บทแปลตำนาน Fabula Nova Crystallis

 เนื้อหาตำนานในส่วนนี้เป็นสิ่งที่คุณคิตาเสะกล่าวไว้ว่าทีมงานได้ช่วยกันคิดขึ้นเมื่อ 4-5 ปีที่แล้ว จากนั้นพวกเขาก็ได้แจกจ่ายนี้ไปให้ทีมงานต่างๆ ได้ช่วยกันพัฒนาเกมที่มีเนื้อเรื่องต่อยอดมาจากตำนานนี้ขึ้นมา นั่นจึงเกิดขึ้นมาเป็นเกมทั้งหลายแหล่ในโปรเจคท์ Fabula Nova Crystallis

เนื้อหาของตำนานจริงๆ นั้นมีคิดไว้ยาวและละเอียดมาก แต่ล่าสุดนี้ทีมงานได้สรุปย่อแล้วเผยให้ผู้คนได้ชมกันในงาน 1st Production Department Premiere ที่ผ่านมา ซึ่งทางแฟมิซือก็ได้นำเนื้อหาส่วนนั้นมาเรียบเรียงเป็นบทความ ด้านคุณ Lissar เองก็ได้ดูคลิปดังกล่าวแล้วก็แปลเป็นภาษาอังกฤษตามไปด้วย ส่วนผมนั้นจะแปลโดยอิงจากเนื้อหาที่ทางแฟมิซือเรียบเรียงขึ้นเป็นหลัก อาจจะมีบางส่วนที่นำเสนอไม่ตรงกับคุณ Lissar แต่บอกได้ว่าสิ่งที่สื่อออกมานั้นเป็นเรื่องเดียวกัน เพียงแต่คุณ Lissar เค้าจะพยายามแปลให้เข้าใจง่าย แม้ว่าจะต้องดัดแปลงรูปประโยคและความหมายไปบ้างก็ตาม

ขอเชิญรับชมตำนานเดียวกัน ทั้ง 3 เวอร์ชั่น 3 ภาษา ได้แล้ว ณ บัดนี้

ลิงก์คลิปเก่าใน Youtube ซึ่งโดนบล็อกไปแล้ว - https://www.youtube.com/watch?v=7mQT3NGqHrs

ลิงก์ใหม่จาก Nico Nico - https://www.nicovideo.jp/watch/sm13347667


神話 (โดยแฟมิซือ)

世界のすべてを統べる神がいました。名を、ブーニベルゼといいます。

ブーニベルゼは、母なる女神ムインを倒して、世界を手に入れました。
ムインは、目に見えない世界――不可視世界に消えました。

ブーニベルゼは悩み多き神でした。
世界は有限で、すべてが滅びる運命(さだめ)にあるからです。
彼はこれを、不可視世界にいる母ムインの呪いだと考えました。

滅びの呪いを解くために、ブーニベルゼはムインを倒そうと考えました。
母の待つ不可視世界へ辿り着くために、入口を探さねばなりません。

ブーニベルゼは、自らの意志を抽出し、ファルシを創り出しました。
はじめに創られたのは、ファルシ=パルス。
パルスの使命は、世界を切り開き、不可視世界の扉を見つけることでした。

つぎに創られたのは、ファルシ=エトロ。
ブーニベルゼは、誤って、ムインそっくりにエトロを生み出してしまいました。
その姿を恐れたブーニベルゼは、エトロに何の力も与えませんでした。

かわりに創られたのが、ファルシ=リンゼです。
リンゼの使命は様々な脅威から、ブーニベルゼを守ることでした。
ブーニベルゼはリンゼに、時が来たら起こすように命じ、
クリスタルとなって永い眠りにつきました。

パルスは世界を広げるために、ファルシとルシを創り出しました。

リンゼは世界を守るために、ファルシとルシを創り出しました。

けれど、エトロには、何もすることができませんでした。
孤独になったエトロは、自らの姿に似た母のことを思いました。
エトロは、自らを傷つけて血を流し、消えてしまいました。

流れたエトロの血から、人間が生まれました。
人間は、生まれては、死ぬだけの存在でした。

目に見える可視世界の存在が滅びるのは、呪いではなく運命(さだめ)でした。
世界の総和は定められていて、可視と不可視の世界が分け合っています。
その均衡が崩れれば、やがて、世界は崩壊してしまいます。

