รวมเรื่องน่าสนใจ Life is Strange



1. พลังของแมกซ์และปรากฏการณ์เหนือธรรมชาติ เกิดได้อย่างไร?

แม้ในเกม Life is Strange จะไม่ได้มีการอธิบายสาเหตุของปรากฏการณ์เหนือธรรมชาติ และที่มาของพลังของแมกซ์ไว้ให้เป็นที่กระจ่างชัด แต่ผมได้ลองทบทวนเหตุการณ์ต่าง ๆ และพิจารณาดูแล้ว จนเกิดทฤษฎีบางอย่างที่น่าจะอธิบายเรื่องเหล่านี้ได้ขึ้นมา

ทฤษฎีที่ผมอยากจะนำมาใช้ในการอธิบายเรื่องทั้งหมดนี้ คือ Time Distortion หรือการบิดผันของกาลเวลา ซึ่งเป็นทฤษฎีที่มีการนำมาประยุกต์ใช้และอธิบายเหตุและผลไว้ค่อนข้างละเอียดใน Final Fantasy XIII-2 แล้ว

ก่อนจะอธิบายสภาพของ Time Distortion อยากให้นึกภาพกันก่อนว่า Timeline ในสภาพปกตินั้น ก็คือเส้นตรงที่มุ่งหน้าไปในทิศทางหนึ่งไปเรื่อย ๆ

ทว่า Time Distortion คือการที่เส้น Timeline มันบิดผัน คดเคี้ยว จนอาจกลับมาตัดผ่านหรือทับซ้อนกับ Time-space เดิม

ณ จุดที่เส้น Timeline วิ่งตัดผ่านหรือทับซ้อนกัน อยากให้ลองจินตนาการดูว่า Time-space ณ จุดนั้นจะเป็นอย่างไร

สำหรับใน FFXIII-2 จุดที่ Time-space เชื่อมต่อกันแบบนั้น ก็จะกลายเป็นจุดวาร์ปให้สสารข้ามไปยัง Time-space อีกช่วงหนึ่งได้ ทำให้เราสามารถกระโดดข้ามไปยัง Time-space อีกช่วงหนึ่ง หรือทำให้วัตถุหลงข้าม Time-space มาโดยบังเอิญได้ (ในเกมก็เต็มไปด้วยเควสต์ที่เกี่ยวข้องกับสิ่งของหรือคนที่หลงข้ามกาลเวลาด้วยกระบวนการนี้ หุ่นยนต์ยักษ์แอตลัสจากอนาคตที่หลงไปในอดีตก็เช่นกัน) หนำซ้ำ เรายังอาจเห็นภาพซ้อนของสิ่งที่อยู่ในคนละ Time-space แต่ Timeline ดันบังเอิญมาตัดกันพอดีก็ได้

จากหลักการของ Time Distortion นี้ ทำให้ผมเชื่อว่าปรากฏการณ์ประหลาด ทั้งหิมะตกผิดเวลาโดยไม่มีใครรู้มาก่อน การเกิดสุริยุปราคา การที่สัตว์ล้มตาย การเกิดดวงจันทร์สองดวง หรือการเกิดพายุครั้งใหญ่ มันไม่ใช่เรื่องที่อธิบายไม่ได้ มันไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้บนโลก

เรื่องทั้งหมดมันเป็นไปได้ เพียงแต่มันควรจะเกิดในช่วงเวลาและสถานที่อื่น ไม่ใช่เกิดขึ้นใน Arcadia Bay ในเดือนตุลาคมนั้น ๆ

สิ่งที่ผมจะสื่อคือ ในเดือนตุลาคม 2013 ซึ่งเกิดเหตุการณ์ประหลาดมากมายขึ้นใน Arcadia Bay เป็นเพราะเส้น Timeline หลังจากเดือนนั้นได้บิดเบี้ยว และตีโค้งวกกลับมาตัดผ่านช่วงเวลาเหล่านั้นอย่างต่อเนื่อง

ทำให้หิมะ ที่ควรจะตกใน Time-space อื่น ได้มาตกให้เห็นกันในเมืองนั้น วันนั้น

ทำให้สุริยุปราคา ที่ควรเกิดขึ้นใน Time-space อื่น ปรากฏขึ้นในวันเมืองนั้น วันนั้น (หรืออาจมองว่าเป็นดวงจันทร์จาก Time-space อื่นที่ซ้อนกัน มาปรากฏขึ้นบังดวงอาทิตย์พอดี)

เรื่องสัตว์ล้มตาย ก็กรณีเดียวกัน คือมาจาก Time-space อื่น

ส่วนดวงจันทร์อีกดวง มันคือดวงจันทร์ที่เราควรจะเห็นกันในวันเวลาสถานที่อื่น มาทับซ้อนกับวันนั้นใน Arcadia Bay พอดี

สำหรับพายุ มันก็เป็นแค่พายุจาก Time-space อื่นอีกเช่นกัน

คำถามถัดมาคือ เหตุการณ์ทั้งหมดมันเกิดขึ้นได้อย่างไร? มันส่งผลต่อเนื่องกันอย่างไร?


