แปลเนื้อเรื่อง Dissidia -Final Fantasy- NT


World B [โลก Dissidia]

ความเดิมจากตอนที่แล้ว เมื่อซิดสามารถกลับมายัง World B ได้สำเร็จ คอสมอสก็ฟื้นคืนชีพขึ้นมา ซิดได้ชวนให้คอสมอสเก็บกระเป๋าโกยหนีไปโลกภพอื่นด้วยกัน แต่คอสมอสปฏิเสธ และเลือกที่จะอยู่เฝ้าดูความล่มสลายและการกลับคืนสู่ช่องแยกมิติของโลกใบนี้ ซิดจึงบอก "บรั้ยยย" แล้วออกเดินทางไปยังโลกภพอื่นตามลำพัง

เวลาต่อมา....

Dissidia -Final Fantasy- NT

โลกเบื้องหน้าคุณนี้ตั้งอยู่ระหว่างมิติที่เหลือคณนานับ
ที่ซึ่งครั้งหนึ่งเคยผจญภัยพิบัติจากความขัดแย้งของทวยเทพ
แต่แล้วเหล่าผู้กอบกู้จากภพโพ้นก็สามารถยุติหายนะแห่งห้วงนิรันดร์ลงได้
เมื่อการต่อสู้สิ้นสุดลง โลกนี้ก็ควรจะเลือนหายไป
แต่ทว่า...

พลังลี้ลับได้บังเกิดแก่โลกใบนี้ และมอบจุดหมายให้กับสิ่งที่ยังคงเหลืออยู่ อีกครั้ง
ดังนั้น มันจึงเปล่งประกาย
อรุณแห่งยุคสมัยใหม่ ยุคซึ่งศึกสงครามดุเดือดที่สุด

------------------------


น็อคติสที่นอนฟังเพลงอยู่ในรถเรกาเลีย ตกลงมายังโลกของ Dissidia อย่างกะทันหัน เมื่อมองไปรอบ ๆ ก็เจอแต่ที่รกร้าง แกก็ได้แต่งุนงง หันซ้ายหันขวา

น็อคติส : อิกนิส...?

น็อคติสหันไปหันมา แล้วก็ได้แต่งง

น็อคติส : ฝีมือกลาดิโอแหงม

น็อคติสทำท่าหาโทรศัพท์ในกระเป๋าชุด แต่หาไม่เจอ

น็อคติส : ฮะ-เฮ่ย? อยู่ไหนนะ?

ทันใดนั้นร่างจำแลงของไลท์นิ่งก็เดินมาทางด้านหลังของน็อค น็อคซึ่งได้ยินเสียงฝีเท้าก็หันกลับไปมองแล้วถาม "คณะต้อนรับเหรอ?"

ร่างจำแลงของไลท์นิ่งชักดาบขึ้นมาจะโจมตีใส่น็อคติส น็อคติสเองก็เรียกเอนจิ้นเบลดของตัวเองขึ้นมาเตรียมรับมือเช่นกัน แต่แล้วไลท์นิ่งตัวจริงก็โผล่มาจ้วงร่างจำแลง ดาบเดียวร่วง

ไลท์นิ่ง : โอเคมั้ย?

น็อคติสยังตั้งท่าระแวดระวังตัวอยู่ ไลท์นิ่งเลยบอกว่าเดี๋ยวก่อน

น็อคติส : ตัวจริงเหรอ?
ไลท์นิ่ง : แล้วเห็นเป็นยังไงล่ะ? คงแยกออกง่าย ๆ อยู่แล้วสินะ
น็อคติส : กูฝันอยู่แน่ ๆ... (ยกมือขวาขึ้นมาปิดหน้า)
ไลท์นิ่ง : โทษนะ แต่นายตื่นเต็มที่ดีเลยเแหละ

ไลท์นิ่ง : พวกหน้าใหม่ใช่มั้ย?
น็อคติส : หมายความว่า... เธอเป็นคนแถวนี้เหรอ?

ไลท์นิ่งส่ายหัว แต่บอกว่ายังมีคนอื่น ๆ เหมือนพวกเรา อยู่ที่นี่ด้วยเหมือนกัน

ขณะที่น็อคติสกำลังงง พี่แสง (Warrior of Light) ก็หวดร่างจำแลงของตัวเองปลิวมากองแทบเท้าทั้งสอง ไลท์นิ่งเลยหันไปมอง

ไลท์นิ่ง : หมอนั่นเป็นต้น

พี่แสง : เธอเองรึ ไลท์นิ่ง? และชายคนนี้...?
น็อคติส : ว่างาย
พี่แสง : สหายใหม่งั้นรึ? ยินดีตอนรับสู่สงคราม
น็อคติส : สหาย? เดี๋ยวก่อนนะ!!
ไลท์นิ่ง : ฉันคิดว่าจบไปแล้วซะอีก
พี่แสง : เราต่างถูกเรียกตัวมาเพื่อรับใช้จุดหมายใหม่
ไลท์นิ่ง : โดยคอสมอส?
พี่แสง : ไม่ แต่เป็นผู้สืบทอดเจตนารมณ์ของเธอ
น็อคติส : เดี๋ยว แล้วรับใช้จุดหมายอะไร?
พี่แสง : ฉันจะอธิบายระหว่างทาง
ไลท์นิ่ง : นายก็ตามมาด้วย
น็อคติส : เอาจริงดิ!?

พี่แสงพยักหน้า แล้วมองไปยังวิหารสีขาวที่ตั้งตระหง่านอยู่ไกล

พี่แสง : เราต้องไปเข้าเฝ้ารับฟังเธอ

------------------------

ป้าแชนท็อทโตะเดินอยู่บนซากโบราณสถาน ระหว่างเส้นทางมุ่งหน้าไปยังวิหารของมาเทเรีย แต่แล้วป้าก็เจอเคฟก้ากระโดดดึ๋งผ่านหน้าไป

เคฟก้า : เค-ฟุ-ก๊ะ
เคฟก้า : คะ-ฟุ-เก๊ะ

เคฟก้า : มาเริ่มกันเลย~ มาเริ่มกันเล๊ยยยย~~

*ถ้าเป็นเวอร์ชั่นอังกฤษเคฟก้าจะพูดว่า Death and Doom และบอกว่ามาเลงเลือดให้ท่วมสมรภูมิแห่งนี้กัน~! ขอแค่ไม่เลอะก้นฉันก็พอ!
**ซึ่งกลายเป็นว่าพูดมากกว่าเวอร์ชั่นญี่ปุ่นซะอีก ไม่รู้ว่าแปลยังไงให้เยอะกว่าต้นฉบับได้ lol

เคฟก้ายังเดิน ๆ โดดดึ๋งแบบคนบ้าต่อไป โดยมีเมฆาอันธการกับเซฟิรอธเดินตามมา

เมฆาฯ : ไม่เปลี่ยนไปเลยนะ (นินทาเคฟก้าให้เซฟิรอธฟัง)
เซฟิรอธ : ในความโกลาหลแบบนี้ คนแบบมันเนี่ยแหละที่จะสุขสำราญ

ป้าแชนที่ยืนมองอยู่ข้าง ๆ แต่ไม่มีคนสนใจ เลยพูดบ้าง

แชนท็อท : หากเป็นอนารยชนอย่างเขาที่มีชีวิตอยู่ได้ด้วยการต่อสู้ ฉันย่อมรู้ว่าต้องวางแผนที่รัดกุมที่สุดเพื่อจับให้อยู่

แชนท็อทมองไปยังวิหารที่มาเทเรียพำนักอยู่ แล้วก็ตัดพ้อที่ต้องลำบากเดินไปหามาเทเรีย แทนที่มาเทเรียจะมาหาทุกคนเอง

แชนท็อท : อย่างน้อยก็โยนกระดูกลงมา แล้วก้าวขาลงจากบัลลงค์ตัวเองสิ

------------------------

ฟรีโอนีลที่พึ่งมาถึงโลก Dissidia จำทิวทัศน์ของโลกได้

ฟรีโอนีล : ที่นี่อีกแล้ว

เซซิลเดินมาจากทางด้านหลังแล้วเอ่ยคำทักทาย

เซซิล : ไม่เจอกันนานเลยนะ พรรคพวก
ฟรีโอนีล : เช่นกัน

ทั้งสองจับมือกัน จังหวะเดียวกับที่ซีดานก็กระโดดลงมาทักทายพอดี

ซีดาน : เดาว่าพวกนายกำลังจะไปทางโน้นกันช่ะ ฉันว่าจะไปด้วย

ด้วยเหตุนี้ซีดาน เซซิล ฟรีโอนีลจึงเดินทางไปยังวิหารด้วยกัน แต่ระหว่างทางนั้น ไม่ไกลออกไปก็มียาชโทล่าที่เดินตามหลังสคอลล์อยู่

ยาชโทล่า : ทำไมถึงเดินแยกออกมาทางนี้ล่ะ?

ยาชโทล่าที่เดินตามหลังสคอลล์มาอยู่ แอบสงสัยว่าทำไมสคอลล์ถึงเดินแยกไปคนละทางกับเส้นทางไปวิหาร ส่วนสคอลล์ก็เดินคิดในใจคนเดียวตามประสาเขา

สคอลล์ : (โดนลากมาที่นี่อีกแล้วเหรอ? ให้ตายเถอะ)
สคอลล์ : (แล้วยัยคนที่เดินตามมานี่มันอะไรเนี่ย? ฉันต้องคุยเหรอ?)
สคอลล์ : (ดี ต้องการอะไรก็จะได้รู้กัน)

สคอลล์หันกลับหลังไป ก็ตกใจที่ยาชโทล่ายืนอยู่ใกล้เขามากแทบจะติดกัน สคอลล์ผงะถอยหลัง ส่วนยาชโทล่าชี้ไปอีกทางหนึ่งซึ่งเป็นเส้นทางไปยังวิหาร และเห็นพวกฟรีโอนีล ซีดาน เซซิล กำลังเดินตามทางนั้นอยู่

ยาชโทล่า : เอาแต่เถลไถลออกนอกเส้นทางนะ

------------------------

เมื่อฝ่ายตัวเอกแทบทุกคน (ยกเว้นบัทซ์ และพวกที่มาจากภาคเสริม) มาถึงวิหารของมาเทเรีย และได้เข้าเฝ้ามาเทเรียแล้ว

มาเทเรีย : ขอบคุณทุกคนที่ลำบากลำบนเดินทางมาจนถึงที่แห่งนี้ ฉันดีใจที่ทุกคนตอบสนองต่อเสียงเรียกจากฉัน
มาเทเรีย : ฉันคือมาเทเรีย

ทีดัส : มาเทเรีย...?

ระหว่างนั้นทุกคนก็ฮือฮาและงง ๆ

วาน : เอ่อ... ใครอ่ะ? (หันไปถามหัวหอม)
หัวหอม : ไม่รู้เหมือนกัน

มาเทเรีย : เป้าหมายของฉันคือการนำพาโลกนี้ออกจากปากเหวแห่งความว่างเปล่า (การกลับคืนสู่ช่องแยกมิติ) เพื่อขัดขวางการล่มสลายของมัน
มาเทเรีย : ฉันคือร่างสำแดงแห่งความผาสุกของโลกภพนี้ หรือจะเรียกว่าเทพก็ได้

มาเทเรียเอียงคอไปทางซ้ายเล็กน้อย แล้วเอามือขึ้นมาแตกหน้าอกตัวเอง

เซซิล : มาเทเรีย
มาเทเรีย : คะ
เซซิล : เธอพูดถึงการขัดขวางการล่มสลาย แล้วตั้งใจว่าจะทำยังไงล่ะ?
มาเทเรีย : โลกนี้คงอยู่ด้วยการกลืนกินพลังงานชนิดพิเศษ พลังงานที่เกิดจากการต่อสู้

มาเทเรีย : ทั้งที่พยายามอย่างเต็มที่แล้ว แต่ดิฉันก็ไม่สามารถผลิตมันได้ด้วยตัวเอง ดังนั้น...
ไลท์นิ่ง : ดังนั้นจู่ ๆ ก็เรียกตัวพวกเรามาโดยไม่มีปี่มีขลุ่ย ไม่ถามความสมัครใจสักคำ (เพลงหยุดลงกะทันหัน เพราะเจ๊พร้อมเปิดวอร์แล้ว)

มาเทเรีย : ค่ะ
ไลท์นิ่ง : ก็เลยจะให้พวกเราสู้กันเอง?

มาเทเรีย : ............ค่ะ (ตอบช้าลง แต่ยังหน้านิ่ง)
ฟรีโอนีล : ไม่นะ (กำลังตะลึงที่ต้องสู้กันเอง)
ไลท์นิ่ง : เรื่องเอาแต่ใจตัวเองนี่ไว้ใจพวกเทพได้เลย (ประชด)

พี่แสง : ลืมเรื่องของวิธีการกันไปก่อนได้มั้ย คุณปรารถนาให้พวกเราช่วยธำรงรักษาความผาสุกของโลกใบนี้ ใช่รึเปล่า?

มาเทเรียเอียงคอแล้วเบือนหน้าลงต่ำตอบด้วยความลังเล

มาเทเรีย : อืม... ก้อ... ค่ะ ได้โปรดช่วยโลกของดิฉันด้วย

แล้วจู่ ๆ เสียงของสปิริตัสก็ดังก้องขึ้นมาบริเวณนั้น ทุกคนต่างได้ยิน

สปิริตัส : เพื่อโลกของเธองั้นเหรอ?
ทีดัส : เคออสเหรอ!?
แชนท็อท : มีสองจริงสิคะ? ชักจะยุ่งแล้วสินะ...
สปิริตัส : เรียกข้าว่าสปิริตัส ข้าคือเทพซึ่งเกิดจากเสี้ยวส่วนของมิติ ได้รับร่างมาเพื่อปกครองโลกใบนี้
มาเทเรีย : สปิริตัส...? น่าประหลาดนัก... ดิฉันไม่เห็นรู้จักชื่อนั้นเลย ฉันรู้แค่ว่าฉันคือผู้ดูแลดินแดนแห่งนี้เพียงผู้เดียว

ตัดไปทางฝั่งสปิริตัส ที่พวกฝั่งตัวร้ายมาชุมนุมกันครบแล้ว

สปิริตัส : อยากจะคิดอย่างงั้นก็เชิญ ข้าไม่ใส่ใจ ในไม่ช้า พลังของข้าจะพิสูจน์ว่าเจ้าคิดผิด นี่คือโลกอันโหดร้ายซึ่งจะยอมสยบต่อหัวใจที่เหี้ยมโหดเท่านั้น! ฮ่า! ฮ่า! ฮ่า! ฮ่า!

มาเทเรีย : ไม่จริงนะ คุณคิดผิดแล้ว!

เสียงหัวเราะของสปิริตัสยังก้องกังวานอยู่อย่างต่อเนื่อง มาเทเรียเริ่มแสดงท่าทีสับสนกังวลบ้าง

ซีดาน : คุณเป็นไรมั้ย?