ブーニベルゼの母ムインには、運命(さだめ)を止める手だてがありませんでした。
彼女は不可視世界の混沌に飲み込まれようとしていたのです。

消えゆくムインのもとへ、エトロがやってきました。
ムインは世界の均衡を保つようエトロに伝え、混沌に飲みこまれました。

エトロは愚かだったので、ムインの言葉の意味がわかりませんでした。

孤独になったエトロは、混沌に飲まれていくだけの人間に親しみを覚え、
人が死にゆく時、微笑み、混沌を贈りました。

人間は、エトロに贈られた混沌を『心』と名づけました。
心は力になるはずでしたが、人はまだそれを知りませんでした。

やがて人は、パルスを全能の支配者、リンゼを守護神、エトロを死神と考え、
心という不可視世界を抱えて暮らすようになりました。
人が混沌を抱えることで、世界の均衡は、かろうじて保たれているのです。

クリスタルとなったブーニベルゼは眠り続けます。
永遠が終わるその時まで――


Myth (โดยคุณ Lissar จาก http://dilly-shilly.blogspot.com)

Once upon a time, a god ruled the world. He was called Buniberzei.

Buniberzei defeated his mother, the goddess Muin, and took control of the world for himself.

Muin disappeared into the unseen world--the invisible world.

Buniberzei was a god with many troubles.

The world, it was certain, was destined to die.

He believed this was a curse laid on the world by his mother Muin. Buniberzei knew he had to destroy her.

To do this, he must search for the door. The door to the invisible world where his mother waited.

Using his will alone, he created the first fal’Cie.

First, he created fal’Cie Pulse.

The duty he laid on him was to open the world, and search for the door to Muin.

Next, he created fal’Cie Etro.

But it was a mistake. Unknowingly, he created her exactly in the image of Muin.

Buniberzei feared her, and gave Etro no power of her own.

Instead, he created fal’Cie Lindzei.

The duty he laid on him was to protect Buniberzei from all who might seek to destroy him.

Buniberzei gave Lindzei one special duty. To wake him once the time came.

Then he turned to crystal, and fell into an endless sleep.

Pulse wished to expand the world, so he created many fal’Cie and l’Cie.

Lindzai wished to protect the world, so he created many fal’Cie and l’Cie.

But Etro was powerless, and could do nothing of her own.

Lonely, she thought of her mother, who she so resembled.

Etro tore at her body, letting her blood flow to the earth, and disappeared from the visible world.

From that blood, torn from her body, sprung humankind.

Creatures that were born, only to die.

The destruction of the visible world was no curse, only fate.

The world was divided into two halves, the visible and the invisible.

If the balance between these two were destroyed, the world itself would be destroyed.

The goddess Muin could do nothing to stop this fate.

She was being swallowed into the chaos of the invisible world.

Just before her last moment, Etro came to her side.

Muin told Etro that she must protect the balance of the world, before slipping into the chaos forever.

But Etro was foolish, and didn’t know the meaning behind Muin’s words.

Etro was lonely, but she felt affection for those humans who live only to die.

As they died, she smiled, and gave them chaos.

The chaos Etro gave them, the humans named “heart”.

Their hearts would become their power, but the humans did not yet know this.

Soon, they called Pulse the all powerful ruler. Lindzei they named their protector, and Etro... Etro the named ‘death’.

The humans lived on the world, hold chaos inside them.

Because they held chaos so close, the world once again was in balance.

And Buniberzei still sleeps. A crystal.

Until the end of forever...


เทพนิยาย (โดย BoN)

โลกทั้งหมดได้ถูกปกครองโดยเทพ ผู้ถูกเรียกขานนามว่า บูนิเบลเซ่

บูนิเบลเซ่นั้น ได้สังหารเทพธิดามูอินผู้เป็นมารดา แล้วเข้ายึดครองโลกเสียเอง
มูอินนั้น ได้หายไปสู่โลกที่ไม่ปรากฏ โลกที่ตามิอาจมองเห็น