ในประเด็นนี้ผมค่อนข้างเชื่อว่า ณ วันที่ 7 ตุลาคมนั้น ได้เกิดเหตุบังเอิญซึ่งทำให้ Timeline ของโลกนี้ได้เกิดการบิดผันขึ้นมาก่อน (ผมหาแนวคิดดี ๆ ที่จะอธิบายสาเหตุของการเริ่มบิดผันไม่ได้น่ะนะ) ซึ่งหากปล่อยไว้เฉย ๆ เส้น Timeline มันก็จะคลายตัวและยืดกลับเป็นเส้นตรงตามปกติเอง

การบิดผันนั้น ทำให้ Time-space วันที่ 7 ตุลาคม 2013 ตำแหน่งห้องเรียนของแมกซ์ ไปทับซ้อนกับวันที่ 13 ตุลาคม 2013 ตำแหน่งใกล้ประภาคาร ซึ่งจุดที่ Timeline ทับซ้อนกันนั้น บังเอิญว่ามีแมกซ์อยู่พอดี
ส่งผลให้แมกซ์จาก Time-space แรก หลงเข้าไปอยู่ใน Time-space หลัง ก่อนจะหลงกลับมายังยุคเดิมของตนเอง

การที่แมกซ์หลง Time-space ไปนั้น ทำให้เธอได้คุณสมบัติที่จะใช้พลังพิเศษมา แต่พลังนั้นยังไม่ Activate (และหากปล่อยไว้นาน ๆ จน Timeline กลับสภาพเดิม ก็จะ Activate ไม่ได้)

ซึ่งหลังจากนั้น พอแมกซ์ออกจากห้องเรียนจนเข้าไปยังห้องน้ำ แล้วเกิดเหตุการณ์ที่จะยิงกันขึ้น ทีมงานได้บอกว่าตอนนั้นอะดรีนาลีนในตัวของแมกซ์พุ่ง และเป็นจุดเริ่มต้นของการใช้พลังครั้งแรก กล่าวคือเป็นการ Activate พลังขึ้นมา

ทว่าการใช้พลังของแมกซ์นั้นส่งผลลบต่อ Timeline แทนที่มันจะคลายตัวกลับสู่สภาพปกติตามธรรมชาติ พลังของแมกซ์กลับส่งผลในการทำให้ Timeline บิดผัน และแมกซ์ก็ Time Travel ตามกาลเวลาที่บิดผันนั้น กลับไปยังอดีตได้

ยิ่งแมกซ์ใช้พลังบ่อยครั้ง กาลเวลาก็ยิ่งบิดผัน พันมั่วซั่วไปเรื่อย ๆ เส้น Timeline ก็ตัดและทับซ้อนกันมั่วไปหมด ทำให้สิ่งที่ควรจะอยู่ใน Time-space นึง ก็หลงไปอยู่ในอีก Time-space นึง

อนาคตที่ Arcadia Bay โดนพายุถล่มใส่ไม่เหลือซาก จึงเป็นอนาคตเดียวที่พึงเกิดขึ้นจากการที่แมกซ์ได้พลังนั้นมาใช้แล้ว

การที่ Timelime บิดผันในวันนั้น > แมกซ์หลงข้ามเวลาไปเห็นอนาคตที่พินาศจนได้คุณสมบัติที่จะใช้พลัง > แมกซ์ใช้พลัง > ผลจากการใช้พลังทำให้ Timeline บิดผันจนเกิดอนาคตที่พินาศ

ผมอยากบอกว่าเหตุการณ์ทั้งหมดมันถูกเซ็ตขึ้นพร้อมกัน ราวกับชะตากรรมที่เป็นได้เพียงหนึ่งเดียว

ทว่าหากในห้องน้ำวันนั้น แมกซ์ยอมรับในสิ่งที่เกิดขึ้น อะดรีนาลีนในตัวไม่หลั่ง ไม่ Activate พลังออกมา.... Timeline ก็จะไม่บิดผัน ไม่เกิด Time Distortion สุดท้ายมันก็จะคลายตัวเป็นปกติ เมื่อไม่บิดผัน พายุจาก Time-space อื่นก็จะไม่ปรากฏขึ้นที่ Arcadia Bay แล้วเมื่อ Timeline กลับเป็นปกติ แมกซ์ก็จะสูญเสียคุณสมบัติที่จะ Activate พลังไป

อันที่จริง แมกซ์ควรจะตั้งสติ และพยายามช่วยเพื่อนให้ได้ด้วยกำลังของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นการตะโกนห้าม หรือทำอะไรก็แล้วแต่... น่าเสียดายที่แมกซ์ในวันนั้นยังเป็นเพียงเด็กสาวไม่ประสีประสา และเกมก็ไม่มีทางเลือกอื่นให้เรามากนัก

2. เปรียบเทียบระหว่างพลังของแมกซ์และเซอานอร์ท


การได้เล่น Life is Strange ได้เห็นโลกจากมุมมองของนางเอกผู้สันโดษ ทำให้ผมนึกถึงตัวละครหนึ่งในซีรีส์ Kingdom Hearts ขึ้นมา

ยิ่งเมื่อได้เห็นพลังของแมกซ์ ผมยิ่งพบว่าทั้งนิสัยและพลังของเขาคนนั้น มีความคล้ายคลึงกันมาก

