บันทึกการเล่น Bravely Second Chapter 6


โพรวิเดนซ์

"ประเดประดังทุกความเจ็บปวด ทุกความทุกข์ทรมานใส่พวกเจ้า... เพียงเพื่อความสนุกสนาน"

"พวกเจ้าจะยอมศิโรราบให้ความเอาแต่ใจของพวกมันจริงดิ?"


แม็กโนเลีย

"หมายความว่าไงกัน? พวกมันที่ว่าเนี่ยเป็นใคร!?"


อิเดีย

"เรามาสู้อยู่ตรงนี้ ด้วยเจตจำนงค์ของเราเอง"


โพรวิเดนซ์

"ข้าจะช่วยชี้ทางสว่างให้นะ"

"พวกเจ้ากำลังถูกพวกมัน บังคับให้สู้"

"กระทั่งตอนนี้... พวกมันก็กำลังฟังอยู่"

"ข้า... กำลังพูดถึงแกนั่นแหละ" (คนเล่น)

"หากยืนกรานจะสู้ต่อไป ยูวกับสหายก็มีแต่จะยิ่งเจ็บปวด"

"แกอาจจะอาศัยอยู่ในภพนี้ แต่ข้าคือพระเจ้าผู้ปกครองมัน"



พึ่งเล่น Bravely Second จบ หลังจากดองมา 7-8 ปี อันที่จริงก็ถอดใจที่จะเล่นให้จบไปนานแล้ว แต่พอคิดจะขายเครื่องขึ้นมา ก็อยากจะจัดการให้จบ ๆ ก่อน

ในเมื่อจบแล้ว เลยมาเขียนบันทึกการเล่นทิ้งไว้


1. ตอนแรกผมเล่นแบบอ่าน-แปล ทุกตัวอักษรตามปกติ แล้วด้วยจังหวะการดำเนินเรื่องของเกมที่เนิบนาบ น้ำเยอะ และการกำกับไม่ได้หวือหวา ตัวอักษรก็เยอะ พอพยายามอ่านให้หมด ผมเลยปวดประสาทมาก นั่นเป็นเหตุให้ท้อ เล่นเล่นค้างไว้ในปี 2016 ด้วยเวลา 21 ชั่วโมง โดยคาไว้ที่ Chapter 3

แต่พอกลับมาเล่นต่อในปี 2023 ก็ตัดสินใจ เล่นแบบช่างแม่ง ปล่อยวาง แล้ว Skip รัว ๆ ค่อยมาอ่านเอาไอ้ตรงที่เดาว่าน่าจะสำคัญ ก็ทำให้ progress ในการเล่นรวดเร็วขึ้นและจบเกมได้ในชั่วโมงที่ 48

เกมนี้เป็นตัวอย่างที่ทำให้ผมรู้สึกว่า "ไม่ไหวก็อย่าฝืน" เกมไหนที่มีบางอย่างไม่ถูกจริต และดูทรงแล้วถ้าเล่นแบบอ่าน-แปลทุกอย่างไปด้วยไม่ไหวจริง ๆ ก็ควรช่างแม่งเลย ช่างแม่งคือ ถ้าไม่ขายทิ้ง/เลิกเล่น ก็ไม่ต้องอ่านมันก็ได้ ไปเสพเอาความสนุกจากจุดอื่นของเกมเอา

แต่แน่นอนว่า การเล่นแบบ Skip รัวแบบนี้ ก็มีราคาที่ต้องจ่ายสูง นั่นคือเราไม่รู้ว่าเราพลาดข้อมูลสำคัญอะไรไปบ้าง ความทรงจำและข้อมูลเราจะโหว่ไปหมด ต่อให้เก็บข้อมูลสำคัญมาได้ แต่เราไม่ได้อยู่-ไม่ใกล้เคียงที่จะอยู่ในฐานะที่จะไปพูดคุยกับคนที่เล่นแบบตั้งใจอ่านทุกตัวอักษรได้เลย


2. ในมุมตัวละคร ตัวละครในเรื่องไม่ได้มีอะไรแปลกพิสดาร แต่มีจุดนึงที่ทำให้ผมสนใจเป็นพิเศษ คือตัวละคร "แม็กโนเลีย"

