่องของเทพนิยายคริสตัลปรากฏอยู่ในนั้นแล้ว แต่พอผมได้ยึดครองโปรเจคท์นี้ (ขึ้นเป็นผู้กำกับ) ผมก็จัดระเบียบมันใหม่ ด้วยการถามลูกทีมว่าตรงไหนบ้างที่มันจำเป็น ตรงไหนบ้างที่ควรตัดออก หรือใส่กลับเข้าไป เพราะผมไม่อยากให้ผู้เล่นต้องงงไปกับศัพท์เฉพาะอันมากมายของ FNC ตั้งแต่เริ่มเกม (คงเพราะ Type-0 ของเฮียโดนสื่อวิจารณ์ว่าศัพท์เฉพาะเยอะเกินไปจนตามไม่ทัน)

และทำให้คนเล่นสนุกไปกับเกมได้แม้จะไม่เคยเล่น FFXIII และ Type-0 มาก่อน ทำให้คนเล่นไม่ต้องไปทำความเข้าใจกับคอนเซปต์อันซับซ้อนมาก่อน นี่คือเหตุผลที่ผมอยากจะถอดองค์ประกอบของตำนานออกไปหน่อย ตัวอย่างเช่น จะไม่มีลูซิใน FFXV นี้ ซึ่งจุดนี้มันต่างไปจาก Type-0 และ FFXIII

Q : FF Type-0 นั้นเป็นเรื่องของสงคราม การชิงชัย การทรยศ คุณสร้างเนื้อเรื่องขึ้นโดยได้แรงบันดาลใจจากผลงานหรือเหตุการณ์ไหนรึเปล่า?

A : อันที่จริงก็ไม่ได้อิงมาจากเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ครั้งไหนเป็นพิเศษ ตัวผมเองเป็นคนชื่นชอบประวัติศาสตร์ ชอบดูหนังสารคดีประวัติศาสตร์ ดังนั้น ต้องบอกว่าผมได้แรงบันดาลใจจากทุกสิ่งทุกอย่างที่เรียนรู้มา และนำมาถ่ายทอดในเกมนี้ จะดีกว่า

Q : พอเทียบกราฟฟิกของเวอร์ชั่น HD กับกราฟฟิกของภาค PSP แล้ว ดูเหมือนสีมันเปลี่ยนไป สีแดงดูจางลง และเหมือนว่าสีน้ำเงินจะเข้มขึ้น อันนี้เป็นความตั้งใจรึเปล่า?

คุณทาบาตะตกใจ แล้วก็บอกว่า

A : นั่นแหละที่ผมต้องการ คือเกมนี้มันเน้นความสมจริง ก็เลยอยากจะสร้างอิมเมจให้มันสมจริงมากขึ้น FFXV เองก็เช่นกัน ตอนที่ผมรีมาสเตอร์ Type-0 ผมก็อยากให้อาร์ทสไตล์ของมันเหมือนกับ FFXV ดังนั้น ก็เลยพยายามปรับเปลี่ยนจากสไตล์แฟนตาซี และพวกสภาพแวดล้อมซึ่งเป็นของแต่งขึ้นต่าง ๆ ให้มันมีโทนสีที่สมจริงยิ่งขึ้น

นอกจากนี้ยังมีเรื่องของขนาดจอและความละเอียดภาพมาเกี่ยวข้องด้วย เทียบกับ PSP แล้ว ทีวีมันสามารถแสดงเฉดสีได้มากกว่า Contrast ของภาพก็เห็นได้ชัดกว่ามาก ตัวเกมที่รีมาสเตอร์ขึ้นใหม่จึงมีเฉดสีหลากหลายยิ่งขึ้น แต่ผมก็ไม่คิดว่าคนเล่นจะสังเกตเห็น ทว่าคุณ (นักข่าว) ก็สังเกตเห็นจนได้! ทั้งที่ลูกทีมบางคนไม่ทันสังเกตเห็นด้วยซ้ำ

Q : แล้วคุณนาโอระ ผู้กำกับศิลป์สังเกตเห็นรึเปล่า?

A : ผมเป็นคนขอให้คุณนาโอระ สร้างความเปลี่ยนแปลงตรงนี้เอง ดังนั้นคุณนาโอระย่อมรู้ แต่คุณนาโอระก็บอกว่าไว้ว่าคงไม่มีใครสังเกตเห็นหรอก ต่อให้เป็นพวกลูกทีมเองก็เถอะ ท่าทางคุณนาโอระจะคิดผิดซะแล้ว ถ้าคุณนาโอระรู้ว่ามีคนที่สังเกตเห็นแล้ว เขาจะต้องดีใจมากแน่ ๆ

Q : ตัวเกมภาคนี้เรียกว่า FF Type-0 HD แต่ภาคมือถือและ PS Vita เรียกว่า Agito ช่วยอธิบายความเปลี่ยนแปลงหน่อยได้มั้ย? กลัวคนเล่นจะสับสนกับชื่อรึเปล่า?