ผมกำลังพูดถึงเซอานอร์ท วายร้ายผมหงอกของซีรีส์ Kingdom Hearts

เอ่ยถึงแมกซ์ก่อน เธอเป็นคนที่ค่อนข้างสันโดษ เก็บตัว เธอเอ่ยปากบอกเองว่าเธอชอบสังเกตความเป็นไปของโลกอยู่ห่าง ๆ เว้นระยะห่างจากสิ่งต่าง ๆ ออกมา จับตาดูมัน และบันทึกภาพเหล่านั้นเก็บไว้
ในสายตาของเพื่อน แมกซ์ดูเป็นคนที่ไม่ค่อยมีมนุษย์สัมพันธ์ และดูไม่แยแสใส่ใจเพื่อนเท่าไหร่ นั่นเป็นเพราะแมกซ์ไม่ค่อยจะเข้าหาผู้อื่น ทำให้คนอื่นเข้าใจเธอแบบนั้น
ทว่าแท้จริงแล้ว ถึงแมกซ์จะไม่เอ่ยปากหรือเข้าหาใครง่าย ๆ แต่เธอก็สังเกตความเป็นไปของทุกคนอยู่เสมอ

หากว่ากันตามหลักนพลักษณ์หรือ Eneagram แล้ว บุคลิกของแมกซ์ ก็จัดอยู่ในคนประเภท 5 คนช่างสังเกต (Observer/Investigator)

ตัวเซอานอร์ทเอง ก็เป็นคนประเภทเดียวกัน คือพวกสันโดษ อยู่อย่างวิเวกคนเดียว ไม่เปิดใจให้ใคร ใฝ่หาความรู้ในศาสตร์ที่ลุ่มหลง จับตาดูความเป็นไปของจักรวาลอย่างเงียบงัน

ขนาดเซอานอร์ทจะสร้างกองทัพขึ้นมา ยังสร้างกองทัพจากร่างแยกของตัวเอง.... แสดงถึงความไม่ไว้ใจใคร และไม่ต้องการพึ่งพาใครอย่างเต็มที่

ทีนี้มาถึงการเปรียบเทียบพลังของแมกซ์และเซอานอร์ท

ทั้ง 2 คนมีพลังที่คล้าย ๆ กัน 2 อย่างคือ

1. Temporal Rewind (ย้อนเวลาชั่วขณะ) หมายถึงการทำให้ Time-space ของสิ่งต่าง ๆ รอบตัวย้อนกลับไปยังตำแหน่งที่เคยอยู่ในอดีต โดยอาจจะย้อนถอยไปได้ไม่กี่วินาที ไม่กี่นาที ไม่กี่วัน ฯลฯ แล้วแต่ความสามารถของผู้ใช้พลังแต่ละคน โดยระหว่างที่ใช้พลังนี้ ผู้ใช้พลังก็จะเห็นสิ่งต่าง ๆ รอบตัวเคลื่อนที่ย้อนกลับไปต่อหน้าต่อตา และเมื่อย้อนเสร็จแล้ว กาลเวลาก็จะเดินต่อไปยังอนาคตตามปกติของมัน

นี่เป็นพลังพื้นฐานที่แมกซ์ใช้ประจำในเกม เธอมักใช้เพื่อแก้ไขเหตุด่วนเหตุร้าย ช่วยเหลือตัวเองและพวกพ้องจากอันตราย และย้อนกลับไปแก้ไขการตัดสินใจที่เธอเห็นว่าบกพร่อง โดยเมื่อเธอใช้พลังนี้ ตัวเธอจะไม่ได้รับผลด้าน Time-space ไปด้วย เธอจะอยู่กับที่ และดูสิ่งรอบตัวเคลื่อนที่ย้อนกลับไปเท่านั้น

ส่วนเซอานอร์ท เราเห็นเขาใช้พลังนี้ในฉากต่อสู้ ตอนพะบู๊ในฐานะพี่โม่งของ Kingdom Hearts -Birth by Sleep- (เฉพาะเวอร์ชั่นอเมริกาและ Final Mix) และตอนสู้ในฐานะบอสรองสุดท้ายของ Kingdom Hearts 3D (ร่างนั้นเป็นเซอานอร์ทตอนแก่ที่ย้ายจิตมาสิงร่างเซอานอร์ทตอนหนุ่ม)

เวลาที่เราฟาดฟันคีย์เบลดใส่เซอานอร์ท พอเขาใช้พลังนี้ ท่าทางการเคลื่อนไหวของเราก็จะย้อนกลับไปก่อนที่จะฟันโดน ส่วนพลังกายที่เซอานอร์ทเสียไปแล้วก็จะฟื้นกลับมา

หมายความว่าร่างกายของเซอานอร์ท ได้รับผลด้าน Time-space จากการใช้พลัง Temporal Rewind ไปด้วย ต่างจากแมกซ์ที่ไม่ได้รับผลด้าน Time-space จากพลังนี้

(โปรดดูตัวอย่างการใช้พลัง Temporal-Rewind ของเซอานอร์ท นาทีที่ 2:28 ประกอบ - https://www.youtube.com/watch?v=iQ1I8dPhv8c)