แม็กโนเลีย นางเอกของเกม ที่เป็นชาวจันทรา และเธอจะติดการพูดสองภาษา (JP/ENG), (ENG/FR) เพราะเกมต้องการสื่อว่าเธอเป็นคนที่มาจากแดนไกล ทำให้เวลาพูดกับพวกตัวเอกก็จะพูดภาษาหลักของเกม แต่เมื่อเวลาสบถ หรือพูดแบบไม่ทันคิดออกมา แม็กโนเลียก็จะพูดออกมาเป็นอีกภาษานึง นี่เป็นกิมมิคที่ผมชอบมาก


3. ท่าของบอสใหญ่ ที่ฆ่าตัวละครในปาร์ตี้เราทั้งหมด เหลือแต่แม็กโนเลีย HP 1 ไว้คนเดียว และมันเคาต์ดาวน์ 2 เทิร์นเพื่อโจมตี 99,999 หมู่ เป็นมุกที่ผมชอบมาก ๆ โชคดีที่ผมมี Time Mage และอบิลิตี้ Time Slip อยู่ ทำให้ย้อนเวลาได้ 1 ครั้ง เลยรอดมาได้


4. หลังจากเล่น FF Origin กับ FFXVI มา ผมโหยพาพวกเกม RPG แบบเทิร์นเบสแบบมี RPG Element เยอะ ๆ และอาศัย reflex น้อย ๆ จริง ๆ ซึ่งเกมนี้ก็มี RPG Element เต็มเปี่ยม ระบบธาตุ, สเตตัสผิดปกติมากมายรูปแบบ, การบัฟแบบพิสดารเต็มไปหมด, อบิลิตี้ของแต่ละจ็อบ ที่ตั้งเขื่อนไขพลังโจมตีแตกต่างกันออกไปแบบไม่ซ้ำกัน


5. ในอนาคตอยากเล่นเกม AAA ที่มี RPG Element เยอะ ๆ แบบนี้ เป็นแบบเทิร์นเบสแบบนี้ แต่กำกับคัตซีนให้วูบวาบ ระเบิดภูเขาเผากระท่อม ชวนให้ระทึกไปตั้งแต่ต้นจนจบบ้าง ไม่รู้ในอนาคตจะได้ไปเจอเกม AAA แบบนั้นมั้ย


6. จริง ๆ ถ้าตัดเรื่อง Break the Fourth Wall ออกไป ผมว่าประเด็นอื่นในเกมธรรมดามากและเป็นยานอนหลับชั้นดี แต่ประเด็น Break the Fourth ในเกมนำเสนอได้ค่อนข้างน่าสนใจ


7. ในเรื่องประกอบด้วยภพ 3 ภพหลักคือ

Infernal Realm - ภพนรก ที่ อุโรโบรอส บอสภาคแรกอาศัยอยู่, อุโรโบรอส ตั้งใจจะบุกภพสวรรค์เพื่อทำลายความสงบสุข เป็นเหตุผล-แรงจูงใจ ที่งี่เง่ามาก

Mortal Realm - ภพมนุษย์ ของพวกตัวเอก ในเรื่องอธิบายว่ามันเต็มไปด้วยโลกคู่ขนานมากมาย และแต่ละโลกคู่ขนานนั้นเชื่อมโยงกัน สามารถส่งพลังถึงกัน สื่อถึงกันได้ ปรากฏว่าโลกคู่ขนานนั้นคือเซฟเกมของเพื่อนเราแต่ละคน ในตอนจบภาคแรกจึงมีทั้งฉากที่โลกของเพื่อนเราถูกทำลาย และฉากที่ตัวละครจากโลกของเพื่อนเราที่ยังเหลือรอด แห่กันมาช่วยเรา เป็นฉากรวมพลังที่สุดยอดมาก