บูนิเซ่เป็นเทพผู้ช่างกังวล
โลกนั้นมีขีดจำกัด ทุกสิ่งทุกอย่างจะต้องล้มตายไปตามชะตากรรม อย่างที่มันควรจะเป็น
เขาเชื่อว่านี่คือคำสาปของมูอิน มารดาผู้อยู่ในโลกที่มองไม่เห็น

เพื่อจะคลายคำสาปแห่งหายนะนี้ บูนิเบลเซ่จึงคิดที่จะทำลายมูอิน
เพื่อเข้าสู่โลกที่มองไม่เห็นซึ่งมารดาของเขาคอยอยู่ เขาจำต้องค้นหาประตู

บูนิเบลเซ่ ใช้เจตจำนงค์แบ่งแยกตัวเอง สร้างฟัลซิขึ้นมา
ตนแรกที่ถูกสร้างขึ้นก็คือ ฟัลซิ=พัลส์
หน้าที่ของพัลส์ คือการเปิดโลก และค้นหาประตูสู่โลกที่มองไม่เห็น

ผู้ที่ถูกสร้างต่อมาก็คือ ฟัลซิ=เอโทร
บูนิเบลเซ่ได้ก่อความผิดพลาด เขาได้สร้างเอโทรออกมามีรูปลักษณ์เหมือนกับมูอิน
ด้วยความเกรงกลัวที่บูนิเบลเซ่มีต่อ เอโทรจึงมิได้รับพลังใดมา

ผู้ที่ถูกสร้างมาแทนก็คือ ฟัลซิ=ลินด์เซย์
หน้าที่ของลินด์เซย์ ก็คือการปกป้องบูนิเบลเซ่ จากภยันตรายทั้งปวง
บูนิเบลเซ่ได้ออกคำสั่งกับลินด์เซย์ไว้ว่า ให้ปลุกเขาเมื่อเวลานั้นได้มาถึง
จากนั้นเขาก็กลายเป็นคริสตัล เข้าสู่การหลับใหลชั่วนิรันดร์

พัลส์ปรารถนาที่จะแผ่ไพศาลทั่วโลก เขาจึงสร้างฟัลซิและลูซิขึ้นมามากมาย

ลินด์เซย์ปรารถนาที่จะปกป้องโลก เธอจึงสร้างฟัลซิและลูซิขึ้นมามากมาย

ทว่าเอโทรนั้น ไม่สามารถทำสิ่งใดได้เลย
เอโทรนั่นเปล่าเปลี่ยว เธอนึกถึงแม่ผู้คล้ายกับเธอ
เอโทรได้ทำร้ายตัวเอง หลั่งไหลเลือดเนื้อออกมา แล้วก็หายไป

จากเลือดของเอโทรที่หลั่งไหลออกมา มนุษย์ได้ถือกำเนิดขึ้น
มนุษย์ที่ถือกำเนิดมา เพียงเพื่อการตาย

การดับสูญของโลกที่มองเห็น ไม่ใช่คำสาป หากแต่เป็นชะตากรรม
โลกได้แบ่งออกเป็นสองส่วน โลกที่มองเห็นและโลกที่มองไม่เห็น
หากสมดุลของทั้งสองถูกทำลาย ในท้ายที่สุด โลกก็จะพังทลายลง

มูอินผู้เป็นมารดาของบูนิเบลเซ่ ไม่อาจทำอะไรเพื่อหยุดยั้งชะตากรรมนี้ได้
เธอถูกกลืนกินเข้าไปยังความโกลาหลของโลกที่มองไม่เห็น

แต่แล้วก่อนที่มูอินจะมลายสิ้น เอโทรก็ได้มาถึง
มูอินได้บอกให้เอโทรช่วยปกป้องสมดุลของโลก ก่อนที่ความโกลาหลจะเข้ากลืนกินชั่วนิรันดร์

ทว่าเอโทรนั่นช่างโง่เขลา ไม่เข้าใจความหมายในคำกล่าวของมูอิน

เอโทรนั้นช่างเปล่าเปลี่ยว แต่แล้วเธอกลับรู้สึกเมตตาต่อมนุษย์ที่มีชีวิตอยู่เพื่อความตาย
ในยามที่พวกเขาตาย รอยยิ้มและความโกลาหล คือสิ่งที่เธอมอบให้