มาเทเรียหันมาส่งยิ้มตอบให้ซีดานราวกับจะบอกว่าไม่เป็นไร ก่อนจะหันไปอีกทางแล้วแสดงสีหน้ากังวลออกมาอีกครั้ง

ท่ามกลางบรรยากาศงง ๆ นั้นเอง น็อคติสก็ยกมือขึ้นเอ่ยถามเรื่องที่อั้นมานาน

น็อคติส : เอ่อ ไม่อยากแทรกหรอกนะ แต่ขอถามได้มั้ยว่า... เราจะกลับบ้านได้ยังไง?
มาเทเรีย : ห้ามกลับ! (จิกตา สะบัดหน้า)
น็อคติส : เอ่อ!!
มาเทเรีย : ดิฉันขอร้องพวกคุณ... โปรดกำจัดสปิริตัส แค่นั้นแหละค่ะ

มาเทเรียยังงง ๆ กับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นอยู่ เดิมทีแล้วเธอเรียกพวกนักรบฝั่งตัวเอกมาตบตีกันเพื่อสร้างพลังงานให้กับโลก แต่กลับกลายเป็นว่าไลท์นิ่งไม่เชื่อฟังเทพ อีน็อคท์อยากกลับบ้าน พี่แสงออกแนวฮีโร่ช่วยไปทั่ว แล้วจู่ ๆ ก็ดันมีผู้อ้างตัวเป็นเทพเพิ่มมาอีกคน เธอเลยขอให้ทุกคนช่วยเอาสปิริตัสลงไปก่อน ที่เหลือค่อยว่ากัน

------------------------



ทีดัสกับฟรีโอนีล เดินออกจากวิหารของมาเทเรียมาด้วยกัน แล้วก็คุยกันระหว่างทาง

ทีดัส : เห็นเตี่ยของฉันอยู่กับสปิริตัสด้วย ถ้าพ่ออยู่ที่นี่ ฉันไม่สนหรอกว่าแม่สาวน้อยนั่นจะต้องการอะไร ยังไงฉันก็ไม่สู้ (ไม่อยากตีกับเตี่ยแล้ว)

ฟรีโอนีล : ส่วนฉันก็คิดว่าเรื่องมันจบ ๆ กันไปแล้วซะอีก

แชนท็อท : สวัสดีเจ้าค่ะ

*ภาษาอังกฤษใช้คำว่า Good day, I say. แต่ประโยคต้นฉบับใช้คำว่า ごきげんよう ซึ่งดิคบอกว่าเป็นคำทักทายแบบสุภาพ เป็นภาษาผู้ดีแหละนะ

ทีดัสกับฟรีโอนีลมองหันซ้ายหันขวาแต่ไม่เจอใคร จนกระทั่งลดสายตาลงต่ำ ถึงได้เจอเห็นแชนท็อทที่ยืนเตี้ยอยู่กับพื้น ทั้งสองถึงตกใจ

ทีดัส : หวัดดี! (ตอบห้วนประสาวัยรุ่น)
ฟรีโอนีล : หวัดดี!

*ภาษาญี่ปุ่นทั้งสองคนจะพูดสั้น ๆ ด้วยคำว่า こんちは เหมือนกัน

แชนท็อท : เฮ่อออ เด็กสมัยนี้นี่หยาบคายกันจริงแท้-แต่จะพยายามไม่ถือสาละกัน

แชนท็อท : มัวยืนทื่ออยู่ทำไม?-ก้าวให้ไวตามดิฉันมาสิ

ทีดัส : เอ๋? ไปไหนอ่ะ?

ป้าแชนท็อทชูมือซ้ายขึ้นมาชี้หน้าทีดัส แล้วปั้นสีหน้าจริงจัง

แชนท็อท : ง่าย ๆ เลยนะที่รัก-จักหาทางออกไปจากที่นี่

แชนท็อท : ใช้วิธีการที่ง่ายสุด-รุดไปสู่เป้าหมายย่อมดีกว่า-อย่าไปเสียเวลากับวิธีซับซ้อน-ง่อนแง่นไร้จุดหมาย

*นอกจากทีดัสจะเรียกมาเทเรียเป็นแม่สาวน้อย (girl) และไม่คิดสู้กับเตี่ยแล้ว ป้าก็ไม่เห็นหัวมาเทเรีย กะหาทางกลับบ้านอย่างเดียวด้วยอีกคน

ว่าแล้วป้าแชนท็อทก็เดินนำหน้าทั้งสองไป ฟรีโอนีลกับทีดัสแม้จะยังงงอยู่ แต่ก็รู้ว่าป้าแกน่าเชื่อถือกว่ามาเทเรียแน่นอน

------------------------

สลับมาที่อีกกลุ่ม เจ้าชาวบ้าน-วานซึ่งนั่งเหม่อลอยอยู่บนก้อนหินก้อนใหญ่ตัวคนเดียว วานเห็นคลาวด์เดินผ่านหน้า เลยกระโดดลงจากหินไปทักทาย

วาน : นี่คลาวด์ จะไปตัวคนเดียวเหรอ?

คลาวด์ : มันก็เรื่องส่วนตัวแหละนะ ก็เท่านั้นแหละ

วาน : อืม เก๊ตละ คงไม่รั้งไว้ละกัน (วานโบกมือลาให้)

ข้าง ๆ นั่นหัวหอมกำลังแนะนำตัวทำความรู้จักกับยาชโทล่า

หัวหอม : ยินดีที่ได้รู้จักครับ ยาชโทล่า
ยาชโทล่า : อืม ยินดีที่ได้รู้จัก อัศวินน้อย

หัวหอม : คุณพึ่งเคยมาที่นี่เป็นครั้งแรก คงต้องรู้สึกกังวลอยู่มากแน่ ๆ แต่ไม่ต้องห่วงนะ พวกเราจะต้องหาทางกลับบ้านได้แน่นอน เคร๊? (พยายามทำตัวเป็นเด็กแก่แดดเหมือนเคย)

วาน : ใช่ แล้วฉันจะไปด้วย เท่านี้ก็ไม่มีอะไรต้องกลัวล่ะ

หัวหอม : เขาน่าจะเป็นประโยชน์ให้คุณได้
ยาชโทล่า : หึหึ ฉันขอให้คุณช่วยเป็นไกด์นำทางให้หน่อยจะได้มั้ย?
หัวหอม : ด้วยความยินดีเลยครับ

ยาชโทล่าเดินนำไปที่ช่องวาร์ป แล้วยื่นมืออกไปตรวจสอบ จากนั้นภาพในช่องวาร์ปก็เปลี่ยนไปเรื่อย ๆ เป็นสถานที่ในความทรงจำของแต่ละคน

ยาชโทล่า : ฮืมมมม... เป็นโลกที่ความทรงจำสามารถก่อตัวเป็นรูปร่างได้น่ะเอง... รู้สึกทึ่งซะแล้วสิ

ด้วยความกระหายใคร่รู้ ยาชโทล่าจึงจ้ำเข้าช่องวาร์ปไปคนแรก ปล่อยให้หอมตกใจแล้วบอกว่าเดี๋ยวสิ!! เขาต้องเป็นผู้นำไม่ใช่เหรอ!? แล้วหัวหอมกับวานก็รีบจ้ำตามเข้าไป

------------------------

สลับมาทางด้านพี่แสง เซซิล และน็อคติส ที่เดินออกมาจากวิหารของมาเทเรียด้วยกัน

พี่แสง : เราอาจมีคำถามอยู่มากมาย แต่มีเรื่องหนึ่งที่กระจ่างแจ้ง มาเทเรียต้องการพลังของพวกเราเพื่อที่จะทำเป้าหมายให้สำเร็จ

เซซิล : งั้นตอนนี้ก็ยอมให้เธอไปก่อน

น็อคติส : ตอนนี้? (งงว่าทำไมถึงต้องยอม และทำไมถึงยอมแค่ตอนนี้)

เซซิล : ก็อย่างที่เขาพูดว่า มีเรื่องที่เรายังไม่รู้อีกมาก

พี่แสง : ต้องเดินทัพกันอย่างระมัดระวัง และลงมือทำให้เกิดผล (เข้าโหมดพระเอกซีเรียส เวิ่นเว้อคำคม)

------------------------

อีกทางด้านหนึ่ง ซีดาน สคอลล์ ทีน่า ไลท์นิ่ง ก็เดินออกมาจากวิหารของมาเทเรียด้วยกัน

ซีดาน : มาคิด ๆ ดู มาเทเรียดูไม่ค่อยรู้อะไรเกี่ยวกับพวกเราสักเท่าไหร่ เธอไม่ค่อยรู้เรื่องโลกของตัวเองเลยด้วยซ้ำ

ไลท์นิ่ง : แถมทั้งสองเทพก็ดันไม่รู้จักกันอีก บางทีสปิริตัสอาจจะไม่ใช่ศัตรูของพวกเราด้วยเหมือนกัน

ร้ายนิ่งเข้าขี้โหมดสงสัย ไม่เชื่อเทพไปเรียบร้อย...

ซีดาน : ก็อาจจะไม่ใช่นะ งั้นก็มาดูกันว่าเราจะทำอะไรในที่แห่งนี้กันได้มั่ง

ทีน่า : ฉันช่วยได้นะคะ ฉันสัมผัสถึงอสูรมายาในโลกแห่งนี้ได้ พวกเขาอาจจะเล่าเรื่องเทพให้เราฟังได้

สคอลล์ที่ยืนฟังมาพักหนึ่ง จู่ ๆ ก็หันหลังแล้วเดินแยกออกไปคนเดียว ทีน่าได้ยินเสียงฝีเท้าก็รีบหันไปดูและวิ่งตามไปถามสคอลล์

ทีน่า : สคอลล์เองก็จะไปหาพวกอสูรมายาด้วยใช่มั้ยคะ?

สคอลล์ : ไม่รู้สิ (べつに, whatever)

ทีน่าได้ยินก็เอียงคอแล้วแหงนมองหน้าสคอลล์ชัด ๆ สคอลล์ก็ลดสายตาลงมาจ้องหน้าทีน่าบ้าง

สคอลล์ : เอาเลย ทำหน้า (สงสัย) แบบนั้นไปสิ แล้วก็จะเป็นอยู่แบบนั้นแหละ

ทีน่า : งั้นก็ให้พวกเราไปด้วยสิ จะได้ไม่ต้องทำหน้าแบบนั้นไง!

*ถ้าเป็นเวอร์ชั่นญี่ปุ่น ทีน่าจะพูดว่า "จ้า... งั้นเรื่องคุ้มครองทุกคน ก็ฝากด้วยนะ" ซึ่งเป็นการมัดมือชกได้หนักกว่าซะอีก

สคอลล์ได้ยินก็ได้แต่ทำหน้าเหวอ.... เหวอที่วันนี้เพื่อนไม่ยอมปล่อยให้ไปเดินคนเดียว แถมยังมามอบหน้าที่คุ้มครองทุกคนให้อีก ซึ่งมันก็ขัดกับนิสัยมนุษย์โลกส่วนตัวสูงอย่างเขา

ขณะที่สคอลล์ยังยืนเหวออยู่ตรงนั้น... ซีดานกับไลท์นิ่งไลท์นิ่งก็เดินแซงหน้าไป แถมซีดานยังหันมาหัวเราะใส่อีก ราวกับจะบอกว่าวันนี้นายไม่รอดแล้ว...

สรุปความคืบหน้าตอนนี้...
- พี่แสงกับเซซิลยอมทำตามมาเทเรียไปก่อน
- อีน็อคท์ตกกระไดพลอยโจนตามไอ้คนข้างบน
- ป้าแชนท็อทไม่สนใจเทพ กำลังหาทางกลับบ้าน
- ทีดัสกับฟรีโอนีลตามป้าข้างบนไป
- คลาวด์ขอแยกไปทำธุระคนเดียว
- ยาชโทล่าออกสำรวจโลก
- หอมกับวานตามยาชโทล่าไป
- ทีน่า ไลท์นิ่ง ซีดาน ออกตามหาอสูรมายาเพื่อแสวงหาความจริง
- สคอลล์โดนมัดมือชกให้เป็นบอดี้การ์ดให้ไอ้ 3 คนข้างบน

------------------------


เหตุเกิดที่พื้นที่ส่วนหนึ่งในโลก Dissidia ซึ่งแปรเปลี่ยนรูปร่างไปตามความทรงจำของผู้คนบนโลกนี้ จนกลายมาเป็นฉากช่องแยกระหว่างมิติจำลองในความทรงจำของบัทซ์และเอกซ์เดธ

บัทซ์ซึ่งกำลังยืนเผชิญหน้าอยู่กับเอกซ์เดธ เขากำดาบไว้ในอุ้งมือด้วยท่าทีระแวดระวัง

เอกซ์เดธ : ฮ่า ฮ่า ฮ่า ในที่สุดมันก็มาอยู่ในกำมือของข้า พลังที่ยิ่งใหญ่ที่สุด พลังในการควบคุมภพภูมิจักรวาล! พลังแห่งความว่างเปล่า!

บัทซ์ : แกบังอาจ.... ทำอะไรกับทุกคน!!

*ต้นฉบับพูดว่า 皆を.... 貴様!! ซึ่งแค่นั้นก็เข้าใจแล้ว แต่มันแปลเป็นภาษาอื่นยาก ในอังกฤษเลยแปลยาวขึ้นเป็น What did you do to them, you bastard!?

บัทซ์พุ่งเข้าไปกระโดดฟาดดาบใส่เอกซ์เดธ แต่เอกซ์เดธก็รับไว้ได้อย่างสบาย บัทซ์จึงจัมป์ขึ้นไปบนฟ้า แล้วใช้หอกทิ้งดิ่งลงมา ทว่าเอกซ์เดธกลับวาร์ปหลบไปด้านหลังบัทซ์แล้วโจมตีเคาเตอร์ใส่เป็นพายุ บัทซ์ทำได้เพียงหลบหลีกไปมา

ณ จุดที่ไม่ห่างออกไปมากนัก เซฟิรอธที่ยืนซุ่มสังเกตการณ์อยู่ เมื่อเห็นว่าสบโอกาสแล้ว ก็ลอยขึ้นมา และจับดาบในท่าทะลวง...

เมื่อเห็นว่าบัทซ์หยุดอยู่กับที่เนื่องจากกำลังพยายามดันต้านการโจมตีของเอกซ์เดธอยู่ เซฟิรอธจึงพุ่งเข้าไปหมายจะเสียบบัทซ์ให้ร่วงในดาบเดียว (ลอบกัดชัด!!)

แต่แล้วคลาวด์ที่โผล่มาจากไหนไม่รู้ ก็ฟาดปัดป้องการโจมตีของเซฟิรอธออกไปได้ ทำให้เซฟิรอธกระโดดถอยหลบไปยังบริเวณพื้นที่ด้านหลังบัทซ์ คลาวด์จึงก็รีบจ้ำเข้าไปยืนเอาหลังชนหลังกับบัทซ์ ขณะที่เอกซ์เดธซึ่งยื้อกับบัทซ์อยู่ ก็วาร์ปถอยหลังออกมา

สถานการณ์ตอนนี้กลายเป็นว่าคลาวด์กับบัทซ์ยืนหันหลังชนกัน โดยมีเซฟิรอธและเอกซ์เดธ ล้อมอยู่คนละด้านของทั้งสอง

เซฟิรอธ : ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ คลาวด์

บัทซ์ : คลาวด์ นี่มันอะไรกันล่ะเนี่ย? เอ๋... คลาวด์? คลาวด์งั้นเหรอ!?

คลาวด์ : เมื่อจำฉันได้ ก็คงเดาได้สินะ

บัทซ์ : เรากลับมาที่นี่กันอีกแล้วเหรออออออ!?

เอกซ์เดธ : แก นี่มันหมายความว่ายังไง?