Celestial Realm - ภพสวรรค์ ในเกมบรรยายว่ามีเพียง 1 เดียว มัน (น่าจะ) เป็นโลกที่พวกเราคนเล่นเกม อาศัยอยู่เนี่ยแหละ, หรือไม่งั้นก็เป็นภพสมมติอีกภพนึง ที่พวกเวก้า อัลแตร์ และเดเน็ป จากมา




8. ตัวละครสำคัญ

โพรวิเดนซ์ - มันอ้างตัวว่าเป็น Ruler of Celestial Realm, แต่อัลแตร์เรียกว่า False God ถ้าคุณเชื่อทฤษฎีว่า Celestial Realm คือโลกจริงของเรา ก็คงต้องตีความว่าโพรวิเดนซ์เป็นแค่โปรแกรม ๆ นึงภายในตลับเกม หรือหน่วยประมวลผลนึง มันไม่ได้เป็น Ruler ของโลกเราจริง ๆ ดังนั้น อัลแตร์เลยเรียกมันว่า False God, โพรวิเดนซ์มาจาก Celestial Realm เพียงเพื่อทำลายโลกลูเซนดาร์กเอาสนุก

มนต์เรียกอสูรในเกม - มีทั้งเครื่องบิน รถไฟผี หุ่นที่มีเฟืองยักษ์เต็มไปหมด ภูตหิมะ ปูยักษ์ที่มีเมืองอยู่บนลำตัว เรือกลจักรไอน้ำ ผีนักรบถือดาบ ภูตแสง..... พิสดารดีมาก และเป็นอารยธรรมที่ไม่สอดคล้องกับในเกมเลย ราวกับมันจะสื่อว่าการ summon นั้น คือ summon ผีในโลกจริงของเราเข้าไป

อัลแตร์ และเวก้า - อัลแตร์เป็นนักวิจัยของ Celestial Realm ไปหลงรักกับเวก้าที่ลานสกีในฤดูหนาว พอฤดูใบไม้ผลิอัลแตร์โดนหัวหน้าไล่ให้ไปประจำที่ศูนย์วิจัยบ้านนอกที่เต็มไปด้วยฝนกรด แล้วมาเจอเวก้าอีกครั้ง เลยได้ทำความรู้จัก ตกหลุมรักกัน แล้วพอฤดูร้อนก็ไปช้อนปลาทอง (ก็อาจตีความได้ว่าอัลแตร์คือคนญี่ปุ่นคนนึง) แล้วต่อมาก็ขอแต่งงาน แล้วชวนกันไปอยู่ในโลกลูเซนดาร์ก (เพื่ออะไรวะะะ) แต่เกิดอุบัติเหตุทำให้อัลแตร์มาถึงได้คนเดียว อัลแตร์พยายามหาทางกลับ Celestial Realm เพื่อจะได้กลับไปเจอเวก้า แต่แล้วอัลแตร์ก็เสียชีวิตในลูเซนดาร์กเพราะโรคร้าย แล้วก็เป็นวิญญาณมาสิง เป็นพลังให้ทิซ (พระเอกของภาคแรก)

เดเน็ป - บอกว่าเป็นเพื่อนของอัลแตร์แลกเวก้า เป็นนักเดินทางที่ไปมาทั่วโลก ทุกดันเจี้ยน... ตอนเล่นภาคแรกเค้าก็เป็นบอสลับ


9. เรือเหาะ

เรือเหาะเกมนี้ เป็นเหมือนโรงแรมที่สร้างในธีมปราสาทญี่ปุ่น มีบ่อน้ำร้อนในตัวด้วย โคตรเก๋


10. เออ เกือบลืมไป ดีใจที่ริงเกอร์เบลกลับมาช่วย จริง ๆ หมอนี่ให้ความรู้สึกเหมือนเป็นทรังซ์อนาคต เพราะเป็นคนจากโลกคู่ขนานใบอื่นที่ผ่านเหตุการณ์ต่าง ๆ มาก่อนแล้ว พอจบภาคแรกริงเกอร์เบลก็กลับโลกของเขาไป ล่าสุดไปเข้า Dimensional Bureau กลายเป็นพวกหน่วยพิทักษ์มิติไป หยั่งกะ Time Patrol ของเซโนทรังซ์ใน Dragon Ball