2. Focus Rewind/Time Travel หมายถึง พลังในการท่องกาลเวลากลับไปยังอดีต

กรณีแมกซ์ เธอต้องมีรูปภาพเป็นสื่อในการใช้พลัง เพื่อแมกซ์ตั้งสมาธิแล้วจ้องไปยังรูปภาพ ก็จะสามารถกลับไปยัง Time-space ที่ตัวเองเคยอยู่ในรูปภาพนั้นได้

ทว่ากรณีเซอานอร์ท เขาไม่ต้องใช้รูปภาพเป็นสื่อกลาง เขาสามารถท่องไปยัง Time-space อื่นที่ตัวเองเคยอยู่ได้เลย

สิ่งที่น่าสังเกตคือ ทั้งสองมีข้อจำกัดที่คล้ายคลึงกัน คือจะ Time Travel ไปได้แค่ Time-space ที่ตัวเองเคยอยู่เท่านั้น จะไปยัง Time-space ที่ตัวเองไม่เคยอยู่ โดยเฉพาะอนาคตที่ตัวเองยังไม่เคยใช้ชีวิตไปถึง ไม่ได้
นอกจากนี้แมกซ์ยังมีข้อจำกัดเพิ่มเติมอีกคือ เมื่อ Time Travel กลับไปแล้ว ก็จะอยู่ได้แค่ขอบเขต Space ของรูปภาพที่ใช้เป็นสื่อกลางเท่านั้น ไม่สามารถออกนอกขอบเขตนั้นได้ ต่างจากเซอานอร์ทที่ไม่ต้องมีสื่อกลาง และสามารถออกไปวิ่งเล่นในยุคนั้นได้ตามใจชอบเลย

ในด้านผลกระทบต่อร่างกาย เซอานอร์ทและแมกซ์ต่างโดนผลกระทบจากพลังนี้ในลักษณะคล้ายคลึงกัน เมื่อแมกซ์ใช้พลังหลายครั้งในวันเดียวกัน ก็จะเกิดอาการปวดหัว และเลือดกำเดาไหล จะขาดใจ... ส่วนเซอานอร์ทเอง ก็ไม่สามารถใช้พลังอย่างต่อเนื่องได้ แต่เจ้าตัวก็ไม่ได้แสดงอาการทุรนทุรายแบบแมกซ์ออกมา

นอกจากนี้เวลาทั้งสองจะใช้พลัง ก็ยังต้องใช้สมาธิมากเหมือนกัน หากแมกซ์ถูกรบกวนจนตั้งสมาธิให้นิ่งไม่ได้ ก็ใช้พลังไม่ได้ ส่วนเซอานอร์ทเองถ้าโดนทุบรัว ๆ จนตั้งตัวไม่ติด ก็ย้อนไม่ทันเหมือนกัน ตอนที่ริคุเอาชนะเซอานอร์ทใน KH3D ก็เกิดจากการเข้าไปทุบน่วมให้มันย้อนเวลาไม่ทัน

อ้างอิง

3. โลกคู่ขนาน หรือ Timeline เส้นเดียว

ในเกม Life is Stange นั้นเป็นการเล่าเรื่องจากมุมมองของแมกซ์ ซึ่งก็ไม่ได้มีความรู้ทางวิทยาศาสตร์มากมายอะไร อีกทั้งเนื้อหาในเกมก็ไม่ได้อธิบายเหตุผลของปรากฏการณ์ต่าง ๆ ไว้อย่างชัดเจนนัก
หนึ่งในปัญหาที่เกมนี้ทิ้งไว้ให้เราสงสัยกัน คือเมื่อแมกซ์ใช้พลังในการย้อนเวลาของเธอ กลับไปแก้ไขเหตุการณ์ในอดีตแล้ว ผลจากการแก้ไข ทำให้อนาคตที่ควรจะเป็นของ Timeline ที่เธอดำรงอยู่นั้นเปลี่ยนแปลงไป หรือ... ทำให้ Timeline แตกกิ่งก้านสาขาจนเธอข้ามไปสู่ Timeline เส้นอื่น (โลกคู่ขนาน)


ภายในเกมไม่ได้อธิบายคำตอบของเรื่องนี้ไว้ ตัวแมกซ์เองก็สับสน เธอได้แต่ตั้งข้อสงสัยว่าโลกก่อนที่จะถูกเธอแก้ไขเหตุการณ์นั้นมันจะเป็นยังไงต่อไป? จะยังมีตัวเธออยู่รึเปล่า? แต่ก็ไม่รู้คำตอบ

ในบทสุดท้ายของเกม ภายในฝันร้ายของแมกซ์ เธอฝันว่าโคลที่ป่วยเป็นอัมพาต ซึ่งเป็นโคลที่อยู่ในโลกคู่ขนานแบบนึงที่เธอจากมา ได้ส่งข้อความมาประชดต่อว่าเธอ โคลบอกว่าแมกซ์ทิ้งเธอไว้ในโลกคู่ขนานใบนั้นแล้วก็หนีไปคนเดียว