*เอกซ์เดธก็เรียกเซฟิรอธว่า 貴様

เซฟิรอธ : กำลังทดลองอะไรบางอย่างอยู่น่ะ

เอกซ์เดธยืนงงและยังไม่เข้าใจว่าเซฟิรอธจะทำอะไรของมัน เซฟิรอธก็ยิ้มหึไม่บอก จากนั้นก็ย่างสามขุมเข้ามาหาคลาวด์ เช่นเดียวกับเอกซ์เดธที่ชาร์จเวทมนต์เตรียมใช้กับบัทซ์

------------------------

หลังจากฟาดกันไป 1 ยก

เอกซ์เดธ : วางแผนอะไรอยู่กันแน่ เซฟิรอธ?

เซฟิรอธมือขึ้นฟ้าแล้วบอกว่า "อย่าพึ่งรบกวนสิ... ไม่ใช่เรื่องไม่ดีหรอก"

ทันใดนั้นน้องฟ้าก็แตกออก เกิดเป็นคลื่นมิติสีดำ ลอยไปลอยมาเต็มไปหมด บัทซ์กับคลาวด์เห็นก็ได้แต่ตกตะลึง ไม่เข้าใจว่าสิ่งที่เห็นนั้นคืออะไร ทว่าเอกซ์เดธกลับมีท่าทางดีใจและบอกว่า "เข้าใจแล้ว อย่างงี้นี่เอง!"

คลาวด์ที่ไม่รู้ว่าเซฟิรอธทำอะไรลงไป ก็คิดได้ว่าควรจะรีบขัดขวางไว้ก่อน จึงรีบทะยานเข้าไปฟาดดาบใส่เซฟิรอธ แต่เซฟิรอธก็รับไว้ได้

คลาวด์ : แกทำอะไร!?

เซฟิรอธ : ไม่ต้องห่วงหรอก ที่สุดแล้วนายก็จะเรียกหาสิ่งเดียวกัน

*ในอังกฤษจะใช้คำว่ามีเป้าหมายเดียวกัน (our goals will align) ซึ่งฟังแล้วผมเก็ตมากกว่า

เซฟิรอธตวัดดาบกลับไปอย่างรุนแรง ทำให้คลาวด์ปลิวกระเด็นไปกระแทกใส่บัทซ์ จนล้มกลิ้งล้มหงายร่วงกันไปทั้งคู่

เซฟิรอธ : เมื่อถึงตอนนั้น เราก็จะได้เจอกันอีกครั้ง

แล้วเซฟิรอธก็เดินหายเข้าช่องวาร์ปที่ปรากฏขึ้นข้างหลังไปทั้งอย่างงั้น เอกซ์เดธก็เดินตามไปด้วย ปล่อยให้บัทซ์กับคลาวด์ค่อย ๆ ลุกขึ้นมาและงงกันต่อไป

คลาวด์ยังงงอยู่ว่า ไอ้เรียกหาสิ่งเดียวกัน คืออะไรวะ!?

หลังจากนั้นคลื่นมิติสีดำก็กัดกินที่แห่งนั้น จนบัทซ์บอกว่ารีบโกยกันดีกว่า ก่อนที่ที่แห่งนี้จะถล่มลง... พูดยังไม่ทันขาดคำ ก็มีช่องวาร์ปปรากฏขึ้นบนพื้นสูบทั้งสองร่วงลงไป

------------------------

คลาวด์กับบัทซ์ตกลงมาเป็นฉากเมืองเอเดนซึ่งจำลองจากความทรงจำของไลท์นิ่ง

พอมาถึงก็หวิดโดนรถชน... แต่ก็รีบกระโดดหลบกันออกมาทั้งคู่

คลาวด์ : ที่ไหนเนี่ย?

บัทซ์ : (ไม่รู้โว้ย) มิติมันบิดเบี้ยวจนแว้บมา

บัทซ์ : ไปกันเถอะ แว้บอีกทีก็คงกลับได้เองแหละ

*ถ้าเป็นอังกฤษ จะแปลแถมว่าวางเดิมพันกับผักกีซาลได้เลยว่าแว้บหน้า จะพาพวกเรากลับไปได้

ทั้งสองเดินเท้าไปด้วยกัน แล้วจู่ ๆ บัทซ์ก็หันหลังกลับมา

บัทซ์ : ขอบใจนะ เรื่องที่ยังจำกันได้
คลาวด์ : หึ แต่ก็มีลืมไปบ้างแล้วล่ะ
บัทซ์ : ฮ่า ฮ่า ช็อคเลยนะเนี่ย
คลาวด์ : โทษละกัน แล้วนายเป็นไงบ้างล่ะ?
บัทซ์ : ฟังแล้วจะทึ่ง! ฉันจำได้ตั้งแต่เรื่อง (ที่มายังโลกนี้) คราวก่อนยันอาหารที่กินเมื่อคืน ทั้งที่คราวก่อนมันเบลอ ๆ แท้ ๆ

*บัทซ์หมายถึงตอนที่มาโลก Dissidia ครั้งก่อน มันมีเรื่องกลไกการชำระล้างความทรงจำ ทำให้จำเรื่องราวกันไม่ค่อยได้

คลาวด์ : ฉันก็เหมือนกัน
บัทซ์ : มันไม่เหมือนกับคราวก่อน แล้วคราวนี้เราจะกลับบ้านกันยังไงละเนี่ย?

พูดยังไม่ทันขาดคำ ก็มีช่องวาร์ปปรากฏขึ้นมาต่อหน้าทั้งสอง

คลาวด์ : ก็สร้างพลังงานที่เกิดจากการต่อสู้ขึ้นมา ที่เหลือก็ให้มาเทเรียจัดการ
บัทซ์ : ใครอ่ะ?
คลาวด์ : เทพองค์ใหม่น่ะ เดินไปคุยไปละกันนะ

*ในอังกฤษคลาวด์จะพูดว่าเป็นคอสมอสคนใหม่ เป็นการเปรียบเทียบโดยอ้างอิงถึงภาคเดิมนั่นเอง

------------------------

คลาวด์กับบัทซ์ เข้าช่องวาร์ปแล้วก็ไปโผล่ที่ฉากดวงจันทร์จำลอง จากนั้นก็วาร์ปอีกทีมาโผล่ที่อเล็กซานเดียวจำลอง

พอมาถึงบัทซ์ก็ทิ้งตัวลงกับพื้น

บัทซ์ : ที่นี่ก็ไม่ใช่อีก หลงกันจริง ๆ แล้วนะเนี่ย

คลาวด์ : ยังมีวิธีอยู่เฉย ๆ รอให้คนมาช่วยอยู่นะ

บัทซ์ : นี่มันพื้นที่ระหว่างมิติต่าง ๆ เลยนะ! (ใครจะมาช่วยได้!?)

ขณะที่บัทซ์นั่งจุ้มปุ้กสิ้นหวังกับพื้น คิดว่าคงไม่มีใครผ่านมาช่วยได้แน่แล้ว จู่ ๆ ฟ้าก็เปิดออก แล้วป้าแชทท็อท ก็หล่นลงมาจากฟ้า ตกตุ้บลงมาต่อหน้าทั้งสองกันง่าย ๆ ซะอย่างงั้น แล้วป้าก็ลุกขึ้นมาปัดฝุ่นให้ชุด พร้อมกับบ่นสาปแช่งช่องวาร์ปที่พาหลง

คลาวด์ก้าวท้าวข้างนึงเข้าไปหาป้า ทำให้ป้ารู้ตัวว่ามีคนยืนอยู่ด้านหลัง ป้าแชนหันมาชำเลืองมอง พอเห็นว่าเป็นพวกเดียวกัน ก็เก็กท่าเท้าเอวก่อนจะหันมาแบบสวย ๆ แล้วถามว่ามาเดินเล่นกันเหรอจ้ะ? (ทำเป็นยิ้มมั่นใจต่อหน้าเด็ก ๆ) บัทซ์ก็พยายามบอกว่าไม่ใช่แบบนั้นน้า

คลาวด์ : กลับไปหามาเทเรียกันไม่ได้น่ะ

*ในอังกฤษคลาวด์จะถามตรง ๆ ว่าช่วยพาพวกเรากลับไปหามาเทเรียได้มั้ย?

แชทท็อทยิ้มกระย่อง ร้องอ๋อหนึ่งที จากนั้นก็หันไปทางด้านหลัง ใช้มือชูคทาขึ้นไปยังพื้นที่ว่าง ส่วนมือซ้ายเอียงมือขึ้นมาป้องปากพอสวย ๆ ว่าแล้วช่องวาร์ปก็ปรากฏขึ้นมาต่อหน้าคทาของป้า แล้วป้าก็ทำท่าคน ๆ เหมือนร่ายมนต์ใส่ช่องวาร์ปนั้นอยู่

แชนท็อท : ไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้ สำหรับฉันคนนี้

*ในอังกฤษจะพูดว่า If not, who would I be? A peon without pedigree. ซึ่งประมาณว่าถ้าไม่ได้แล้ว คิดว่าฉันเป็นใคร คิดว่าเป็นขี้ข้าไร้สกุลรุ่นชาติหรือไร? ซึ่งแปลแล้วปวดตับ อ่านจากของญี่ปุ่นยังง่ายซะกว่า

บัทซ์ : รอดแล้วโว้ยยยย!!

บัทซ์ชูสองแขนขึ้นไชโย แล้วดีดตัวขึ้นมายืนอีกครั้ง

บัทซ์ : ยอดไปเลยคลาวด์ ว่าแต่ผู้หญิงคนนี้เป็นใครน่ะ?

คลาวด์ : เพื่อนน่ะ ซึ่งครั้งก่อนสามารถหลบหนีไปได้ด้วยตัวคนเดียว

*ในอังกฤษคราวจะบอกว่าเป็นเพื่อนที่รู้จักที่แห่งนี้ดี... พอที่จะหนีออกไปได้ (อ้างถึงเรื่องในภาค PSP ซึ่งป้าสร้างทฤษฎีทำลายเกทย์เพื่อเรียกช่องว่างมิติออกมา เปิดทางหนีไปจากโลกนั่นเอง)

จากนั้นคลาวด์ก็ยืนเหม่อคิดอะไรบางอย่าง จนบัทซ์ต้องโบกมือผ่านหน้า คลาวด์เลยหันมาบอกว่ามีเรื่องที่ต้องไปเช็คเยอะแยะเลย รีบไปกันดีกว่า

ว่าแล้วคลาวด์ แชนท็อทโตะ และบัทซ์ ก็เดินเข้าช่องวาร์ปที่ป้าเปิดให้เองไป... เพื่อกลับไปยังวิหารของมาเทเรีย

เดี๋ยวนะ.... สรุปว่าการเดินทางไปทำธุระส่วนตัวของอีคลาวด์... มันได้อะไรขึ้นมาบ้างเนี่ย!??

------------------------


*ตอนนี้แปลจากภาษาอังกฤษเป็นหลัก

ชานเมืองนาเช่ ป้าแชนท็อทโตะกำลังเดินนำหน้าทีดัสและฟรีโอนีล โดยป้าแกก็อธิบายกึ่งบ่นถึงหนทางออกจากโลก Dissidia นี้ไปเรื่อย

แชนท็อท : หากต้นเหตุแห่งปัญหาคือพลัง-เราตามไปยังต้นตอของมันก็พอเพียง

ระหว่างที่ป้าบ่นไปเรื่อย สองหน่อข้างหลังก็ยืนซุบซิบนินทากัน

ฟรีโอนีล : รูปร่างก็หยั่งกับเด็ก...

ทีดัส : แต่กลับแผ่รัศมีราวกับหลุดออกมาจากฝันร้าย

ทันใดนั้นจู่ ๆ คุณป้ามหาภัยก็หันขวับมา ลอยตัวขึ้น แล้วเอาคทาชี้หน้าทั้งสอง

แชนท็อท : ฟังสิทั้งสอง-แกล้งลองทำหูทวนลมอยู่รึเปล่า?

ฟรีโอนีล : ขอโทษนะ เราไม่ได้จะทำเมินหรอก

แชนท็อท : อย่างน้อยก็หยุดพูดพร่ำเพรื่อ-เมื่อถึงเวลาต้องต่อสู้ละกัน

บริเวณไม่ห่างออกไปนัก จู่ ๆ ก็มีช่องวาร์ปปรากฏออกมา เอกซ์เดธโผล่ออกมาจากช่องนั้น พอเห็นพวกทีดัสก็หัวเราะหาว่าเป็นแมงเมาบินเข้ากองไฟ จากนั้นเอกซ์เดธก็ยิง Delta Attack ใส่ทั้งสาม

ขณะที่ทีดัสและฟรีโอนีล ขยับตัวหลบไปยังด้านข้างเล็กน้อยพอให้พ้นการโจมตี แต่ป้าแชนท็อทกลับยืนใช้เวทย์ต้านรับการโจมตีนั้นได้ โดยไม่ได้รับบาดเจ็บใด ๆ ทั้งสิ้น

แชนท็อท : ให้การต้อนรับอย่างหยาบช้า-มันน่าคิดว่าถูกสั่งสอนมาเช่นไร

เอกซ์เดธ : ปากคอเราะร้าย วาจาคมคายไม่แพ้ฟัน

*ถ้าเป็นญี่ปุ่น เอกซ์เดธจะพูดแค่ว่าเป็นศัตรูที่ทัดเทียมพลังเวทย์ของข้าได้สินะ

ว่าแล้วป้าก็ขยายร่างขึ้นมากอดอกหัวเราะข่ม... ในขณะที่ฟรีโอนีลก็เปิดฉากยิงธนูใส่เอกซ์เดธ ขณะที่ทีดัสคนตีหมา ต้องออกวิ่งไล่จับเพื่อจะฟาดเอกซ์เดธให้โดน

ตอนนั้นเองฟรีโอนีลสังเกตเห็นช่องวาร์ปอีกช่องซึ่งมีเคฟก้าปรากฏตัวขึ้นมา เคฟก้ามองไปทางเอกซ์เดธแล้วบอกว่าคนบ้านี่ก็ไม่รู้จักหยุดพักบ้างเลยน้า~

ฟรีโอนีลเห็นสบโอกาสเลยพุ่งเข้าไปวาดดาบจะฟาดใส่เคฟก้า แต่เคฟก้ากระโดดเหยงหลบไว้ได้ แล้วรีบวิ่งไปทางเอกซ์เดธ เคฟก้าอาศัยทีเผลอ จับเอกซ์เดธและทีดัสกระชากหายเข้าช่องวาร์ปไปพร้อมกัน

ช่องวาร์ปยังคงเปิดอยู่อย่างนั้น ฟรีโอนีลตกใจที่จู่ ๆ ทีดัสก็เสียท่าโดนจับไป เขารู้ว่าไอ้ช่องวาร์ปที่เชื้อเชิญให้เขาตามไปช่วยนั่น ดูยังไงมันก็กับดักชัด ๆ

ฟรีโอนีล : ต้องบอกว่า ดูมุมไหนมันก็กับดักชัด ๆ

แชนท็อท : แล้ว?

ฟรีโอนีล : จะไปด้วยกันมั้ย?

*ในญี่ปุ่นฟรีโอนีลจะบอกว่า "ผมคิดว่ามันเป็นกับดัก เพราะฉะนั้น... ไปกันเถอะ" ซึ่งฟังดูฮีโร่กว่า

แชนท็อท : แผนนี้อาจฟังดูผลีผลาม-แต่โปรดตามดิฉันมาได้เลย!