มนุษย์ ได้เรียกความความโกลาหลที่เอโทรมอบให้ว่า "หัวใจ"
หัวใจที่จะกลายมาเป็นพลังให้กับพวกเขา โดยที่มนุษย์ไม่เคยได้รู้

ท้ายที่สุดมนุษย์ก็เรียกขานพวกเขาว่า พัลส์ผู้ปกครองแสนอำนาจ ลินด์เซย์ผู้ปกป้อง เอโทรเทพแห่งความตาย
หัวใจจากโลกที่มองไม่เห็น บัดนี้ได้ดำรงอยู่ (ในตัวมนุษย์) แล้ว
เพราะมนุษย์ได้ครอบครองความโกลาหล สมดุลของโลกจึงถูกผดุงเอาไว้

บูนิเบลเซ่ยังคงหลับใหลต่อไปในสภาพคริสตัล
จวบจนจุดสิ้นสุดของห้วงนิรันดร์

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -


จุดสังเกตจากเทพนิยายนี้


1. ปัญหาของศัพท์ที่กำกวม

ก่อนอื่นประเด็นที่สำคัญที่สุดเลย ใครที่เล่น Kingdom Hearts น่าจะทราบปัญหาที่ว่าเกมนี้มันใช้คำว่า 世界 (เซไค) สื่อความหมายรวมกันทั้ง ดวงดาว (World) และ ดินแดน (Realm) ซึ่งนั่นเป็นเรื่องที่ชวนให้คนเล่นสับสนมากว่าตัวเกมมันจะสื่ออะไรของมัน ตอนไหนมันพูดถึงดวงดาว ตอนไหนมันพูดถึงดินแดน ซึ่งในภาคภาษาอังกฤษของ Kingdom Hearts ภาคแรกเวอร์ชั่นผู้แปลก็ยังใช้คำว่า World เหมารวมกันไปในทั้งสองความหมาย ทำให้พวกที่เล่นเกมเจาะเนื้อเรื่องประสาทกินไปตามๆ กัน... แต่แล้วปัญหานี้ก็มาแก้ไขตอน Kingdom Hearts II ที่ผู้แปลได้ใช้คำว่า World กับ Realm แยกออกจากกันแล้ว

สิ่งที่ผมอยากจะสื่อคือ ผมสังหรณ์ว่าไอ้เทพนิยายอันนี้ก็ใช้ศัพท์ได้คลุมเครือไม่แพ้กัน ถ้าสังหรณ์ของผมถูกต้อง คำว่าโลกที่มองเห็นและโลกที่มองเห็น ที่จริงควรจะเป็นคำว่า Visible Realm และ Invisible Realm ซะมากกว่า โดยในแต่ละ Realm นั้นก็จะประกอบไปด้วย World อีกมากมาย ซึ่งหากตีความแบบนี้แล้วทุกอย่างจะลงตัวกันพอดี แล้วเราจะตีความประโยคต่อไปได้ง่ายขึ้น


2. ตีความศัพท์

- ที่บอกว่าโลกทั้งหมดถูกปกครองโดยบูนิเบลเซ่ ไม่ได้หมายถึงโลกที่มองเห็นและโลกที่มองไม่เห็น แต่หมายถึงโลกทั้งหมดใน Visible Realm

- บูนิเบลเซ่มอบหน้าที่ให้พัลส์เปิดโลก นั่นหมายถึงการเดินทางไปยังดวงดาวต่างๆ เพื่อสำรวจ ค้นหา สร้างอารยธรรมขึ้นมา หากตีความแบบนี้จะสอดคล้องกับการกระัทำของพัลส์ใน FFXIII

- ประโยคที่ว่าพัลส์ปรารถนาที่จะแผ่ไพศาลไปทั่วโลก หมายถึงต้องการเดินทางไปทั่ว Visible Realm เพื่อค้นหาประตู หากตีความแบบนี้ก็จะสอดคล้องกับที่พัลส์ได้มาสร้างอารยธรรมบนโลก FFXIII แล้วก็ออกเดินทางต่อไปได้ ที่พัลส์ทำแบบนี้ก็เพราะคำสั่งที่ได้รับจากบูนิเบลเซ่