ซึ่งหากคำพูดของโคลเป็นจริง แปลว่าเกมนี้ใช้ทฤษฎีที่ว่ามีโลกคู่ขนานหลายใบ เมื่อแมกซ์ได้เปลี่ยนแปลงเหตุการณ์ในอดีต Timeline ก็จะแตกกิ่งก้านทางแยกใหม่ เธอก็จะกระโดดข้ามไปสู่โลกคู่ขนานใบใหม่ โดยที่เรื่องราวของโลกคู่ขนานใบเดิมก็จะดำเนินควบคู่กันต่อไป (แนวคิดเดียวกับเรื่องของทรังคส์ใน Dragon Ball Z ซึ่งการที่ทรังคส์แก้ไขโลกในอดีต ก็ทำให้เกิด Timeline เส้นใหม่ขึ้นมา โดยที่ Timeline เส้นเดิมก็ยังดำเนินต่อไป)

ทว่าข้อความที่โคลส่งมานั้น มันก็เป็นเพียงฝันร้ายของแมกซ์ ซึ่งไม่สามารถใช้ตอบคำถามใด ๆ ได้อยู่ดี

4. ไม่มีทางเลือกที่สมบูรณ์แบบ ไม่มีใครที่ขาวและดำ

ทีมงานผู้สร้าง Life is Strange ได้บอกว่า ในการตัดสินใจเลือกทางเดินชีวิตนั้น มันก็ไม่มีทางเลือกที่สมบูรณ์แบบ การตัดสินใจเลือกนั้นว่ายากแล้ว แต่การยอมรับที่จะใช้ชีวิตอยู่กับผลลัพธ์ที่ตามมาให้ได้ ยากยิ่งกว่า

"อยากให้คนเล่นเห็นว่าการตัดสินใจนั้นยากแล้ว แต่การยอมรับที่จะใช้ชีวิตกับสิ่งที่ตนเองเลือก มันยากยิ่งกว่า แต่คุณจะต้องเรียนรู้ที่จะทำให้ได้ อาจจะลังเลคิดเยอะ แต่ที่สุดแล้ว มันไม่มีหนทางที่จะทำทุกอย่างให้สมบูรณ์แบบได้ (There is no perfect way to do things)"

"แต่เราอยากจะแสดงมุมมองว่าสิ่งต่าง ๆ มันไม่ได้มีแค่ขาวกับดำ"

จากประเด็นที่ว่าไม่มีทางเลือกใดที่สมบูรณ์แบบ แต่ละทางก็ส่งผลดีผลเสียต่างกัน แม้ทางหนึ่งจะดูมีข้อดีมากกว่าอีกทาง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าทางที่ดูดีกว่าจะไม่ได้มีผลเสียเลย แล้วเราจะยอมรับผลเสียของมันนั้นได้รึเปล่า?


นอกจากนี้ ตัวละครต่าง ๆ ในเกมนี้ก็ไม่มีใครที่ขาวและดำโดยสมบูรณ์ แม้คนที่วางตัวร้ายกาจต่อคนอื่น พวกเขาล้วนมีด้านที่อ่อนโยน อ่อนแอ และมีความดีแฝงอยู่ในตัวด้วยกันทั้งนั้น

กรณีของวิคตอเรีย เธอรู้ว่าเจฟเฟอสันสนใจพรสวรรค์ในตัวแมกซ์ วิคตอเรียอิจฉา แต่ก็รู้ว่าตัวเองอิจฉาและพยายามข่มใจไว้ และแม้เธอจะเมาจนโพสต์คลิปฉาวของเคท แต่เธอก็สำนึกเสียใจกับเรื่องนี้ ร้องไห้ในห้อง รวมถึงส่งเมลคุยเรื่องที่เธอเสียใจกับคนอื่นด้วย

เนธานแม้จะติดยา เหลวแหลก แต่ก็เพราะสภาพครอบครัวที่พ่อแม่ไม่มีเวลาดูแลเอาใจใส่ กลายเป็นคนเคว้งคว้างไร้ที่พึ่ง แม้จิตแพทย์จะแนะนำให้พ่อของเขาช่วยดูแลเขาให้ดีกว่านี้ แต่พ่อก็ไม่ได้ใส่ใจ เนธานเองก็รู้สึกตัวว่าทำอะไรไม่ดีลงไปมากมาย และก็ได้ส่งข้อความลาตายและขอโทษแมกซ์ในท้ายที่สุด

เรเชล เป็นดาวดังที่เป็นที่รักของ เข้ากันได้กับคนทุกกลุ่ม แต่เจฟเฟอสันก็บอกว่านั่นเป็นเพราะเธอเหมือนกิ้งก่า รู้จักปรับตัวเขาหาคนต่าง ๆ ปกติเธอก็วางตัวเป็นคนดี แต่ก็มีด้านที่เป็นคนลักลอบขนยาเสพติด และแม้เธอจะเป็นเพื่อนรักกับโคล แต่เธอกลับปิดบังโคลเรื่องที่เธอคบกับแฟรงค์ 

แมกซ์เองอาจจะดูเหมือนเด็กซื่อ แต่ก็แอบเข้าห้องคนอื่น เข้าโรงเรียนยามวิกาล ขโมยของ ทำอะไรไม่ดีมากมายเพื่อเป้าหมายส่วนตัว แมกซ์เองรู้ว่าสิ่งที่ตัวเองทำนั้นมันผิด แต่ก็เลือกที่จะทำเพื่อสิ่งที่ตนเองเห็นว่าสำคัญยิ่งกว่า