ว่าแล้วทั้งสองคนก็กระโดดเข้าช่องวาร์ปไป

------------------------

อีกฟากหนึ่งของช่องวาร์ป เอกซ์เดธ ทีดัส โดนเคฟก้าลากมาโผล่ที่แพนเดโมเนียมที่จำลองมาจากความทรงจำของฟรีโอนีลและอุโบ้วววว~

เอกซ์เดธ : อย่ามาขัดสิ!

เคฟก้า : พอ พอ พอ มาช่วยกันทำลายโลกนี้ให้หายไปในบรึ้มเดียวดีกว่าน่า~! เธอก็เห็นดีเห็นงามด้วยใช่มั้ย อัลตี้? เขาของเธอนั่นช่างดูชั่วร้ายจับใจซะจริง~!

อัลติมิเซีย : (เมื่อทำลายโลกนี้ในบรึ้มเดียว) พลังงานมหาศาล ก็จะถูกปลดปล่อยออกมา

ตอนนั้นเองธนูจากปลายศรของฟรีโอนีลก็พุ่งผ่านกลางเอกซ์เดธและเคฟก้าไป ฟรีโอนีลและแชนท็อทที่วาร์ปตามเข้ามาสมทบรีบถามทีดัสว่าเป็นอะไรมั้ย ทีดัสที่เห็นว่ารอดตายแล้วก็รีบจ้ำสุดฝีตีน ตามไปอยู่กับฟรีโอนีล

ทีดัส : ฟู่ววว นึกว่าจะไม่มาแล้วซะอีก!

แชนท็อท : เกือบได้กลายเป็นเครื่องเคียง-ในงานเลี้ยงแล้วสินะ...

ป้าแชนท็อทค่อย ๆ ลอยลงยืนนำหน้าพวกทีดัส ก่อนจะกล่าวเสริม

แชนท็อท : หากจะพูดให้เข้าใจ-เราถูกใช้เป็นเหยื่อล่อ

ทีดัส : เหยื่อล่อ!?

แชนท็อท : ทางนั้นคงหลงลืมว่าเมื่อดิฉันอยู่ข้างนี้-แผนการที่เขินตื้น-ย่อมต้องพังครืนลง!

อัลติมิเซีย : คิดจะขัดขวางการเปิดเกทรึไง?

แชนท็อท : (หัวเราะ) เสื้อผ้าอาภรณ์ยันความคิดช่างน่าขัน-ดิฉันคงได้หัวเราะร่วนเป็นวันแน่

อัลติมิเซีย : หึ!

แชนท็อท : รู้ตัวว่าเป็นเด็กน้อยก็ไปเข้านอน-จะสอนให้ว่าเรื่องเปิดเกท-ควรปล่อยเป็นของผู้มีฤทธิ์เดชความสามารถ

อัลติมิเซีย : อยากจะเล่นเป็นตาอยู่งั้นเหรอ?

แชนท็อท : ดิฉันกำลังบอกรับงานนี้-ทำแผนการที่ผิดพลาดไปแล้ว-ให้แคล้วคลาดและเกิดผล

อัลติมิเซีย : ช่างยะโสโอหัง มั่นใจในตัวเองจริงเชียว ไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไมทุกคนตีตัวออกห่าง ไม่มีใครคบ!

แชนท็อท : สับสนคนอื่นกับตนเองหรือไร-แสนอนาถใจให้ความอนาถา-เวทนาในชีวิตคุณ

ระหว่างนั้นพวกทีดัส ฟรีโอนีล เอกซ์เดธ และเคฟก้า ได้แต่ยืนเป็นควายงง มองหน้ากันไปมาแล้วไม่รู้จะแทรกยังไง อาจจะกลัวโดนด่าไปด้วย...

อัลติมิเซีย : เสียใจด้วยที่หูตึงไปแล้วสินะ แต่ก็อายุตั้งปูนนี้แล้ว

แชนท็อท : หากว่าฟังแค่นี้ยังไม่เข้าใจ-หาใช่ว่าคุณเป็นเด็กอมมืองั้นหรือ

อัลติมิเซีย : อย่างงั้นเหรอ? ชักอยากจะเห็นริมฝีปากที่แสนอวดดีนั้นลงไปจูบฝุ่นซะแล้วสิ

แชนท็อท : ประเดี๋ยวคุณจะต้องสำนึก-เมื่อตรึกตรองคิดได้ว่า-ดันแส่หาเรื่องผิดคน

อัลติมิเซีย : แกต่างหากต้องสำนึกที่ประเมินฉันผิดไป!

------------------------

ทั้ง 6 คนเข้าต่อสู้กัน แต่หลังจากสู้กันไปได้สักพักหนึ่ง ช่องวาร์ปก็เปิดออก ทำให้ป้าแชนรีบทะยานบินเข้าหาเกท เอ่อ ช่องวาร์ปนั่นแหละเป็นคนแรก ทีดัสกับฟรีโอนีลก็รีบวิ่งจ้ำตามมา แม้อัลติมิเซียกับเคฟก้าพยายามช่วยกันยิงเวทย์ขัดขวาง แต่ป้าแชนท็อทก็หันมาปัดป้องไว้ได้ทั้งหมด

ทว่าต่อหน้าช่องวาร์ปนั้น จู่ ๆ ก็มีคลื่นสีดำพุ่งพวยขึ้นมาขวางสกัดกั้นป้าแชน ทีดัส ฟรีโอนีล ไม่ให้พุ่งเข้าไปในช่องวาร์ปได้ ทั้งสามผงะตกใจ และกระเด็นออกมา

แล้วพวกอัลติมิเซียที่เหมือนจะเข้าใจว่าคลื่นสีดำนั้นคืออะไร ก็พูดออกมา

เอกซ์เดธ : เจ้าอสูรกายจอมตะกละตะกลามเอ้ย!!

ทีดัสลองพยายามผลัก ๆ เคาะ ๆ คลื่นสีดำที่โผล่มาขวางทางพวกเขาไม่ให้เข้าเกทวาร์ปได้ แต่ก็ไม่เป็นไร

แชนท็อท : ความพยายามโง่ ๆ นั่นควรจะเลิกล้ม-ก่อนจะจมปลักในวังวนแห่งความสูญเปล่า

ทางฝั่งวายร้าย เคฟก้าก็ทำท่าโบกมือบ๊ายบายทีดัสและแชนท็อท ฟรีโอนีลเลยฉวยโอกาสพุ่งมาเสียบแต่เคฟก้าก็หลบได้

ฟรีโอนีล : แกจะไปไหน?

เคฟก้า : ไม่ได้โง่อย่างที่เห็นภายนอกนี่นา!

ว่าแล้วเคฟก้าก็ปาบอลพลังใส่ฟรีโอนีล ทำให้ทีดัสละความสนใจจากคลื่นสีดำ และพุ่งเข้าไปช่วยทางฟรีโอนีลแทน ขณะที่ป้าแชนท็อทก็ยังคงยืนครุ่นคิดอยู่หน้าคลื่นปริศนาสีดำ

แชนท็อท : ถึงหาเกทใหม่ไปก็เท่านั้น เดี๋ยวมันก็เวียนวนกลับมา....

ระหว่างที่ป้าแชนยืนกินแรง ทีดัสก็กำลังรับมืออยู่กับอัลติมิเซียและเอกซ์เดธ ระหว่างที่ทีดัสกำลังเสียเปรียบ ก็มีอุกกาบาตตกจากฟ้า (เจคท์สั่งมา) พุ่งลงมาทางด้านหลังของสองวายร้าย ช่วยชีวิตทีดัสไปได้หวุดหวิด

ป้าแชนท็อทเดินไปเดินมา ทำท่าใช้ความคิด แต่แล้วก็มีเกทวาร์ปเปิดขึ้นที่พื้น ทำให้ป้าที่ไม่ทันระวัง พลัดร่วงตกหายเข้าไปในเกท

ด้านฟรีโอนีลที่ตกใจกับการที่ป้าสูงวัยล้มหายเข้าไปในกลีบเมฆแบบโง่ ๆ ....ก็พลาดจนโดนเคฟก้าซัดกระเด็นเข้าช่องวาร์ปบนฟ้าไป (ภายในช่องวาร์ปมีเจคท์ออกมารับฟรีโอนีลไว้) ส่วนทีดัสจู่ ๆ ก็โดนช่องวาร์ปอีกช่อง สูบจากทางด้านหลังไป....

เกมนี้นี่มัน... นึกอยากจะเปลี่ยนฉาก ก็เสกช่องวาร์ปขึ้นมาหลาย ๆ ช่อง แล้วก็ซวบเอาดื้อ ๆ เลย...

------------------------


*ตอนนี้ยำสคริปต์ญี่ปุ่น-อังกฤษ แล้วแต่ว่าผมชอบประโยคของภาษาไหนมากกว่ากัน

ตัดภาพไปทางก๊กเจ้าชายน้อย พระราชามือใหม่ และอัศวินที่ไม่ได้เกิดมาจากท้องแม่

พี่แสงก้าวเท้านำหน้ากลุ่มตามสไตล์ผู้นำ ส่วนน็อคติสที่โฮมซิคกำเริบ... พูดบ่นขึ้นมาระหว่างเดินทางเคียงข้างเซซิล

น็อคติส : มีคนรอฉันอยู่น้า~ ตอนจากมา สถานการณ์ไม่ค่อยจะสู้ดีด้วย

เซซิล : แถมไม่มีวิธีที่จะติดต่อกับพวกเขาด้วย

น็อคซิส : เป๊ะ! (ชี้ไปทางเซซิล)

แต่แล้วเซซิลกันมามองหน้าน็อคติส แถมปั้นหน้าจริงจัง

เซซิล : แต่พวกเราทุกคนก็เหมือนกัน ตอนนี้พวกผมก็คงเป็นห่วงอยู่

น็อคติสได้ยินก็ยกมือซ้ายขึ้นเกาหัวแกรก ๆ ที่จริงเจ้าตัวก็แค่อยากระบายความรู้สึกเป็นห่วงพวกอิกนิส กลาดิโอ อีพรอมท์ และลูน่า ขึ้นมานิด ๆ หน่อย แต่กลายเป็นโดนตอกว่าพวกที่ติดอยู่ในโลกนี้คนอื่น ๆ ก็กำลังเผชิญกับสถานการณ์เดียวกัน

แล้วพี่แสงที่ฟังอยู่ก็หันมาแสดงความเห็นบ้าง

พี่แสง : พวกเรา ต่างก็มีที่ที่จะต้องกลับไป... (ในอังกฤษจะบอกว่าพวกเราต่างก็มีบ้าน)

เซซิล : คุณก็ด้วยเหรอ?

พี่แสง : ใช่ (พยักหน้าจริงจัง)

พี่แสง : แต่ต่อให้ข้าไม่มี มันก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ยังไงข้าก็จะตอบรับคำร้องขอของเธอ โดยไม่ลังเล

พี่แสง : ขอโทษที่ทำให้พวกเจ้า ต้องเข้ามาพัวพันด้วย

พี่แสงพูดด้วยสีหน้านิ่งเรียบ แต่แฝงด้วยความจริงจัง ปกติแกก็พูดน้อยและเพ้อแต่คำคมออกมาอยู่แล้ว พอมาพูดขอโทษแบบนี้ รู้เลยว่าแกกลั่นมาจากใจจริง

น็อคติสทิ้งช่วงนิดหนึ่ง ก่อนจะหันออกไปด้านข้าง (ไม่ยอมสบตา)

น็อคติส : ไม่ใช่ความผิดของนายสักหน่อย

พี่แสงพยักหน้ารับ ก่อนจะกลับหลังหันและก้าวเดินต่อไป

เซซิล : ถึงแม้จะเจอกับคนที่ไม่ค่อยเข้าใจ...

น็อคติส : หืม?

เซซิล : แต่แล้วกลับพบว่าสิ่งที่สำคัญสำหรับพวกเขา ในไม่ช้าก็กลายเป็นสิ่งสำคัญสำหรับเราด้วยเหมือนกัน

เซซิลพูดถึงความในใจของพี่แสง พลางหันมายิ้มให้น็อคติส ส่วนน็อคติสก็หันไปมองทางพี่แสง

น็อคติส : เขาคิดแบบนั้นเหรอ?

เซซิล : พูดให้เข้าใจง่าย ๆ ก็ตามนั้น

*เซซิลหมายถึงพี่แสงอาจไม่เข้าใจมาเทเรียนัก แต่ก็รู้ว่ามาเทเรียปกป้องหวนแหนโลกใบนี้ ดังนั้นเมื่อโลกใบนี้เป็นสิ่งสำคัญสำหรับเธอ มันก็จะเป็นสิ่งสำคัญของพี่แสงด้วยเช่นกัน

*ในเวอร์ชั่นญี่ปุ่นเซซิลจะบอกว่าพี่แสงไม่สนว่าตัวเองจะเป็นยังไง สิ่งที่คนสำคัญหวงแหน ยังไงพี่แสงก็จะไม่ยอมปล่อยให้สูญลง

น็อคติสยกมือขึ้นมาโอบรอบหัวตัวเอง พยายามทำความเข้าใจยอมรับ และกล่าวต่อไป

น็อคติส : ยังไงซะก็เหมือนที่เขาพูดนั่นแหละ ถ้าเรามัวแต่ยืนอยู่ที่นี่ ก็จะไม่มีอะไรเสร็จสักอย่าง

เซซิลตอบรับเห็นด้วย แล้วทั้งสองก็เดินตามพี่แสงไป

"เซซิล"

"น็อคติส"

"ขอบใจ"

*ถ้าเป็นญี่ปุ่นจะสลับลำดับเป็น "ขอบใจนะ เซซิล น็อคติส" แต่ผมชอบให้กริยาอยู่ท้ายประโยคมากกว่า

พี่แสงหันมากล่าวขอบคุณทั้งสองที่เข้าใจเขาเช่นกัน

เซซิล : ด้วยความยินดี
น็อคติส: เอ่อ ฝากตัวด้วยนะ

*ถ้าเป็นอังกฤษเซซิลกับน็อคติสจะบอกว่าไม่ต้องคิดอะไรหรอก ช่างมันเถอะ แต่ของญี่ปุ่นน็อคติสจะบอกว่า よろしくな ซึ่งแสดงความพร้อมที่จะเดินทางร่วมหัวจมท้ายไปกับพี่แสงแล้ว

พี่แสง : รีบไปกันเถอะ

แล้วทั้งสามก็เดินก้าวเข้าช่องวาร์ปไปด้วยกัน

------------------------


สลับกลับมาทางฝั่งทีดัส ที่ตกช่องวาร์ปลงมายังน่านฟ้าของเกาะบีไซด์จำลอง ทีดัสที่ได้สติทัน ก็พลิกตัวกลางอากาศ แลนดิ้งลงได้อย่างสวยงาม

เช่นเดียวกับเจคท์ที่แบกร่างฟรีโอนีลอยู่ ก็ลงจอดข้าง ๆ ได้อย่างนิ่มนวลเช่นกัน

เจคท์ : รอพ่ออยู่นานเลยใช่มั้ยล่ะ?

ทีดัส : หูยย ใครเขารอเตี่ยกัน!

เจคท์ : แต่เตี่ยคนนี้แหละ ที่เป็นคนช่วยชีวิตแกไว้!

ทันใดนั้น เอกซ์เดธ เคฟก้า และอัลติมิเซีย ที่วาร์ปตามเข้ามาในเกาะบีไซด์ก็โจมตีใส่ทั้งสาม แต่พวกเขาก็หลับได้ทัน

เอกซ์เดธ : เจ้างูฟ้าน่ารังเกียจ!! หัดมีมารยาทซะบ้าง!!