น่าสนใจที่เขาแต่งให้ ริงเกอร์เบล/ดิม มีชะตากรรมที่รักอิเดียในทุก ๆ โลก, แต่อิเดียนั้นไม่ได้รักดิมในโลกของตัวเอง แต่เธอรักริงเกอร์เบลซึ่งเป็นชื่อเรียกของดิมที่หลงไปยังโลกคู่ขนานอื่น


11. เนื้่อเรื่องตอนท้าย อาเนียสเสร็จกิจจากตำแหน่งพระสันตะปาปา แล้วมาขอใช้นามสกุลของทิซ (ก็คืออาเนียสขอแต่งงานเอง) น่ารักออก, ส่วนยูลก็มาสารภาพรักกับแม็กโนเลียที่กำลังจะกลับดวงจันทร์ แล้วแม็กโนเลียกระซิบบอกชื่อจริง ก่อนจะบอกว่าชาวจันทรานั้น จะบอกชื่อจริงแค่กับคนที่เราจะแต่งงานด้วยเท่านั้น ก็เป็นการรับรัก แบบมีลูกเล่นดี

-------------------------------------------------



ถึงบอสลับตัวสุดท้ายแล้ว ยังเลเวล 85 อยู่

เข้าไปลองเชิงมาทีนึง ตอนแรกร่ายเวทย์ Envy ที่ดีบัฟพารามิเตอร์มันเหลือ 75% ก็พอไปไหว แต่รู้สึกเล่นแบบนี้สู้ยืดเยื้อแน่ เพราะเราบัฟฝั่งเราหนักยังไง น้องหมาของเดเน็ปมันก็ Dispel รัว ๆ ใส่


ปกติผมสู้โดย

1. บัฟตัวเอง 200%

2. บัฟท่าตีทะลุ Def

3. ใส่ธาตุที่ศัตรูแพ้ลงไปในอาวุธ

4. ใช้ท่าโจมตีเงื่อนไขพลังเยอะ ๆ เช่น Double Attack ของไพเรท ที่ดาเมจ x2


แต่วิธีนี้ใช้กับเดเน็ปไม่ได้เลย เพราะหมามันมารับดาเมจแทนหมด แถมพวกเดเน็ปไม่แพ้ธาตุ เราเลยโจมตีเบากว่าเดิม

นี่เลยงงอยู่ว่า ตกลงไฟต์นี้ ไม่เน้นกายโจมตีกายภาพ แต่เน้นเวทย์หรือท่าโจมตีหมู่เหรอ?

-------------------------------------------------

ซัดกับเดเน็ปแบบแมน ๆ อยู่ชั่วโมงนึง

ผมลองใช้วิธีตีหมามันให้ตายก่อน

แล้วร่ายเวทย์ Winter Storm (ทำให้ทั้งสองฝ่ายเติมพลังไม่ได้ ชุบไม่ได้ มีผล 3 เทิร์น)

เดเน็ปมันจะสาละวนกับการชุบหมา แต่ชุบไม่ติด

แล้วค่อย ๆ ตอดทุบเดเน็ปไป โดยผมต้องคอยใช้ Winter Storm ใหม่ เทิร์นเว้นเทิร์น เพื่อความชัวร์

แต่พอผมทำผิดสเต็บ แล้วมันชุบหมาติดเท่านั้นแหละ ความบรรลัยก็บังเกิด

เห็นคนส่วนใหญ่ไปใช้วิธีแปลงเป็น Ghost แล้วยิงเมเทโอเอา

แต่ Kouli ใช้วิธิตั้งบอทเทิร์นเดียวจบ บัฟให้ตี 9999 แล้วฟาด 9999x4  ก็อปกันกลับไปกลับมาในเทิร์นเดียว ซึ่งมันมีอบิลิตั้ที่ผมไม่เคยใช้อยู่ เดี๋ยวว่าจะลองไปศึกษาดู


ระบบนึง ที่ดีงามมาก และอยากให้ถูกเอามาใช้ในเกมต่อ ๆ ไปคือ "เรียกเพื่อนมาช่วย"