เบ็ดเตล็ด

Life Is Strange Directors' Commentary


- ในตอนแรกของเกม โปสเตอร์ Everyday Heroes Contest ระบุว่าผู้ชนะการประกวดจะได้ไปเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์ศิลปะที่ DeYoung แต่ทีมงานมานึดได้ทีหลังว่าภาพชนะเลิศ มันจะไปอยู่ที่พิพิธภัณฑ์เลยได้ยังไง มันต้องไปอยู่ที่ Art Gallery สิ ภายหลังเลยแก้ให้ไปที่ Zeitgeist Gallery แทน

- ในตอนแรกที่เขียนพล็อตให้แมกซ์ฉีกภาพโพลารอยด์ของตนเองทิ้งแบบง่าย ๆ ทีมงานมาคิดได้ทีพลังว่าภาพโพลารอยด์มันเป็นพลาสติก มันฉีกทิ้งไม่ได้ง่าย ๆ อย่างที่แมกซ์ทำ

- แมกซ์พออยู่ท่ามกลางคนเยอะ ๆ ก็รู้สึกไม่ปลอดภัย จึงใส่หูฟัง เปิดเพลงเพื่อเข้าสู่โลกส่วนตัว

- ผีเสื้อสีน้ำเงิน สื่อถึงธีม Butterfly Effect สื่อถึงรอยสักและสีผมของโคล

- ทีมงานอยากให้โคลเป็นตัวละครที่มีความสำคัญต่อผู้เล่น การจะทำแบบนั้น หากให้โคลเป็นคนดี ทำดีกับแมกซ์ตั้งแต่แรกก็คงไม่ใช่ ก็เลยให้โคลไม่ได้ทำดีเว่อร์ขนาดนั้นตั้งแต่แรก แต่ให้โคลค่อย ๆ ทำดีกับแมกซ์มากขึ้น และเปลี่ยนแปลงตัวเองไปในทางที่ดีขึ้น

- ธีมของเกมอยากจะนำเสนอปัญญหาที่พบกันในชีวิตจริง มันคงไม่ใช่ปัญหาใหญ่โตอย่างเช่นความเป็นความตาย สงคราม แบบเกมอื่น อยากให้เป็นปัญหาทั่วไปที่เล็กกว่า เช่น ครอบครัวแตกแยก ความรุนแรงในครอบครัว ติดเหล้า ติดยา ตกงาน โรคซึมเศร้า

- ฉากที่โคลกำลังจะถูกยิง เป็นจุดที่แมกซ์ค้นพบพลังพิเศษของตนเอง ตอนนั้นอะดรีนาลีนหลั่ง แล้วพลังพิเศษก็ทำงานเป็นครั้งแรก แล้วก็กลับไปยังคลาสเรียน ซึ่งตรงนี้ขัดกับพลังของแมกซ์ที่ใช้ต่อมาหลังจากนั้น (ที่ว่าเวลาย้อน space ของแมกซ์จะไม่ย้อนตามไปด้วย) 

- แมกซ์ขาดความมั่นใจ ไม่กล้าก้าวต่อไปยังอนาคต แล้วก็ได้พลังในการย้อนกลับอดีต ก็อยากให้ผู้เล่นตั้งคำถามกับแมกซ์ กับตัวเลือก ผลที่ตามมา ชะตากรรม ถ้าไม่มีพลังพิเศษพวกนี้ แมกซ์ก็คงไม่เติบโตขึ้นข้ามจุดที่เป็นอยู่

- แมกซ์ใช้พลังย้อนเวลา และทำให้สร้างเพื่อนได้มากมาย ช่วยเพื่อน ตอบในสิ่งที่ดีกับเพื่อน แต่ตอนหลังคุณก็อาจต้องเริ่มคิดว่าการใช้พลังนั้น มันเป็นการหลอกลวงคนอื่นรึเปล่า มันเป็นสิ่งที่ถูกต้องแล้วรึเปล่า?

- อยากให้คนเล่นเห็นว่าการตัดสินใจนั้นยากแล้ว แต่การยอมรับที่จะใช้ชีวิตกับสิ่งที่ตนเองเลือก มันยากยิ่งกว่า แต่คุณจะต้องเรียนรู้ที่จะทำให้ได้ อาจจะลังเลคิดเยอะ แต่ที่สุดแล้ว มันไม่มีหนทางที่จะทำทุกอย่างให้สมบูรณ์แบบได้ (There is no perfect way to do things)

- กวางเป็นวิญญาณสัตว์ที่เป็นตัวแทนของเรเชลที่มานำทางแมกซ์ กวางนำทางไปยังจุดที่เรเชลโดนฝังไว้

- เกมนี้อยากทำให้มันมีสไตล์ ไม่ต้องสมจริง ดังนั้น Texture ทั้งหมดในเกมจึงมาจากการลงสีด้วยมือมนุษย์เอง

- ฉากหอพักนักเรียนนั้น มีจุดประสงค์เพื่อสะท้อนปัญหาสังคม อย่างเช่นเราชอบคนห้องข้าง ๆ รึเปล่า? ความสัมพันธ์ระหว่างคนในหอเป็นยังไง? การได้ยินเสียงเพลงดังมาจากห้องของแต่ละคน ก็เป็นวิธีที่น่าสนใจในการเซ็ตอัพตัวละครแต่ละตัว