ฟรีโอเนีล : ท่าไม่ดีละ! แชนท็อทโตะไม่อยู่แล้วด้วย!

ฟังแล้วผมก็อดคิดไม่ได้ว่า พระเอกอย่างพวกนายเห็นป้าเป็นร่มโพธิ์ร่มไทรกันจริง ๆ เหรอ?

ทีดัส : ห๊ะ? ไม่อยู่!? แล้วไปไหนล่ะ!?

เจคท์ : เพื่อนหายไปคนนึงเหรอ?

เอกซ์เดธ : ทำไมทุกคนต้องป่วนแผนการของข้าด้วย!? (ก่อนหน้านี้ก็เซฟิรอธ เคฟก้า ชินริว แล้วก็เจคท์)

เจคท์ : ท่าทางเด็กน้อยนั่นคงอยากกระจองอแงใส่พวกเรา... (เรียกเอกซ์เดธเป็นเด็กน้อย)

ทีดัส : งั้นมาเริ่มครึ่งหลังกันเลย!

------------------------

ระหว่างที่ต่อสู้กัน ตัวเขมือบมิติ งูฟ้า หรือชินริวนั่นแหละ ก็กลืนกินเกาะบีไซด์จำลองไปเรื่อย ๆ

ฟรีโอนีล : ไม่หยุดเลยโว้ย

เคฟก้า : ได้เวลาบอกลากองขยะไปยังทุ่งหญ้าเขียวขจีแล้ว! ลาก่อย!!

ว่าแล้วเคฟก้าก็ปล่อยไฟออกจากตูด... จากตูดจริง ๆ หนีเข้าช่องวาร์ไป

อัลติมิเซีย : จงหายไปพร้อมกับโลกนี้ซะ

ว่าแล้วอัลตี้ก็หนีไปด้วยอีกคน

พวกฟรีโอนีล ทีดัส เจคท์ เห็นท่าไม่ดี ก็มองหาช่องวาร์ปเพื่อจะหนีไปบ้าง

ทั้งที่ทุกคนกำลังหนีป่าราบ กลับมีเพียงเอกซ์เดธที่ยืนมองมิติที่บิดเบี้ยวอยู่อย่างสงบนิ่ง เอ่อ... เฮียแกใส่เกราะไว้ก็เลยดูสงบ แต่ในใจกำลังคุได้ที่เลย

เอกซ์เดธ : แม้แต่ชื่อของแก ก็จะไม่รอดพ้นความเกรี้ยวกราดของข้า

ว่าแล้วเอกซ์เดธก็เปิดช่องวาร์ปมิติหนีไปเอง ไม่ใช่เกทวาร์ปสีขาวแบบปกติที่ชาวบ้านใช้กัน

ด้านฟรีโอนีล โผเข้าช่องวาร์ปอีกทางหนีไปแล้ว แต่เจคท์ยังดูอึกอักที่จะตามเข้าไป

ทีดัส : ไม่ไปด้วยกันเหรอ?

เจคท์ : เอ่อ... อยากจะไปดูรอบ ๆ ก่อนน่ะ

ทีดัส : งั้นเหรอ อืม... เข้าใจละ

ว่าแล้วเจคท์ก็ยื่นมืออกมาหาทีดัส แบบเดียวกับที่ยื่นมาแตะมือกันในตอนจบ FFX

เจคท์ : อื้อ เจอกัน!

แล้วทั้งสองก็แท็คมือกันเหมือนในวันวานอีกครั้ง

------------------------

ตัดมาทางกลุ่มยาชโทล่า วาน และหัวหอม ที่วาร์ปมาถึงเมืองมิดการ์จำลอง ที่สร้างจากความทรงจำของคลาวด์และเซฟิรอธ

หัวหอม : ที่ไหนกันเนี่ย?

ยาชโทล่า : อ่า... หมายความว่าความทรงจำนี้เป็นของคนอื่นสินะ?

วานที่ดูตื่นเต้น ก็วิ่งออกนำไปสำรวจคนแรก

หัวหอม : ระวังตัวด้วยนะครับ

ยาชโทล่า : รู้อยู่แล้วจ้า

หัวหอม : ไม่รู้ว่าจะมีอะไรรออยู่บ้าง

ยาชโทล่า : แล้วเขารู้เหรอ? (มองไปทางวานที่วิ่งซนไปทั่ว)

หัวหอม : ไม่ต้องห่วงวานหรอก คนนั้นเขาทำอะไรตามใจตัวเอง

ยาชโทล่า : เป็นคนที่ร่าเริงจังนะ (หัวเราะ)

หัวหอม : อย่างนั้นแหละ

วาน : ดูแล้วปลอดภัยหายห่วงงง~~~ (โบกมือ)

หัวหอม : ภายใต้ความกระตือรือร้นนั้นก็มีความระมัดระวังอยู่บ้างแหละนะ

หัวหอมกับยาชโทล่าเดินตามไปสมทบกับวาน

วาน : เชื่อเปล่าว่า ที่นี่ไม่ใครอยู่เลยนอกจากพวกเรา?

ยาชโทล่า : จริงเหรอ?

วาน : ดูไม่ผิดหรอก และฉันก็ไม่ใช่พวกตาขาวด้วย

ที่จริงวานคงพูดแบบไม่คิดอะไรเลยตามประสาของเขา แต่หัวหอมที่เป็นคนคิดเยอะ ก็ไปตีความว่าวานแซะเขาว่าเป็นคนตาขาว

หัวหอม : ห๊ะ!!

ยาชโทล่า : แสดงว่าเจ้าของความทรงจำไม่จำเป็นต้องอยู่ในที่ ๆ โลกนั้นปรากฏออกมาสินะ

หัวหอม : แต่ความทรงจำนั้นก็คงเป็นของพวกเราคนใดคนหนึ่ง

วาน : หืม นี่มันเรื่องอะไรเนี่ย (ไม่เก็ตอยู่คนเดียว)

ยาชโทล่า : ฉันเดาว่ามาเทเรียใช้พิภพย่อย ๆ (microcosms) เหล่านี้ในการขยายโลก พวกเราจึงถูกเรียกตัวมา

หัวหอม : พูดอีกอย่างคือ ที่แห่งนี้กิดจากความทรงจำของใครบางคนที่เธอพามาที่นี่

วาน : โฮ่ววววว

หัวหอม : คุณ... เข้าใจรึยัง?

วาน : อืมมมมมมมม... เจ๋งไปเลย!

หัวหอม : เอ่อ... อ่า... (ตกลงมันเข้าใจเปล่าวะ!?)

วาน : ถ้ามีคนเยอะขึ้น ก็จะมีที่ให้สำรวจเยอะขึ้น

ยาชโทล่า : น่าหลงใหลใช่มั้ยล่ะ?

วาน : ถ้าเธอเรียกทุกคนมารวมกันที่นี่... อ๊ะ! เพราะงั้นมาเทเรียถึงเรียกพวกเรามาพร้อมกันเยอะแยะเลยสินะ!

วาน : แต่เอ๊ะ? ฉันนึกว่าเราถูกเรียกมาเพื่อสู้กันซะอีก

ยาชโทล่า : นั่นก็ด้วย แต่แท้จริงแล้วที่เรียกพวกเรามาก็ด้วยเหตุผล 2 อย่าง

ยาชโทล่า : ความทรงจำของพวกเราเป็นตัวกระตุ้นให้โลกขยายออก ส่วนพลังงานที่เกิดจากการต่อสู้ก็ช่วยรักษามันไว้

หัวหอม : งั้นเมื่อพวกเราอยู่ที่นี่แล้ว เราก็ต้องคิดถึงเรื่องการเก็บสะสมพลังงานสินะ

วาน : งั้น งานของเราก็เสร็จไปครึ่งนึงละ

หัวหอม : ห๊ะ? พูดง่ายไปหน่อยล่ะมั้ง...

วาน : เดี๋ยวก่อนสิ ยังมีอะไรให้ดูอีกเยอะเลย (หันขวับไปมองทางอื่นอย่างสนใจ) จะไปไหนต่อดีน้า~~~

หัวหอมถอนหายใจแล้วทำหน้าเบื่อโลกออกมา แต่ก็ต้องเดินตามวานที่ก้าวนำไปก่อนแล้วอย่างเลี่ยงไม่ได้

บัดนี้ชาวบ้านที่คิดอะไรง่าย ๆ ... อัศวินน้อยที่คิดเยอะเกินตัว... และน้องแมวที่คิดเยอะกว่าแต่ก็มีวุฒิภาวะมากกว่า พร้อมจะเดินทางไปด้วยกันแล้ว

------------------------


ณ ฉากเมืองราบานัสต้าซึ่งจำลองขึ้นจากความทรงจำของวาน เคฟก้ากำลังนั่งจุ้มปุ้กอย่างเบื่อหน่าย เหมือนกำลังรออะไรบางอย่าง แต่มือก็คอยร่ายเวทย์ยิงทำลายเมืองไปด้วย

เคฟก้า : ให้ตายเถอะ...

ทันใดนั้นก็มีคลื่นมิติสีดำปรากฏขึ้นข้าง ๆ ตัวเคฟก้า ทำให้เจ้าตัวสนใจและร้องโหวววขึ้นมา

วาน : เฮ่ย!! ทำอะไรอยู่!?

เคฟก้าหันไปมองทางต้นเสียงเห็นพวกวาน ยาชโทล่า และหัวหอมก็ดีใจ และกระโดดดึ๋งไปต้อนรับข้างหน้าพวกเขา

เคฟก้า : อะไรดีล่ะ? ถามอะไรโง่ ๆ ก้อ.... ก็จะได้คำตอบโง่ ๆ !! (ในเวอร์ชั่นญี่ปุ่นเคฟก้าก็จะกวนตีนตอบไม่รู้สิ ทำนองเดียวกัน)

ยาชโทล่า : รู้จักเขารึเปล่า? (หันไปถามหัวหอม)
หัวหอม : เกรงว่าจะใช่

วานเริ่มสังเกตเห็นสภาพฉากเมืองราบานัสต้าที่กำลังควันขึ้นโขมงจากการยิงเวทย์เผาของเคฟก้า แล้ววานก็เริ่มสลดใจที่ต้องมาเห็นฉากบ้านเกิดตัวเองถูกเผา แม้ว่าเขาจะรู้ว่ามันไม่ใช่ราบานัสต้าจริง ๆ ก็ตาม

วาน : เมืองของฉัน....

เคฟก้า : เข้าใจละ! งั้นก็จะทำลายมันซะ! ดูสิว่าแกจะรู้สึกยังไง!? (เสียงยียวนดูดตีน)

เคฟก้าพูดด้วยเสียงดูดตีน ว่าแล้วก็ชูมือขึ้นฟ้าชาร์จบอลพลังงานสีดำขึ้นมา เตรียมจะทุ่มโจมตีให้เมืองวอดวาย

เคฟก้า : โกรธรึเปล่า...? ต้องโกรธแน่เลย!

วานทำท่าพร้อมจะโผเข้าไปตบกบาลเคฟก้าแล้ว แต่หัวหอมรีบตะโกนบอกว่าอย่าหลงไปตามคำยั่วยุของมันสิ!

วาน : เข้าใจ และรู้ดีว่านี่ไม่ใช่เมืองราบารัสต้าที่แท้จริง แต่ว่า!!

เคฟก้าเพิ่มพลังเข้าไปในบอลพลังงานสีดำที่กำลังชาร์จอยู่จนลูกบักเอ้กและเตรียมทุ่มลงมาก เจ้าตัวยังกวนว่าขอให้สุภาพบุรุษและสุภาพสตรีทั้งหลายจับตาดูกันให้ดี

ขณะที่เคฟก้ากำลังจะทุ่มบอลพลังงานใส่เมือง ยาชโทล่าก็ยิงเวทย์ใส่เคฟก้าอย่างรุนแรง ทำให้เคฟก้าต้องทุ่มบอลพลังงานใส่พลังเวทย์ที่ถูกยิงออกมา เพื่อให้หักล้างกัน

ยาชโทล่า : ไม่รู้จักคุณธรรมหรืออย่างไร? ถึงสุขใจกับการทำลายล้างบ้านเกิดเมืองนอนของผู้อื่น... นั่นคงเป็นเหตุผลอันหนักแน่นพอที่จะกำราบแกลง

เคฟก้า : แล้วเจ้าจะต้องกลืนน้ำลายตัวเอง (ยิ้มกริ่ม)

------------------------

วาน ยาชโทล่า และหัวหอม ร่วมกันต่อสู้กับเคฟก้าและร่างจำแลง หลังจากสู้กันไปได้สักพัก เคฟก้ากลับบอกว่า "พอแล้ว เท่านี้ก็พอแล้ว" และคลื่นมิติสีดำก็กระพรือขึ้นรอบบริเวณนั้น

เคฟก้า : ไม่นะ นี่มันตัวเขมือบมิติ!! จะทำยังไงกันดี~~!? แต่ส่วนตัวฉันรู้ว่าฉันจะ.... เผ่น!!!

ว่าแล้วเคฟก้าก็กลับหลังหัน ปล่อยไฟออกจากตูด หนีไปด้วยความเร็วแสง

วาน : เฮ่ยเดี๋ยว!!
หัวหอม : เราเดินมาติดกับของมันเต็ม ๆ
ยาชโทล่า : ณ ที่แห่งนี้ ไม่มีพลังงานมากพอที่จะป้องกันเราได้
หัวหอม : เราจะปล่อยให้โลกถูกกลืนไปงั้นเหรอ!?
วาน : ทุกอย่างหายไปต่อหน้าต่อเลย
หัวหอม : คิดว่าคนอื่นก็น่าจะเจอแบบเดียวกันอยู่... แย่จริง
วาน : เราต้องทำอะไรได้บ้างสิ ใช่มั้ย? ยาชโทล่า?

ยาชโทล่านิ่งไปชั่วขณะ ก่อนจะตอบกลับมาว่า ในตอนนี้ไม่มีหนทางอื่นนอกจากไปขอความช่วยเหลือ

วาน : งั้นก็ไปเลยสิ!
ยาชโทล่า : เราต้องถอยกันก่อน

หัวหอม : เราต้องบอกให้มาเทเรียรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เธอย่อมรู้ดีกว่าเราว่าทำยังไงถึงจะหยุดยั้งเรื่องเหล่านี้ได้

ว่าแล้วหัวหอมก็ออกวิ่งนำเข้าช่องวาร์ปที่เปิดขึ้นด้านหลังไปก่อน โดนมีวานรีบวิ่งตามเข้าไป

ส่วนยาชโทล่าที่ค่อย ๆ ก้าวตามมา ยังหันไปมองที่คลื่นมิติสีดำ แล้วพูดว่า "ปิศาจที่กลืนกินมิติ"

เป็นอันจบเนื้อเรื่องของพวกวาน ยาชโทล่า หอม... ซึ่งใจความจริง ๆ คือมีท่อนที่ยืนยันว่าในโลก Dissidia แห่งนี้ ความทรงจำสามารถก่อตัวขึ้นเป็นรูปร่างสถานที่ได้ และที่มาเทเรียเรียกคนมาเยอะ ๆ เพื่อจุดประสงค์ 2 อย่างคือ ให้ความทรงจำมากมายช่วยกันขยายอาณาเขตของโลกออก และให้แต่ละคนตีกันเอง เพื่อใช้พลังงานจากการปะทะกันนั้นค้ำจุนโลกไว้

จริง ๆ ก็ไม่ค่อยได้อะไร แต่ก็ดีกว่าเนื้อเรื่องพวกตัวละครก่อนหน้านี้ ที่ไม่ได้อะไรเลย....