- ที่บอกว่าเมื่อสมดุลของโลกถูกทำลาย โลกก็จะพังทลายลง หมายถึงสมดุลระหว่าง Visible Realm และ Invisible Realm ซึ่งหากพังทลายลง Realm ทั้งหมดจะหายไปแล้วทุกอย่างจะกลับสู่ความว่างเปล่า


3. ส่วนที่สอดคล้องกับภาคอื่น

- FF Versus XIII เรียกเอโทรว่าเป็นเทพแห่งความตาย

- FFXIII ระบุในกลอนว่าเทพธิดาเอโทรอยู่ที่อีกฟากหนึ่งของประตู ในสถานที่ๆ มองไม่เห็น

- FFXIII บอกว่าวิญญาณของคนตายจะล่องลอยผ่านประตูไปอีกฟากนึง เหมือนกับเอโทรและมูอินในเทพนิยายนี้


4. เคออส=ความโกลาหล=หัวใจ?

หัวใจนั้นเป็นที่อาศัยของความรู้สึกมากมาย ที่แออัดปะปนกันอย่างไร้ระเบียบ พร้อมจะปะทุเป็นต้นกำเนิดของทุกสิ่ง หากจะเปรียบมันเป็นความโกลาหล ผมว่ามันก็เมคเซนส์ชัดเจน


5. ตกลงลินด์เซย์มันเป็นตัวดีหรือตัวร้าย...?

จะไปรู้ได้ไงล่ะโว้ย... ในเทพนิยายยังเขียนอยู่ว่าเป็นเทพแห่งการปกป้อง แต่ใน FFXIII ดันกลายเป็นนางมารจอมทำลายล้าง มากด้วยเล่ห์กลไปแล้ว... บางทีบูนิเบลเซ่มันอาจจะไม่รู้ก็ได้ว่ามันสร้างลินด์เซย์มาพลาดเหมือนกัน หรือถ้าไม่งั้นวันหนึ่งลินด์เซย์เธอคงล้มหัวฟาดพื้นระหว่างกำลังอาบน้ำอยู่ก็เป็นได้

หรือคิดอีกนัยหนึ่ง การกระทำของลินด์เซย์ อาจเป็นการรักษาสมดุลของทั้งสอง Realm ไว้ก็ได้ พัลส์มีหน้าที่สำรวจสร้างหาประตู ลินด์เซย์ก็ตามไปก่อเรื่อง พัลส์ทำให้มีชีวิตเกิดขึ้น แต่หากมีชีวิตเกิดมากไปสมดุลอาจพังลง ลินด์เซย์เลยต้องตามไปก่อเรื่อง ปริมาณของดวงวิญญาณที่อยู่ใน Realm ทั้งสองมันจะได้สมดุลกัน


6. อะไรคือเมื่อเวลานั้นได้มาถึง..?

ปัดโธ่! ก็เวลาที่พัลส์หาประตูเจอแล้วน่ะสิ! ที่ฟัลซิในแกรนพัลส์มันพยายามตามหาอะไรบางอย่าง สรุปแล้วพวกมันก็ช่วยพัลส์ตามหาประตู หรือวิธีในการเปิดประตูนั่นแหละ


7. อ่าว..!? แบบนี้แปลว่า The Maker ก็คือ...

จนป่านนี้แล้วพึ่งจะคิดได้หรอค้าบบบ!!! พวกเราโดนต้มเปื่อยกันมาโดยตลอดแล้ว แท้จริงแล้ว The Maker ไม่ใช่พัลส์อย่างที่คาดคิดกัน เพราะพัลส์เองมันก็มีสภาพเป็นฟัลซิตนหนึ่งเท่านั้น ดังนั้นตอนนี้ตัวตนที่แท้จริงของ The Maker จึงคิดได้สองอย่างคือ

- The Maker=บูนิเบลเซ่ : จากที่ FFXIII บอกว่า The Maker เป็นผู้สร้างฟัลซิขึ้นมา ในเมื่อเทพนิยายบอกว่าบูนิเบลเซ่เป็นคนสร้างฟัลซิ 3 ตนเแรกขึ้น จึงหมายความว่าบูนิเบลเซ่คือ The Maker