- ในตอนแรกนั้นเดวิดอาจดูเป็นตัวละครที่มีมิติเดียว แต่เมื่อเรื่องราวดำเนินไป เราอาจคิดได้ว่าบางทีเขาก็คงมีเหตุผลของตนเอง ในเกมนั้นเราไม่ได้ตัดสินว่าเขามีสิทธิตบโคลหรือไม่ แต่เราอยากจะแสดงมุมมองว่าสิ่งต่าง ๆ มันไม่ได้มีแค่ขาวกับดำ

- ทีมงานอยากจะนำเสนอปัญหาการกลั่นแกล้งกันในโลกไซเบอร์ ทุกคนนั้นมีโทรศัพท์ สามารถส่งข้อความต่อกัน เราก็อยากนำเสนอแง่มุมสองด้านของ Social Media คุณจะได้เห็นด้านมืดของอินเตอร์เน็ตที่เราไม่อาจหนีไปจากมันได้ ผู้เล่นหลายคนดูเรื่องราวของเคทแล้วก็รู้สึกว่ามันสะท้อนสิ่งที่ตัวเองเคยเจอมาเหมือนกัน

- ฉากที่เคทพยายามฆ่าตัวตาย เป็นฉากที่ทีมงานคิดกันไว้ตั้งแต่ต้น เรื่องของเคทนั้นจะทำให้แมกซ์ต้องตระหนักถึงขีดจำกัดพลังของตนเอง ตระหนักถึงผลที่ตามมา ตระหนักถึงความสัมพันธ์กับผู้คนรอบข้าง ในฉากนี้พลังของแมกซ์ได้ถึงขีดจำกัด เมื่อแมกซ์ไปถึงดาดฟ้า ก็ต้องเกลี้ยมกล่อมเคทให้ล้มเลิกการค่าตัวตายด้วยตัวแมกซ์เอง ทีมงานก็อยากสื่อว่าหากคุณห่วงใยคนอื่นจริง ๆ คุณก็สามารถช่วยเขาได้ แมกซ์เองก็ห่วงใยเคทในฐานะเพื่อน

- เคทนั้นเป็นคนที่เคร่งศาสนา เธออาจดูเป็นคนน่าเบื่อ แต่ทีมงานก็อยากแสดงให้เห็นว่าเปลือกนอกของคนที่ดูไม่น่าสนใจ ดูแตกต่างไปจากเรา เมื่อเรามองทะลุผ่านเปลือกนอกของเขาไป เราก็จะได้พบแง่มุมที่ดีและน่าสนใจในตัวของแต่ละคน

- ฉากการเกลี้ยกล่อมเคทไม่ให้ฆ่าตัวตายนั้นเขียนได้ยากมาก มันสร้างบาลานซ์และทำให้สมจริงได้ยาก ในฉากนั้นมีแค่บทสนทนากับเคท แต่มันแตกกิ่งก้านสาขาได้มากมาย กระทั่งตอนพากยืเสียงฉากนี้ก็ยังยากและใช้เวลานาน

- ในฉากที่โคลขอให้ทำ Euthanasia ให้เธอ ทีมงานอยากจะพูดถึงประเด็นนี้โดยให้ความเคารพกับคนทุกกลุ่ม ฉากนี้สำคัญมากกว่าจะต้องไม่ไปตัดสินว่าอะไรผิด อะไรถูก แต่ให้ผู้เล่นได้ตัดสินใจไปตามความรู้สึกในสถานการณ์นั้น การสร้างบาลานซ์ในฉากนี้ก็ยากอีกเช่นกัน บางคนอาจจะลังเลกับทางเลือกในฉากนี้ 5-10 นาที สุดท้ายก็โดนเกมบังคับให้ต้องตัดสินใจ ทีมงานอยากให้ผู้เล่นเห็นว่าเราจะหนีไปไม่ได้ เราต้องตัดสินใจ และรับผิดชอบการกระทำของตนเอง

- ป้ายทะเบียนรถทั่วทั้งเกมนั้น ไม่ได้ตั้งขึ้นมามั่ว ๆ แต่ละช่วงนั้น ป้ายทะเบียนรถจะมีที่มาของมัน อยากในตอนที่ 1 ป้ายทะเบียนนั้นเอาตัวอักษรมาจากรายการทีวีที่ทีมงานชื่นชอบและเป็นแรงบันดาลใจให้กับบางส่วนของเกม ในตอนที่ 2 ก็จะเป็นชื่อภาพยนตร์ นอกจากนี้ป้ายหน้าห้องของสเตลล่าเองก็เขียนว่า Redrum ที่เป็นชื่อหนัง เป็นการบ่งบอกว่าทีมงานชื่นชอบหนังเรื่องนี้ และตัวละครในเกมก็รู้จักมันเช่นกัน

- ในฉากที่แมกซ์เจอวอร์เรนครั้งแรกที่ลานจอดรถ ตอนแรกทีมงานแต่งเรื่องให้วอร์เรนพยายามทักทายด้วยการเข้ามาหอมแก้มแมกซ์ตามธรรมเนียมฝรั่งเศส (สตูดิโอ Dontnod อยู่ในฝรั่งเศส) แต่มาคิดดูแล้วเกมมันเป็นเรื่องราวในอเมริกา และที่อเมริกามันไม่มีธรรมเนียมแบบนั้น เลยต้องเปลี่ยนมาเป็นการพยายามกอดแทน