------------------------


ตัดกลับมาที่กลุ่มพี่แสง เซซิล น็อคติส ซึ่งเดินก้าวเข้าช่องวาร์ปตรงหน้าผาไป แล้วก็โผล่ออกมาที่ช่องวาร์ปของหน้าผาฝั่งตรงกันข้าม ว่าแล้วทั้งกลุ่มก็คุยกันมุบมิบว่าไอ้ช่องวาร์ปมันทำงานแบบนี้น่ะเอง

พี่แสงสังเกตเห็นอะไรบางอย่างอยู่ในช่องวาร์ปที่พวกตนพึ่งเดินออกมา จึงเรียกให้น็อคติสดู ปรากฏว่าข้างในนั้น พลังงานได้รวมตัวกันเป็นก้อนคริสตัลซึ่งลอยหมุนคว้างอยู่กลางอากาศ

น็อคติสมองดูด้วยความฉงน แต่ไม่ทันไรก็เกิดเรื่องประหลาดขึ้นยิ่งกว่า เมื่อมีแสงสีฟ้าพวยพุ่งอย่างรุนแรงขึ้นจากวิหารของมาเทเรีย น็อคติสยิ่งมองก็ยิ่งตื่นเต้น

ขณะที่พี่แสงบอกว่าการต่อสู้ของพวกเขา คงทำให้เกิดปรากฏการณ์แบบนี้ขึ้นมา แต่น็อคติสกลับกระดี๊กระด๊า และบอกว่าถ้าพวกนั้น (อิกนิส กลาดิโอ พรอมท์) อยู่ด้วย ต้องตกใจหงายเงิบแน่นอน!!

ว่าแล้วเซซิลก็ตัดบท บอกว่าไปกันต่อเถอะ ในไม่ช้าก็คงได้เจอกับสปิริตัส

------------------------

ทั้งสามออกเดินทางกันต่อแล้ว แต่ไม่ทันไร ก็ได้ยินเสียงประหลาดดังออกมาจากช่องวาร์ปที่พวกเขาพึ่งเดินออกมา พอหันกลับไปดู ก็เห็นร่างมังกรสีทองแหวกว่ายอยู่ในช่องวาร์ปมิติ มันกัดกินคริสตัลภายในนั้น แล้วก็พุ่งทะยานออกนอกช่องวาร์ปมา

น็อคติสที่ยืนจังก้าอยู่หน้าช่องวาร์ป กระโดดหลบได้ทัน และพยายามจะโจมตีตอบโต้กลับ แต่สายเกินไป ร่างของมังกรสีทองนั้นโผบินขึ้นฟ้าไปเรียบร้อยแล้ว

น็อคติส : โธ่เอ๊ย! เอาไงกันต่อดี?
เซซิล : เราไปกันต่อ
น็อคติส : เฮ่ยเดี๋ยว? แล้วจะปล่อยมันไปแบบนี้เหรอ?
พี่แสง : อย่าไปสนใจมัน เซซิลพูดถูกแล้ว

พี่แสงออกเดินต่อทันทีก่อนจะพูดว่าดูท่าดอกผลจากการต่อสู้ของพวกเรา จะถูกแสงนั้นกลืนกินไปแล้ว

เซซิล : เราเคยเห็นเจ้าตัวทำลายมิตินี้มาก่อน มันมีชื่อเรียกเยอะแยะเลย
พี่แสง : ไม่ว่ามันจะมีชื่อเรียกอย่างไร มันก็เป็นปัญหาภาระของมาเทเรีย
น็อคติส : และของพวกเราด้วย!

พี่แสงรีบเดินนำทั้งสองไปจนถึงช่องวาร์ปอีกช่อง แล้วก็ชักดาบเบรฟฮาร์ทขึ้นมา ชี้เข้าไปในช่องวาร์ป

พี่แสง : บางทีอาจถึงเวลาที่เราต้องกลับมาทบทวนว่า ศัตรูที่แท้จริงคือผู้ใด

------------------------

ทั้งสามก้าวเข้าช่องวาร์ปมา แล้วก็เข้ามาอยู่ในภพย่อย ซึ่งเป็นฉากทุ่งหญ้าเขียวขจีติดทะเลสาบ ซึ่งมองออกไปเห็นปราสาทคอร์เนเลียอยู่เลาลาง

นั่นคือฉากที่จำลองมาจากความทรงจำของพี่แสง แต่จะเรียกว่าของพี่แสงก็ไม่ถูกซะทีเดียว ต้องบอกว่าเป็นความทรงจำของซิด แต่ซิดได้ใช้ความทรงจำของตนเองสร้างร่างจำแลงขึ้นมา กลายเป็นจุดกำเนิดของพี่แสง หลังออกจากโลก Dissidia ไปได้ในสงครามครั้งที่ 13 พี่แสงถึงได้ไปเริ่มต้นผจญภัยใน FF1

น็อคติส : นี่พวกเรา... อยู่ภายในเกทเหรอ?

พี่แสง : ที่นี่ คือจุดเริ่มต้นการเดินทางของข้า

เซซิล : คุณเคยไปที่ปราสาทนั้นด้วยรึเปล่า?

พี่แสง : ใช่ เจ้าหญิงได้ถูกลักพาตัวไป ข้าจึงปฏิญาณต่อดาบว่าจะช่วยพาตัวเธอกลับมาให้ได้ ทว่า สิ่งที่คอยพวกเราอยู่นั้น...

ประโยคทั้งยวงท่อนนี้ เป็นการบอกว่าหลังจบสงครามครั้งที่ 13 แล้ว พี่แสงได้ไปผจญภัยใน FF1 มารอบนึง ก่อนจะถูกกวักมือเรียกมายังโลก Dissidia อีกครั้ง

"ฮ่า ฮ่า ฮ่า"

เสียงหัวเราะชั่วร้ายดังมาจากทางด้านหลังของพวกน็อคติส ทั้งสามรีบหันกลับไปดูก็พบกับดาบเล่มยักษ์ที่พุ่งเข้ามาโจมตี แต่พี่แสงก็ใช้ท่า Shield of Light ปัดป้องดาบเล่มยักษ์นั้นออกไปได้

น็อคติสเห็นว่ามีใครกำลังบุกเข้ามา ก็ก้าวท้าวเตรียมจะวิ่งออกไป แต่เจอเซซิลยกมือขวางไว้ พร้อมส่ายหน้าบอกเป็นนัยน์ให้สต๊อปปุ อย่าไปเผือกเรื่องของเขา

การ์แลนด์ : จำข้าได้หรือไม่? เจ้าโชคดีมากที่เคยล้มข้าได้มาก่อน!
พี่แสง : การ์แลนด์! ทำไมข้าถึงรู้ว่าเจ้าจะต้องอยู่ที่นี่ได้นะ?
การ์แลนด์ : น่าสนใจ ข้าเองก็รู้สึกเช่นเดียวกัน

พี่แสงชักดาบออกมาตั้งด้านหน้า ก่อนจะกวัดแกว่งไปข้างกาย

พี่แสง : ดูท่าชะตากรรมจะชักพาให้เราได้ประดาบกันอีกครา
การ์แลนด์ : แม้จะไม่ถูกพันธนาการไว้ด้วยกาลเวลาแล้ว เรายังถูกชะตากรรมพันธนาการมาให้ต่อสู้กัน!

การ์แลนด์ชักดาบยักษ์ออกมาแกว่งไปข้างตัวตั้งท่าพร้อมลุย ส่วนน็อคติสกับเซซิลอยู่ในท่าระวังตัว น็อคติสยังงง ๆ ว่าควรจะปล่อยพี่แสงสู้คนเดียว หรือจะรุม ก็เลยหันไปมองหน้าขอสัญญาณจากเซซิล

แต่กลายเป็นว่าพี่แสงหันมาพูดว่า "เซซิล น็อคติส! มาร่วมมือกัน!" แล้วพี่แสงก็วิ่งนำไปก่อน

เซซิลรีบวิ่งตาม ส่วนน็อคติสเรียกดาบมายาออกมาครบชุด ก่อนจะปาดาบแล้ววาร์ปตามไป ไม่เสียเวลาวิ่งแบบชาวบ้านเขา

------------------------

หลังตบตีกันจนเขาการ์แลนด์กับเขาพี่แสง หักกันไปคนละข้าง ไม่รู้ว่าเหนื่อยหรืออย่างไร จู่ ๆ พี่แสงก็ชวนคุยขึ้นมา...

พี่แสง : ตอบคำถามข้า สปิริตัสคือผู้ที่บั่นทอนพลังชีวิตของโลกนี้ใช่หรือไม่?

การ์แลนด์ : ไร้สาระ เขาเป็นผู้สืบทอดของเทพองค์ก่อน และผูกพันกับโลกใบนี้อย่างลึกซึ้ง เขาย่อมไม่ปรารถนาให้มันพินาศลง

เซซิลยกกำปั้นขวาขึ้นมาแตะคาง ทำท่าครุ่นคิด

เซซิล : หากนั่นคือความจริง งั้นเราก็กำลังเสียแรงเปล่า
พี่แสง : เจ้าพุดถูกแล้ว เราต้องกลับไปเดี๋ยวนี้ และรายงานให้มาเทเรียทราบว่า...
น็อคติส : เอ่อ.... เดี๋ยวก่อน!!

น็อคติสพูดพร้อมชูมือขึ้นราวกับจะขออนุญาตครูในห้องเรียนถามคำถาม

น็อคติส : อ่า... แล้ว
น็อคติส : อืม.... ก็
น็อคติส : เราไม่ต้องเดินย้อนกลับทางเก่าก็ได้ (เกาหัวแกรก ๆ)

พี่แสง : หมายความว่าอย่างไร?
น็อคติส : จำได้มั้ยว่ามาเทเรียกับสปิริตัสสามารถสื่อสารแบบ Real Time กันได้ที่วิหาร?

น็อคติส : พวกเขาจะทำยังไงก็ช่าง ยังไงสปิริตัสก็คงไม่ทำร้ายพวกเรา
น็อคติส : เราก็แค่ไปขอร้อง (สปิริตัส) แบบนี้ย่อมประหยัดเวลากว่า ฉันมั่นใจ

พี่แสงก้มหน้าคิดสักครู่.... (การ์แลนด์ก็ยังอดทนยืนรออย่างเงียบ ๆ)

พี่แสง : ถ้าสปิริตัสยอมฟังพวกเรา... ก็อาจจะได้ผล

ว่าแล้วการ์แลนด์ก็กระโดดลงมายืนข้าง ๆ พี่แสง

การ์แลนด์ : เขาไม่ได้ซื่อถึงขนาดยอมให้ความขัดแย้งจิ๊บจ๊อย (กับมาเทเรีย) อยู่เหนือวิจารณญาณของตนเองได้

พี่แสง : งั้นจุดหมายต่อไปของเราก็เป็นที่แน่นอนแล้ว

พี่แสงพยักหน้าให้การ์แลนด์
การ์แลนด์พยักหน้าให้พี่แสง
พี่แสงพยักหน้าให้การ์แลนด์อีกรอบ (มึงจะพยัก 2 รอบทำไม!)

แล้วพี่แสงก็หันมาพยักหน้าให้น็อคติสและเซซิล ออกจะเดินนำเข้าช่องวาร์ไปพร้อมกับการ์แลนด์

เซซิล : เป็นทางออกที่ปราดเปรื่องมาก น็อคติส
น็อคติส : ไม่มีปัญหา แต่เอ่อ... ติดอย่างนึง
เซซิล : หืม?
น็อคติส : เรียกว่าน็อคเฉย ๆ ก็พอมั้ง? (เกาหัวต่อ)

แล้วน็อคติสกับเซซิลก็เดินตามเข้าช่องวาร์ปไป

จบเนื้อเรื่องย่อยฝั่งพวกน็อคติส พี่แสง เซซิลแล้ว บทนี้มีเนื้อหาเพื่อยืนยันการมีอยู่ของชินริวซึ่งเขมือบพลังงานของโลกไป และยืนยันว่าสปิริตัสไม่เกี่ยวข้อง สปิริตัสไม่ได้อยากให้โลกนี้พินาศ... ดังนั้นทุกคนจึงเปลี่ยนเป้าหมายใหม่ (จากที่โดนมาเทเรียสั่งแบบงง ๆ ว่าให้ไปโค่นสปิริตัสลง) เป็นทำยังไงถึงจะดักตีหัวชินริวที่ว่านั่นได้

------------------------



กลับมาที่เรื่องราวทางฝั่งไลท์นิ่ง สคอลล์ ทีน่า และซีดาน ที่เดินทางร่วมกัน

เดิน ๆ อยู่ทีน่าก็หันไปมองทางอื่น เธอหยุดเดิน แล้วก็ร้อง "หือ" ขึ้นมา

ซีดานเห็นก็บอกให้สคอลล์ที่เดินนำลิ่วอยู่หน้าสุดให้หยุดก่อน

สคอลล์ : มีอะไรเหรอ?
ไลท์นิ่ง : เจออสูรมายาอีกตนเหรอ?

ทีน่า : คิดว่าใช่นะ บางทีเราน่าจะแบ่งทีมกันไปค่ะ

ซีดาน : อืมมม... ก็เข้าใจนะ แต่ว่า...

สคอลล์ : (อสูรที่ทีน่าพึ่งสัมผัสได้) ห่างออกไปไกลแค่ไหนล่ะ?

ทีน่า : ก็ใกล้กว่าอีกตนหนึ่ง (ที่กำลังเดินทางไปหาอยู่) ค่ะ

สคอลล์ : งั้นฉันจะตามอสูรตัวเดิมต่อ (ที่อยู่ไกลกว่า)

ว่าแล้วสคอลล์ก็กลับหลังหัน และย่ำเท้าก้าวเดินต่อโดยไม่สนว่าคนอื่นจะเลือกไปทางไหน

ซีดาน : เดี๋ยวสิ!! จะไปคนเดียวเหรอ!?
สคอลล์ : แบบนี้สบายกว่าเยอะ ไม่ต้องห่วง ฉันไม่ทำอะไรโง่ ๆ หรอกน่า

ซีดานตะโกนเรียกชื่อสคอลล์ให้หยุด แต่เจ้าตัวก็ไม่ได้สนใจ จนซีดานหันมาเท้าเอวถอนหายใจ

ไลท์นิ่งเห็นแล้วก็ถอนหายใจด้วยอีกคน จากนั้นเธอก็เลือกเดินตามหลังสคอลล์ไป

ไลท์นิ่ง : เรื่องทางนั้นก็ฝากด้วยนะ (หันมาพูดทิ้งท้ายกับซีดาน ทีน่า)
ทีน่า : ค่ะ ไว้ใจได้เลย
ซีดาน : ไม่คิดมาก่อนว่าไลท์นิ่งจะชอบเล่นเป็นคุณแม่นะเนี่ย
ทีน่า : ไม่ได้มีแต่สคอลล์นะ ที่ต้องมีคนคอยดูแลให้

ไลท์นิ่งรีบเดินตามสคอลล์ไป พอสคอลล์ได้ยินเสียงฝีเท้าไล่มา ก็หันมามอง

ซีดาน : ใช่แหละ ฉันเองก็ต้องการคนคอยช่วยกำกับให้อยู่กับร่องกับรอยเหมือนกัน
ทีน่า : ฉันรับหน้าที่นั้นเองค่ะ

*ถ้าเป็นเวอร์ชั่นญี่ปุ่น ซีดานจะล้อว่าไลท์นิ่งทำตัวเป็นพี่สาว ต่างจากของอังกฤษที่เรียกเป็นคุณแม่ ส่วนประโยคอื่นก็ต่างกันหน่อยแต่ไม่ได้เป็นสาระสำคัญ

แล้วซีดานกับทีน่าก็ไปหาอสูรตนที่อยู่ใกล้ด้วยกัน ส่วนสคอลล์กับไลท์นิ่งก็ไปหาอสูรที่อยู่ไกลกว่า

------------------------

ซีดานเดินอยู่กับทีน่า แล้วก็ทำท่าครุ่นคิดใช้สมอง จนทีน่าต้องถามว่ามีอะไรเหรอ

ซีดาน : คิดว่าพวกนั้นไหวป่ะ? คงไม่ได้อยู่ในบรรยากาศมาคุ หรือแข่งจ้องตากันอย่างเอาเป็นเอาตายอยู่ใช่มั้ย?