- The Maker=มูอิน : จากที่ Barthandelus ต้องการบึ้มโคคูน เพื่อให้วิญญาณมนุษย์ล่องลอยไปอยู่อีกฟากหนึ่งของประตู ให้ประตูมันเปิดอ้าออก แล้ว The Maker ที่อยู่อีกฟากของประตูจะได้ตกใจพร้อมบินกลับมาดูว่าเกิดอะไรขึ้นกับโลกทางนี้ ในเมื่อคนที่อยู่อีกฝากนึงของประตูคือมูอิน ดังนั้นก็คิดได้ว่า Barthandelus เชื่อว่ามูอินยังคงมีชีวิตอยู่ที่อีกฝากหนึ่งของประตู ก็เลยอยากให้มูอินซึ่งเป็นผู้สร้างที่แท้จริงซึ่งอยู่เหนือลินด์เซย์ อยู่เหนือบูนิเบลเซ่ขึ้นไปอีกที กลับมาช่วยชะล้างโลกทางนี้หน่อย

หากใครถามอีกว่าแล้ว Barthandelus มันจะรู้เรื่องของมูอินได้ไง ก็ตอบง่ายๆ ว่ารู้จากลินด์เซย์น่ะสิ

ในตอนนี้ผมคิดว่า... ผมเชื่อสมมติฐานอันหลังมากกว่า เหตุผลเพราะมูอิน อยู่ในตำแหน่งที่ควรถูกเรียกว่าเป็น The Maker ที่แท้จริงมากกว่าบูนิเบลเซ่ เท่านี้ตรงๆ เลย


Update!

ประเด็นนี้เต้ซังได้ตั้งสมมติฐานอีกแบบว่า

- The Maker=มูอิน,บูนิเบลเซ่ : The Maker อาจเป็นเพียงชื่อของเผ่าพันธุ์สูงสุด หรืออาจเป็นเพียงชื่อหัวโขนของผู้มีอำนาจสูงสุดในเอกภพ จึงมีความหมายครอบคลุมทั้งมูอินและบูนิเบลเซ่ หากคิดแบบนี้เรื่องที่กลอนเขียนว่า The Maker เป็นผู้สร้างฟัลซิก็จะลงตัวว่า The Maker ในที่นี้หมายถึงบูนิเบลเซ่ ส่วน The Maker ที่ Barthandelus พูดก็หมายถึงมูอินที่อยู่หลังประตู


8. แล้วภาค Versus XII, XIII-2, Type-0 มันจะเกี่ยวกับตำนานนี้ยังไง?

Versus XIII คงเป็นเพียงอีกดาวหนึ่งที่พัลส์และลินด์เซย์เคยไปแวะเวียนแล้วก่อวีรกรรมสร้างลูซิเอาไว้ หากยังจำกันได้ บางคนคงเคยเห็นภาพกระดานที่ทีมงานใช้เขียนข้อมูลลงไปตอนอธิบายคอนเซปต์เนื้อเรื่องให้แก่กัน ในกระดานนั้นมันก็เขียนอะไรไม่รู้ฟัลซิ ลูซิ....

XIII-2 ผมว่าเจ๊แกคงได้ไปตามหาหนทางในการช่วงแฟงก์กับวานิลที่ดาวอื่นแล้วแหละ

Type-0 ก็เป็นแค่ดาวหนึ่งที่พัลส์และลินด์เซย์เคยไปเยี่ยม


9. แล้วเทพนิยายนี้มันจะมีภาคจบมั้ย?

ถ้าจะมีภาคจบ... บอสใหญ่ต้องชื่อบูนิเบลเซ่... ตัวเอกต้องช่วยเอโทรกับมูอินได้ ซึ่งผมว่ายากกกกกกกส์

ตำนานนี้คงถูกใช้สร้างภาคใหม่ไปเรื่อยๆ อารมณ์เดียวกับโดราเอมอน และมันไม่มีวันจบ คงไม่มีภาคไหนเลยในซีรียส์ที่เราจะได้เผชิญหน้ากับพัลส์ ลินด์เซย์ เอโทร บูนิเบลเซ่ และมูอิน... ผมเชื่อแบบนั้น


- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -


ทั้งหลายทั้งปวงนี้ ต้องขอบคุณ คุณ Lissar ที่ช่วยให้ผมแปลง่ายขึ้นเยอะเลย ขอบคุณมากๆ นะค้าบ

ที่มา : Lissar

ไม่มีความคิดเห็น