- บ้านของโคล เป็นฉากแรก ๆ ที่ทีมงานสร้างขึ้นมา เป็นฉากที่โดนปรับแต่งมาเยอะ และเป็นฉากที่เอาไปโชว์ Square Enix ในฉากนี้มันมีกลไกระบบทุกอย่างครบ และยังแสดงตัวตนของเกม Life is Strange ว่าเป็นเรื่องของผู้หญิงสองคนที่พยายามกลับมาจูนกัน และมีเรื่องปัญหาครอบครัวกับพ่อ มีการเล่าเรื่องผ่านสภาพแวดล้อม ข้าวของต่าง ๆ ในบ้าน เป็นการเล่าเรื่องด้วยจังหวะช้า ๆ ชวนให้นึกถึงอดีต

- หนึ่งในสิ่งที่ยากที่สุดในการสร้างเกมแบบแบ่งตอนนี้ คือการพยายามทำให้ผู้เล่นรักโคล เพื่อให้ฉากสุดท้ายมันเวิร์คที่สุด ทั้งบท และการพากย์เสียง

- ตัวเกมมีบทพูดทั้งหมดประมาณ 14,000 ประโยค เป็นของแมกซ์เกิน 10,000 ประโยค

- ในการพากย์เสียงฉากที่พวกแมกซ์พบศพเรเชล นักพากย์ทั้งสองคนพยายามกดดันตัวเอง เพื่อให้เกิดความรู้สึกอินกับฉากนั้น จนกระทั่งตอนที่พากย์ ทั้งสองก็ร้องไห้กันออกมาจริง

- ฉากจบของตอนที่ 1 และ 2 ต้องการจะโชว์ตัวละครหลักทั้งหมด โชว์ว่ายังมีอะไรบางอย่างที่ผิดปกติเกิดขึ้นอีก และโชว์ด้านอื่น ๆ ของตัวละครแต่ละตัว อยากฉากที่เดวิดกลุ้มใจจนต้องซบจอยซ์ เห็นเนธานเข้าไปในห้องวิคตอเรีย เห็นเจฟเฟอสันทะเลาะกับ ผอ. ทำให้ผู้เล่นเห็นตัวละครเหล่านี้ด้วยตัวเอง ไม่ได้ผ่านมุมมองของแมกซ์ โดยไม่ใส่รายละเอียดลงไปมากนัก ทำให้มันดูลึกลับ เพื่อให้ผู้เล่นคิดว่าพวกเขาอาจปิดบังอะไรบางอย่าง หรือพวกเขาอาจไม่ได้เป็นอย่างที่เราคิด อย่างวิคตอเรียเองก็ร้องไห้กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับเคท

- ส่วนตอนที่ 3 กับ 4 จะให้จบแบบตื่นเต้นหักมุม ทำให้มันช็อค

- ทีมงานคิดว่าคอมมูนิตี้ของเกมนี้เป็นหนึ่งในคอมมูฯ ที่ดีที่สุด คือไม่ค่อยเห็นคนพูดไม่ดี และเวลานั่งไล่อ่านคอมเมนต์ทั้งหมดจากคอมมูฯ มันเต็มไปด้วยความสุขใจมาก

บทสัมภาษณ์น่าสนใจ

- http://www.eurogamer.net/articles/2016-04-09-life-is-strange

- ผู้เขียนบทบอกว่า ฉากจบเกมนั้นถูกกำหนดไว้แต่แรกแล้วว่าจะมีทางเลือกให้แบบนั้น ขึ้นกับการตัดสินใจครั้งสุดท้ายของผู้เล่น โดยไม่อิงกับการตัดสินใจครั้งก่อน ๆ แต่อย่างใด โดยคนเขียนบทบอกว่าอยากให้เป็นเรื่องของความรู้สึกผู้เล่นล้วน ๆ ไม่มีถูกหรือผิด การตัดสินใจนี้เป็นสิ่งสำคัญที่จะทำให้เราเติบโตขึ้น ตัวแมกซ์เองในตอนแรกก็เป็นวัยรุ่นแต่ค่อย ๆ เติบโตขึ้นเรื่อย ๆ ในตอนเด็กเราอาจจะคิดจะเอาอย่างงั้นอย่างงี้ แต่พอโตขึ้นมาแล้วเราก็ต้องยอมรับการเสียสละ และไม่อาจกลับไปแก้ไขมันได้

- จากสถิติแล้วผู้เล่นที่เลือกช่วยโคลหรือช่วยเมือง ก็มีใกล้เคียงกันที่ 50 ต่อ 50 โดยการตัดสินใจครั้งสุดท้ายของผู้เล่นก็มักสัมพันธ์กับความรู้สึกที่เขามีต่อตัวละครตลอดทั้งเกม

- เมื่อถูกถามเรื่องซามูเอลเป็นบ้ารึเปล่า หญิงชราไร้บ้านเป็นใคร และพ่อเนธานรู้เรื่องพายุมาก่อนรึเปล่า ทีมงานบ่ายเบี่ยงที่จะตอบเรื่องเหล่านี้


ไม่มีความคิดเห็น