ทีน่า : (หัวเราะ) เธอไม่ต้องกังวลเรื่องของทุกคนที่ผ่านเข้ามาก็ได้ (ในญี่ปุ่นจะพูดว่า คิดถึงเรื่องของทุกคนอยู่เสมอเลยนะ)

ว่าแล้วก็มีม็อคตัวหนึ่งบินผ่ากลางระหว่างทั้งสองคน ทีน่าจะก้มลงไปจับ แต่ก็จับไม่ทัน เจ้าม็อคตัวนั้นทำท่าเหมือนจะส่งสัญญาณให้ทั้งสองไล่ตามเขาไป

ซีดานกับทีน่าวิ่งไล่ตามม็อคขึ้นไปบนนอน ก็เจอม็อคฝูงหนึ่งกำลังล้อมคริสตัลสีเหลืองก้อนเล็กอยู่ พอทั้งสองมาถึง พวกม็อคก็หายไป แล้วคริสตัลนั้นก็ลอยขึ้นฟ้า

จู่ ๆ ท้องฟ้าก็กลายเป็นสีดำมืด เกิดฟ้าผ่าเปรี้ยงลงมา ทันใดนั้นกลายเป็นว่าอสูรมายา "รามู" ได้ปรากฏตัว

รามู : ยินดีต้อนรับเหล่านักรบ พวกเจ้าต้องการความช่วยเหลือจากข้าอีกแล้วรึ?
ซีดาน : ช่าย พวกเรากลับมาแล้ว แต่ไม่ต้องห่วง เราไม่ได้มาเพื่อสู้
รามู : งั้นเหตุใดที่นำพาคนหนุ่มสาวอย่างเจ้ามาที่นี่?
ทีน่า : เราอยากรู้เรื่องของเทพที่ปกครองที่แห่งนี้อยู่ค่ะ
รามู : ทวยเทพได้ถือกำเนิดขึ้นใหม่เมื่อไม่กี่ปีมานี้ ไม่แปลกที่เจ้าจะสงสัย
ซีดาน : หมายความว่ายังไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมกันเลยสินะ (ซีดานพูดเป็นสำนวนเปรียบเทียบว่าพวกนั้นพึ่งเกิดมาได้ไม่นาน)

รามู : แม้พวกเขายังอ่อนเยาว์แต่อย่าได้ตัดสินผิดไป แก่นแท้ของพวกเขาก็คือเทพ ซึ่งสืบทอดเจตจำนงค์ของเทพในอดีต
ทีน่า : เจตจำนงค์ของ... คอสมอสและเคออส?
รามู : ใช่แล้ว พวกเขาอยากให้โลกนี้หลุดพ้นจากชะตากรรมอันโหดร้าย
ซีดาน : ทำไมล่ะ?
รามู : คำตอบนั้นขอให้ถามตัวเอง ทำไมพวกเจ้าถึงดิ้นรนแสวงหาทางรอดให้โลกใบนี้?
ทีน่า : เพราะว่าผู้คนมากมาย มีความทรงจำที่แสนรักใคร่ในที่แห่งนี้ค่ะ
รามู : ทวยเทพเยาว์วัยนี้ก็มีความรู้สึกเช่นเดียวกับพวกเจ้า

ทีน่า : ทั้งมาเทเรีย และสปิริตัสก็ด้วยเหรอคะ?
ซีดาน : อย่าบอกนะว่า... ที่ผ่านมานี่เราไล่ตามแพะกันมาโดยตลอด? (ในญี่ปุ่นซีดานจะบอกว่า งั้นสปิริตัสก็ไม่ใช่ศัตรูของโลกนี้น่ะสิ)
รามู : ใช่ ศัตรูของพวกเจ้านั้นซ่อนตัวอยู่ในที่อื่น คอยสูบเลือดจากโลกนี้จนกว่าจะแห้ง ดำรงอยู่เพื่อพาไปสู่ห้วงหายนะ ความพยายามของพวกเจ้าไม่สามารถทำให้มันผู้ตะกละตะกลามอิ่มเอมได้

ทีน่า : เขาเป็นใครคะ? คุณรู้ใช่มั้ย?
รามู : พวกข้าเรียกขานมันว่า ผู้เขมือบมิติ มันคือร่างสำแดงของมังกรที่เคยพยายามชำระล้างพวกเจ้า (หมายถึงที่เคยล้างความทรงจำเมื่อแพ้ในวัฏจักร 13 รอบ)
ซีดาน : หมายความว่า ไม่ว่าพวกเราจะสู้เยอะแค่ไหน ยังไงโลกนี้ก็ต้องพินาศเหรอ?
ทีน่า : งั้นเราก็ต้องทำอะไรบางอย่างกับมันใช่มั้ยค่ะ?

ทีน่า : จะไม่ยอมถอยเด็ดขาด แต่ลำพังพวกเราคงไม่อาจทำกันได้ โปรดช่วยเรากำจัดตัวเขมือบมิติ ถ้าร่วมมือกัน เราจะต้องพาโลกนี้กลับออกมาจากห้วงวิกฤตได้แน่ค่ะ

รามู : เจ้าบอกว่า "ร่วมมือ" งั้นรึ? ...ดี  แต่มีเงื่อนไขอย่างหนึ่ง
รามู : จงแสดงพลังออกมา ให้ข้าได้ประจักษ์!
รามู : จงอดทน ยืนหยัดรับความเกรี้ยวกราดของข้าไว้ให้ได้

หลังจากรามูเล่าให้ฟังว่าต้นตอปัญหาจริง ๆ คือชินริวแล้ว แทนที่จะแยกย้ายกลับไปดี ๆ ทีน่าดันไปขอความช่วยเหลือจากรามู เป็นเหตุให้ผู้เล่นต้องดูฉากเหล่าตัวเอกโดนรามูกระทืบเล่นอีกเป็นชั่วโมง กว่าจะเอาตัวรอดกันออกมาได้...

------------------------


หลังจากซีดานและทีน่า ผ่านการนวดจากรามู ต่อเนื่องโดยโอดิน ก็เอาตัวรอดจนหลงมาโผล่ที่เมืองมิดการ์ที่จำลองมาจากความทรงจำของคลาวด์และเซฟิรอธได้

แต่ทันทีที่โผล่ออกมา ทั้งสองก็โดนกับดัก HP Attack ของอุโบ้วต้อนรับ จนเกือบจะเอาชีวิตไม่รอด แต่ก็กลิ้งหลบกันออกมาได้อย่างหวิด ๆ

มาเทอุส : เจ้าสองคน... เซนส์ดีกว่าที่เห็นใช่เล่น

ซีดาน : นี่พี่ชาย! พวกเรามาเดทกันอยู่ ไว้ค่อยว่ากันทีหลังได้มั้ย? (ยังเข้าใจหยอกตามประสาแก)

มาเทอุส : แกกำลังตามหาอสูรตนใด?

ซีดานเริ่มเปลี่ยนมาทำสีหน้าขึงขังที่โดนอ่านเกมออก มาเทอุสเลยบอกว่าถ้าไม่พูดชื่อออกมา ก็ไม่เป็นไร ว่าแล้วเจ้าตัวก็ร่ายกับดักออกมารอบตัว

ช่วงเวลาเดียวกัน ตึกรามบ้านช่องก็โดนฟันแยกออกจากกันจนพังพินาศ เซฟิรอธปรากฏตัวขึ้นและทะยานเข้ามาฟาดฟันทีน่าด้วยความเร็วสูง สาวน้อยได้แต่ร่ายไฟที น้ำแข็งที ปัดป้องการโจมตีแล้วหนีไปเรื่อย แต่แค่เอาตัวรอดก็จะแย่แล้ว เธอโดนเซฟิรอธไล่ต้อนอย่างสมบูรณ์

ส่วนซีดาน ตัดสินใจพุ่งเข้าไปบวกกับมาเทอุส แต่ระหว่างหลบหลีกเวทย์ที่มาเทอุสยิงออกมา ซีดานก็หลงไปติดวงเวทย์กับดักกลางอากาศที่มาเทอุสร่ายไว้ ผลจากกับดักนั้นทำให้ซีดานขยับตัวไม่ได้

เสียงทีน่ากรีดร้องดังขึ้นจากจุดที่ไม่ห่างออกออกไป ซีดานที่แม้ร่างขยับไม่ได้ แต่ก็พยายามออกแรงสุดชีวิตแล้วบอกว่า "ไปเดี๋ยวนี้แหละ!!"

มาเทอุส : ความห้าวหาญของเจ้านั้นช่างน่าชื่นชม อนิจจา เมื่อพวกข้าได้มาซึ่งอสูรมายา พวกแกก็จะถูกกำจัดทิ้ง

ซีดาน : เปล่าประโยชน์น่า อสูรมายาเลือกที่จะอยู่ข้างพวกฉันแล้ว!

มาเทอุส : ร้องดั่งลูกแกะผู้อ่อนแอ

อีกทางด้านหนึ่ง ทีน่าหมอบหมดสภาพอยู่กับพื้น ส่วนเซฟิรอธก็ถือดาบย่างสามขุมเข้ามาหา

เซฟิรอธ : โทษนะ ไม่อยากให้เจ้าต้องรีบตาย (ก็เลยออมมือแล้วเล่นไล่ต้อนอยู่พักนึง)

ทีน่าพยายามลุกขึ้นมาแล้วตั้งดาบขึ้นเตรียมรับการโจมตี ดวงตาของเธอยังสู้อยู่

เซฟิรอธ : ดี ยังมีไฟเหลืออยู่สินะ

ทีน่าลุกขึ้นแล้วเข้าไปฟาดฟันกับเซฟิรอธ แม้จะสู้ไม่ได้แต่เหมือนเซฟิรอธจะออมมือเพื่อเล่นสนุกไปเรื่อย

ส่วนซีดานที่นอนติดกับดักอยู่นั้นก็ได้แต่ตะโกนเอาใจช่วย แต่ไม่ทันไรเขาก็โดนมาเทอุสเหยียบเข้าไปทีหัวเพื่อให้หุบปาก

มาเทอุส : ตอนนี้ไม่มีใครจะมาช่วยเจ้าได้แล้ว

ทันใดนั้นเอง... มนุษย์กระจับก็เดินผ่านหลังมาเทอุสไปอย่างเงียบ ๆ

คุจา : ถึงตาของฉันแล้วสินะ

ทันทีที่ได้ยินเสียง มาเทอุสรีบเหวี่ยงคทาไปฟาดที่ด้านหลัง แต่ก็ว่างเปล่า คุจาไม่ได้อยู่ตรงนั้น

มาเทอุส : เจ้าคนทรยศ!!

ว่าแล้วคุจาก็พุ่งเข้าโจมตีอย่างรุนแรงจนมาเทอุสกระเด็นออกไป ส่วนคุจาก็สลายกับดักและฮีลให้กับซีดาน

คุจา : ลุกขึ้นมา

ซีดานที่ลุกขึ้นมาได้ด้วยการช่วยเหลือของคุจาก็พุ่งเข้าไปบวกกับมาเทอุสอีกครั้ง คราวนี้มาเทอุสร่ายเมเทโอลงมา แต่ซีดานก็กระโดดหลบได้อย่างคล่องแคล่ว การต่อสู้จึงเป็นไปอย่างสูสี

แล้วคุจาก็หันมาช่วยทีน่าที่กำลังเสียท่าให้เซฟิรอธ แล้วก็ฮีลให้เธอเสร็จสรรพ

คุจา : ถ้าสนใจที่จะเต้นรำ โปรดให้ผมเป็นผู้นำเอง (หัวเราะ)

ว่าแล้วซีดานก็กระโดดเข้ามาสมทบข้างคุจาและทีน่า ส่วนมาเทอุสก็ลงมาสมทบข้างเซฟิรอธ

คุจา : ในที่สุดคู่หูของผมก็ยืนด้วยสองเท้าได้สักที
ซีดาน : เงียบไปเลยน่า!
คุจา : อย่าให้ผู้ชมต้องคอยนาน
ทีน่า : ไปกันเลยค่ะ!
คุจา : ซ้อมกันเสร็จแล้ว ก็เปิดการแสดงได้!

ซีดาน คุจา ทีน่า แปลงร่างเข้าสู่สภาวะ Trance พร้อมเพรียงกัน ทั้ง 3 ร่วมกันเข้าไปต่อกรกับเซฟิรอธและมาเทอุส

ทว่าเมื่อสู้ไปได้สักพัก ก็มีคลื่นมิติสีดำปรากฏขึ้นกลืนกินพื้นที่โดยรอบ แล้วจู่ ๆ เซฟิรอธก็หัวเราะขึ้นมา

เซฟิรอธ : ตัวเขมือบมิติตื่นขึ้นมาแล้ว
มาเทอุส : ฮึม อสูรกายที่ไม่ควรปลุกขึ้นมา ไป... จากที่แห่งนี้กัน

สองวายร้ายหนีไปจากจุดเกิดเหตุอย่างดื้อ ๆ ส่วนพวกคุจา ซีดาน ทีน่า ก็ออกจากสภาวะ Trance กลับคืนสู่ร่างปกติ

คุจาที่เห็นว่าหมดหน้าที่แล้ว ก็โดดเข้าช่องวาร์ปไปโดยไม่พูดไม่จา... จะบอกว่าทำตัวไม่ถูกก็คงใช่ เพราะตั้งแต่เข้ามาในโลก Dissidia คุจาก็รับบทคนสองหน้ามาตลอด แม้ถูกเรียกตัวมาในฐานะข้ารับใช้ของเคออส แต่ก็มีความทรงจำหลังจบเรื่องใน FFIX ทำให้คุจาห่วงซีดาน, ช่วยคลายมนต์สะกดที่เคฟก้าร่ายไว้ควบคุมทีน่า และยังปลอบคลาวด์ที่ต้องสู้กับเพื่อนที่มาจากโลกเดียวกัน แต่หลังจากโดนไลท์นิ่งสังหารและคืนชีพขึ้นมาใหม่ คุจาก็โดนเคฟก้าฟังความทรงจำปลอม ๆ ให้ไปหาเรื่องซีดานแทน แต่ก็เป็นซีดานคนเดิม ที่สามารถกลับมาซื้อใจคุจาได้อีกครั้ง

ทั้งสามวาร์ปมาโผล่ในดินแดนอันห่างไกล คุจาพยายามจะเดินหนีทีน่ากับซีดานที่ไล่ตามมา แต่ม็อคก็โผล่มาขวางคุจาไว้ พอคุจาจะเดินหนีไปทางอื่น ม็อคมันก็ตามไปขวางตลอด

คุจา : จะพูดอะไรก็พูด ไม่งั้นก็ไปให้พ้น! (พูดกับม็อคที่ขวางทาง)
ทีน่า : มากับพวกเราเถอะค่ะ!
ซีดาน : เหอออออออออ!? (ต๊กกะใจที่ทีน่าเอ่ยปากขอเอง)

ทีน่า : ฉันก็คิดอยู่ว่าเราเราจะได้เจอกันอีกมั้ย ไหน ๆ ตอนนี้เรามีเวลาคุยกันเป็นเรื่องเป็นราวแล้ว ว่าไงคะ?