อย่างเซฟ Bravely Second ใน 3DS ผมเนี่ย มีเพื่อนอยู่แค่คูน่า กับน้อง ฮลน. (Holinesz) นอกจากนั้นเป็นคนที่เดิน street pass ผ่านตั้งแต่ช่วงปี 2015-2016 ซึ่งไม่ได้รู้จักกัน

ในเกมที่เก่ามากแล้ว ในความทรงจำที่เจือจาง แต่ตลับเกมนั้นกลับหยุดเวลาไว้ที่ปี 2016 ในช่วงที่เรายังพบเจอและพูดคุย

พอได้เปิดขึ้นมาแล้ว ได้พบหลักฐานร่องรอยของความสัมพันธ์ ครั้งหนึ่งเราเคยพูดคุยแลกเปลี่ยนเรื่องซีรีส์นี้ด้วยกัน แล้วเธอได้ฝากตัว Lv.99 ทิ้งไว้ให้ช่วยเหลือผมในยามจำเป็น

.....ระบบนี้ มันมีความหมายทางใจมากเลยนะ

พูดแล้ว มันเหมือนเรื่อง Ghost ใน Mario Kart ที่เด็กคนนึงไม่อยากเอาชนะ Ghost ตัวนั้น เพราะมันคือร่องรอยการมีอยู่ของพ่อเขา🥲

แต่ ฮลน. เค้ายังไม่ตายยย!! 😂

ในตอนที่ผมไปจบเกมวันก่อน (หลังจากดองมา 7 ปี) พอถึงเวลาที่สู้บอสใหญ่ ผมก็คิดว่าถึงเวลาที่เธอต้องออกมาช่วยชั้นละะะะ

แล้วก็ได้ summon เธอออกมา ถึงเห็นว่าเป็นแม็กโนเลียใช้ท่าแบบ Blasting Zone ของสคอลล์ -> https://youtu.be/qB-R-zBo2BM?t=45 (มีอัดคลิปตอนจบไว้)

ไม่รู้จะบรรยายยังไง แต่รู้สึกว่ามันเจ๋งมาก ๆ เลยนะ ไอ้ระบบที่ให้ Ghost ของเพื่อนมาช่วยเนี่ย!! กลายเป็นว่าเขาเอาพลังมิตรภาพในชีวิตจริง มาใส่ลงไปในเกมด้วย

-------------------------------------------------

ชนะเดเน็ปแบบยืนแลกหมัดกันปกติแล้ว

ไป ๆ มา ๆ ก็จับทริคได้ว่า

- ถ้าเราเลเวล 90 กว่าแล้ว เราไม่ต้องดีบัฟลดเกราะ ลดพลังเวทย์ พลังโจทตีมันเลยก็ได้ เรายืนรับดาเมจท่าใหญ่มันจัง ๆ 2 ครั้งติดกันก็ไหว แค่ปางตาย

- แต่เราก็ต้องใส่เกราะที่เน้นเสริม Def ให้หนา ๆ ไว้

- อบิลิตี้ MP regen, MP เด้งเมื่อถูกโจมตี, BP เด้งเมื่อติดสถานะผิดปกติ ช่วยได้มาก


- ผมแบ่งหน้าที่กันโดย

1) แม็กโนเลีย คอยเลียนแบบคนอื่น, เช็คพลัง, ฮีลหมู่

2) ยูว ใช้สกิลจิ้งจอก สวมรอยเป็นทิซ ช่วยบัฟ และถ้าบัฟเต็มแล้วช่วยส่วน BP ให้เพื่อน

3) ทิซ ช่วยบัฟ atk, magic, quickga พอบัฟเต็มก็สาดเมเทโอเรน

4) อิเดีย สวม Ribbon กันตาบอดไว้เลย รอบัฟเต็มแล้ว Pierce Def แล้วฟาดโจมตีรัว

นี่ยืนสู้กันเกือบชั่วโมงกว่าจะจบ แต่ก็รู้แล้วล่ะว่า เราชนะมันได้ด้วยตัวเองจริง ๆ แล้ว

ไม่มีความคิดเห็น