A : เดิมทีแล้วเกมนี้วางแผนที่จะทำให้กับโทรศัพท์มือถือด้วยชื่อ FF Agito (XIII) แต่พอเราตัดสินใจที่จะเปลี่ยนแนวทาง เราต้องการจะแสดงให้เห็นว่าเกมนี้เป็นส่วนหนึ่งของซีรีส์ใหม่ เราเลยตั้งชื่อใหม่ว่า FF Type-0 ทว่าเราก็ชอบชื่อ Agito มาก และมันก็มีความทรงจำอันดีมากมายกับพวกเรา เราเลยตัดสินใจว่าจะหาทางใช้ชื่อนี้ในทางใดทางหนึ่ง ปัจจุบันนี้เลยมีทั้ง FF Type-0 และ FF Agito อยู่ด้วยกัน

แต่เพื่อไม่ให้ผู้เล่นสับสนกับชื่อที่แตกต่าง เมื่อในญี่ปุ่น FF Type-0 ได้ออกมาก่อน ผู้คนก็เริ่มจะจำชื่อมันได้ พอเราทำ FF Agito ออกมาเป็นเนื้อเรื่องคู่ขนาน ผู้คนในญี่ปุ่นก็แยกออก และเข้าใจว่ามันเป็นเนื้อหาตอนใหม่ของซีรีส์ เราคิดว่าจะทำแบบเดียวกันกับฝั่งยุโรป อย่างแรกก็ออก FF Type-0 HD มาให้ผู้คนคุ้นเคย จำชื่อกันได้ก่อน แล้วค่อยส่ง Agito ออกมา คิดว่าผู้เล่นจะแยกแยะได้ไม่ยากหรอก

-----------------------------------------------------------------------------------

แล้วการสัมภาษณ์ที่ยาวกว่าที่กะเก็งไว้ตอนแรกก็มาถึงตอนจบ คุณทาบาตะก็เชิญให้นักข่าวนั่ง แล้วบอกว่าถึงตาเขาที่จะเป็นผู้ถามคำถามแก่นักข่าวบ้างแล้ว

คุณทาบาตะบอกว่า ตอนนี้ถึงตาเขาถามคำถามพวกคุณบ้างแล้ว คุณทาบาตะอยากรู้ว่าแฟน ๆ ชาวฝรั่งเศสคาดหวังอะไรกับ FF ไว้บ้าง? ถ้ามีอะไรอยากจะพูด ก็อย่าได้ลังเล เขาจะตั้งใจรับฟัง

ด้านคุณ Jérémie ก็เอ่ยปากบอกขึ้นก่อนเลยว่าเขามีความเห็นส่วนตัว คือเขาไม่แคร์หรอกว่าจะต้องมีองค์ประกอบซ้ำ ๆ เดิมให้เป็นเอกลักษณ์ทุกภาคไป ไอ้ที่เปลี่ยนแปลงไปเรื่อย ๆ นั้นดีอยู่แล้ว แต่สิ่งสำคัญที่สุด ก็คือคงคุณภาพของภาพเอาไว้ และพยายามที่จะบูรณะ RPG ขึ้นมาใหม่ ที่จริง จะเป็น RPG หรือไม่ มันก็ไม่สำคัญแล้ว ขอแค่ให้เป็นการเดินทางสุดยิ่งใหญ่ก็พอ

ด้านคุณทาบาตะได้ยินแล้วก็ตอบว่า "เรานี่คิดเหมือนกันเลย!"

จากนั้นคุณ Jérémie ก็พูดต่อไปว่า นั่นคือสิ่งที่เขาคาดหวังจาก FFXV เขาคาดหวังถึงการผจญภัยอันยิ่งใหญ่  ไม่ใช่เกมที่ต้องเดินไปตามหลักเกณฑ์ของ Classic RPG ทั้งหมด

คุณทาบาตะบอกว่า พอได้ยินแบบนี้เขาก็ยิ่งมั่นใจว่าเขามาถูกทางแล้ว ขอบคุณมาก

แต่แล้ว Jérémie ก็บอกว่าเขาขอเตือนก่อนว่า ความคิดของเขา อาจจะไม่เหมือนกับคนปกติทั่วไปนะ

คุณทาบาตะก็บอกว่าไม่เป็นไร ยังไงเขาก็เห็นด้วยกับทางคุณ Jérémie จากนั้นคุณทาบาตะก็หันถามความเห็นจากนักข่าวอีกคน

คุณ Bastien ก็บอกว่า เขาเองก็คิดแบบเดียวกันอยู่

คุณทาบาตะได้ยินก็บอกว่าที่จริงแล้ว เขาก็กลัวว่าจะเจอคนพูดว่าต้องการในสิ่งที่เป็นตรงข้ามกับสิ่งที่เขากำลังทำอยู่ออกมา ขืนเป็นแบบนั้นเขาเองก็คงไปไม่เป็นเหมือนกัน (หัวเราะ)

คุณ Bastien พูดเสริมอีกว่าอันที่จริง การรีเมคเกมนั่นไม่ใช่สิ่งสำคัญหรอก แม้ว่าผู้คนมากมายจะพร่ำร้องให้รีเมค FFVII แต่สิ่งที่พวกเขาต้องการจริง ๆ คือการผจญภัยครั้งใหม่ เนื้อเรื่องใหม่ ประสบการณ์ใหม่ นั่นคือสิ่งที่คุณทาบาตะกำลังทำกับเกมของเขาอยู่แล้ว

คุณทาบาตะก็ตอบว่า เมื่อเราสร้างผลงานใหม่ออกมาต่อไปเรื่อย ๆ ผู้คนก็อาจจะค่อย ๆ เข้าใจความหมายของการรีเมคได้เองทีละเล็กละน้อย การรีเมคอย่างเดียวมันไม่ได้น่าสนใจหรอก เราต่างต้องการเกมใหม่ด้วยกันทั้งนั้น

ที่มา : FF Ring

ไม่มีความคิดเห็น