คุจาที่พยายามตีตัวออกห่างแล้ว หันมามองหน้าทีน่าแล้วก็ได้แต่จังงัง ว่าแล้วก็หลบสายตา

ซีดาน : คงไม่ปฏิเสธสุภาพสตรีอยู่แล้ว ใช่มั้ยล่ะ?

คุจาถอนหายใจหนึ่งที ก่อนจะตัดสินใจเล่นใหญ่

คุจา : หากเป็นประสงค์ขององค์หญิง กระผมคงมิอาจปฏิเสธ (โค้งคำนับพร้อมยิ้มให้)

ทีน่า : คุณเป็นคนคลายมนต์สะกดของเคฟก้าให้ฉันใช่มั้ยคะ?

คุจา : ผมเองก็จำไม่ค่อยได้ด้วยสิ (มันแกล้งลืมไปงั้นแหละ)

ทีน่า : ถ้าไม่ได้คุณช่วยไว้ ฉันก็คงไม่มีวันได้สติกลับมา

คุจา : งั้นเหรอ? โชคดีจริง ๆ เลยนะครับ

ทีน่า : พูดจริง ๆ นะคะ ขอบคุณค่ะ

------------------------


ดองและหายไปนาน... หลังจากผจญมรสุมทั้ง FFXV Royal Pack, เลี้ยงโจโคโบะใน Comrades, ต่อยกับซัลดินใน KHUX, สอนคีย์เบลดให้ลูกศิษย์ และดูบุพเพสันนิวาส ในที่สุดก็เจียดเวลามาเผาเนื้อเรื่อง Dissidia NT ต่อได้

ตอนที่แล้ว หลังจากคุจามาช่วยพวกซีดานและทีน่าให้เอาตัวรอดจากมาเทอุสและเซฟิรอธได้สำเร็จ คุจาก็จะโกยหนี แต่เจอทีน่าเรียกร้องให้อยู่เจรจาด้วยก่อน คุจาที่พยายามจะเล่นบทสุภาพชน เลยต้องอยู่คุยกับทีน่า ที่พยายามจะขอบคุณคุจาที่เคยช่วยปลดปล่อยเธอจากมนต์สะกดของเคฟก้ามาตลอด

ทั้งสามเดินทางร่วมกันต่อจนวาร์ปมาถึงกลางเมืองอเล็กซานเดรียที่จำลองมาจากความทรงจำของคุจาและซีดาน และก็ตามพวกม็อคที่นำทางมา จนมาเจอกับอสูรมายาอเล็กซานเดอร์

ทีน่า : อเล็กซานเดอร์ โทษนะคะ พวกเราอยากจะ...

โดยไม่พูดพร่ำทำเพลง อเล็กซานเดอร์ก็ยิ่งบีมผ่ากลางทั้งสามมา ทำให้ต้องกระโจนหลบกันไปคนละทิศคนละทาง

ซีดาน : อะไรกันฟะ?
ทีน่า : ได้โปรดฟังพวกเราเถอะค่ะ พวกเราไม่ได้มาทำอันตราย!

พูดกันขนาดนี้แล้ว อเล็กซานเดอร์กลับยิ่งปล่อยบีม ยิงแสง เฟี้ยงอุกกาบาตกระจายไปทั่วทั้งฉาก

คุจา : สงสัยเพราะมีผมมาด้วยแน่ ๆ

(คุจาจะนึกถึงตอนที่ตนเองนำยานอินวินซิเบิลมายิงลำแสงใส่อเล็กซานเดอร์จนร่วงใน FFIX)

คุจา : ผมอยู่ไปก็มีแต่จะยั่วให้เขาโกรธ
ซีดาน : อย่าสำคัญตัวผิดไปหน่อยเลยน่า ที่นี่ไม่เหมือนที่โลกพวกเราสักหน่อย ไม่งั้นพวกม็อคจะนำทางเรามาที่นี่ทำไม?
ทีน่า : คุจา ทำยังไงถึงจะทำให้เขาเย็นลงได้คะ?
คุจา : ไร้เดียงสาจังเลยน้า อย่าให้ขำเลย

อเล็กซานเดอร์ : ข้าคือตุลาการศักดิ์สิทธิ์

คุจา : เจ้าพวกนี้มันไม่เคยฟังเหตุผลหรอกกกก

อเล็กซานเดอร์ : จงหมอบกราบลงด้วยความยำเกรง ปิดปากไว้ด้วยความหวาดกลัว

แล้วก็เข้าอีหรอบเดิม นั่นคือต้องช่วยกันรุมโค่นอเล็กซานเดอร์ลง

หลังจากชนะอเล็กซานเดอร์ไปแล้ว มันจะมอบคริสตัลที่ทำให้เรียกตัวมาช่วยได้ทุกเมื่อ

ซีดาน : นายช่วยพวกเราไว้นะ (พูดอวยคุจา)
คุจา : บังเอิญน่ะ ฉันเล็งอเล็กซานเดอร์ไว้แต่แรกแล้ว (ยังกวนตีน ไม่ยอมรับว่าห่วงพวกซีดาน)

หลังจากนั้นคลื่นมิติสีดำก็ปรากฏขึ้นกลืนกินฉากแห่งนั้นอีกครั้ง คุจาเลยรีบบอกให้เผ่นกันก่อนที่มิตินี้จะถูกกลืนกินจนหมด ว่าแล้วตัวเองก็รีบสาวเท้าพั่บ ๆ ไปทางช่องวาร์ปเป็นคนแรก

ทีน่า : คุจา... อย่าทำตัวเป็นคนแปลกหน้าเลยนะคะ

คุจาเอียงตัวมารับฟังเสียงของทีน่า แต่ก็ยังรีบก้าวเท้าเข้าช่องวาร์ป หนีไปคนเดียวก่อน ซีดานเลยรีบชวนทีน่า หนีออกช่องวาร์ปอีกทาง

------------------------

ซีดาน ทีน่า ได้กลับมารวมกลุ่มกับไลท์นิ่งและสคอลล์ ทั้ง 4 กำลังเดินทางกลับไปหามาเทเรีย ทว่าในไม่ช้าก็เจอพวกวาน หัวหอม ยาชโทล่า ที่กำลังจะไปหามาเทเรียเช่นกัน

ซีดาน : พวกนายก็กำลังจะกลับเหมือนกันเหรอ?
หัวหอม : ทางนั้นก็ด้วยเหรอครับ?
ซีดาน : อื้อ พึ่งเสร็จงานกันน่ะ
วาน : งานไรอ่ะ?
ซีดาน : ท๊าดา~~

แล้วซีดาน สคอลล์ ทีน่า ก็ควักคริสตัลสำหรับเรียกอสูรขึ้นมาคนละก้อน

ยาชโทล่า : คิดมาตลอดว่าการโค่นพวกที่เหมือนกับ Primal (ศัพท์ที่เรียกพวกอสูรมายาใน FFXIV) คงเป็นเรื่องที่สาหัสสากรรจ์
ซีดาน : เหงื่อยังไม่ทันออกเลยแหละ แล้วพวกนายล่ะเจออะไรบ้าง?
วาน : ก็สนุกดี ไม่ว่าที่ไหนก็เต็มไปด้วยอันตรายทั้งนั้น (หัวหอมส่ายหน้าว่ามันตอบอะไรฟะ ไม่เข้าเรื่อง)
ไลท์นิ่ง : ไม่ได้มาเที่ยวกันนะวาน นี่เรื่องซีเรียส
หัวหอม : อ่า เอ่อ เราเจออะไรเยอะเหมือนกัน ที่เด็ดเลยคือตอนนี้เจ้าตัวเขมือบมิติ บินอาละวาดไปทั่ว

ยาชโทล่า : ใช่ และก่อความพินาศไปทั่ว มันกลืนกินพลังงานที่พวกเราพยายามเก็บสะสมไป....

ทุกคนกำลังตั้งใจฟังยาชโทล่าพูดอยู่ แต่วานไม่ได้สนใจเรื่องที่คุยกัน ว่าแล้วก็เดินมาหยิบคริสตัลไปจากมือของทีน่า

ยาชโทล่า : เป็นภยันตรายคุกคามสมดุลของโลก จนอาจจะพินาศลงในไม่ช้า...

ไลท์นิ่งหันไปเห็นวานกำลังชูคริสตัลและเมียงมองโดยไม่ได้สนใจฟังเรื่องที่กำลังคุยกัน โดยสคอลล์ก็หันไปมองดูว่าวานมันจะทำอะไรอยู่เหมือนกัน

ไลท์นิ่ง : เฮ่ย!! ฟังสิ!! นี่เรื่องสำคัญนะ!!

ไลท์นิ่งเดินไปดุวาน แต่วานก็ยังเถียงคา ๆ คู ๆ ว่าก็ไม่ได้สำคัญพอถึงขั้นที่สคอลล์จะมาสนใจสักหน่อยทำให้สคอลล์สนใจได้สักหน่อย

ซีดาน : ถ้าเป็นแบบนี้... เราก็ต้องมาจัดลำดับความสำคัญของเรื่องกันใหม่แล้วล่ะ

ทีน่า : อยากจะให้คนรู้ว่า... ทั้งมาเทเรียและสปิริตัส ต่างก็เกิดมาจากความปรารถนาของคอสมอสที่จะปกป้องโลกนี้ให้ปลอดภัยค่ะ*

[หมายเหตุ]

*ตรงนี้ตัวเกมทั้งสคริปต์ภาษาญี่ปุ่นและภาษาอังกฤษ ทีน่าพูดชื่อทั้งมาเทเรียและสปิริตัส และบอกว่าเกิดจากความปรารถนาของคอสมอส โดยไม่ได้เอ่ยชื่อเคออส ราวกับว่าเคออสไม่เกี่ยวข้อง ซึ่งฟังแล้วผมก็งงว่า ตกลงเคออสเกี่ยวหรือไม่...?

**ทว่าเมื่อย้อนกลับไปตอนที่ทีน่าฟังเรื่องนี้จากรามู รามูบอกว่าแก่นแท้ของมาเทเรียและสปิริตัส คือเจตจำนงค์ของเทพในอดีต โดยในสคริปต์อังกฤษใช้คำว่า gods ส่วนในญี่ปุ่นก็เขียนว่า 2 เทพเลย หลังจากนั้นประโยคถัดมาทีน่าก็ทวนซ้ำว่า "คอสมอสและเคออส งั้นเหรอคะ?" เหมือนกันทั้งสองภาษา

***จากหน้าประวัติตัวละครสปิริตัส ในเว็บไซต์หลักของ Theatrhythm -Final Fantasy- All-Star Carnival มีการระบุไว้ว่าสปิริตัสเกิดจากเจตจำนงค์ของเคออส ใน FFWikia จึงใช้ตรงนี้เป็นแหล่งอ้างอิงว่าสปิริตัสเกิดจากเคออส ซึ่งผมว่าก็น่าจะเชื่อตามนั้น

ทีน่า : ฉันเองก็อยากจะให้โลกนี้ปลอดภัยเช่นกันค่ะ ที่นี่มีเรื่องราวเกิดขึ้นกับฉันมากมาย มันอาจจะไม่ใช่เรื่องดีไปซะทุกเรื่อง แต่ที่แห่งนี้ ก็ยังคงเป็นสถานที่สำคัญสำหรับฉัน

ซีดาน : ถ้าไม่มีโลกใบนี้ พวกเราคงไม่ได้กลับมาพบกันอีก

(วุ่นวายกันขนาดนี้ ซีดานแกยังคิดจะกลับมาอีกเหรอ!?)

หัวหอม : ผมก็ไม่อยากให้เป็นแบบนั้น เรายังแทบไม่รู้จักเรื่องราวในโลกของกันและกันเลย (ในสคริปต์ญี่ปุ่น จะพูดตรง ๆ ว่ายังอยากรู้เรื่องราวในโลกของคนอื่น ๆ อีก)

ยาชโทล่า : งั้นก็เตรียมจับอาวุธ ดินแดนแห่งนี้ต้องลำบากเพราะเจ้ามังกรจอมตะกละมานานเกินไปแล้ว (ในสคริปต์ญี่ปุ่นจะพูดว่ารีบไปกันเถอะ รีบไปกำจัดเจ้าตัวเขมือบมิติ ก่อนที่โลกนี้จะล่มสลายลง)

แล้วทั้ง 7 ก็มุ่งหน้ากลับไปยังวิหารของมาเทเรีย เพื่อแจ้งข้อมูลที่ได้ค้นพบมาทั้งหมดให้เธอทราบ

------------------------


ขณะที่เหล่านักรบทั้งสองฝั่งตรากตรำกับการต่อสู้และคิดหาทางออกให้กับโลกที่พลังงานรั่วไหล เทพธิดาจักรกลมาเทเรีย ก็ตากแอร์ฟังเสียชีพจรของโลกรออยู่ในวิหารของตนเอง

มีเสียงฝีเท้าที่น้ำหนักไม่เท่ากัน 2 คู่ ย่างก้าวเข้ามาในวิหาร มาเทเรียหันกลับไปแล้วพบเห็นคลาวด์ที่พึ่งกลับจากการเผชิญหน้ากับเซฟิรอธ และบัทซ์ที่มัวหลงทาง กลับมาหาเธออย่างพร้อมเพรียงกัน

บัทซ์ : แกคือมาเทเรียที่เขาพูดถึงกันสินะ? ยินดีที่ได้รู้จัก (โบกมือ)

มาเทเรีย : ข้าได้ยินเรื่องของนักรบที่สาบสูญ และกำลังกระวนกระวายอยู่เชียว โชคดีแล้วที่เจ้าสามารถเดินทางมาหาข้าได้อย่างปลอดภัย

คลาวด์ : ก่อนจะดีใจ ฉันมีข่าวร้ายจะบอก

มาเทเรีย : แม้ว่าเจ้าจะออกเดินทางไปได้ระยะหนึ่งแล้ว ทว่าชีพจรของโลกก็ยังคงแผ่วเบาเลือนรางไม่แปรเปลี่ยน

มาเทเรียหันไปมองก้อนคริสตัลยักษ์ทางด้านหลังก่อนจะกล่าวต่อด้วยท่าทีกังวล

มาเทเรีย : หรือว่าลูกสมุนของสปิริตจะเป็นฝ่ายที่เหนือกว่า?

คลาวด์ที่อุตส่าห์ทนฟังเจ๊เดา ก็ส่ายหัวแล้วบอกว่า "ไม่ ไม่ใช่"

บัทซ์ : ตัวอะไรบางอย่างมันซดโฮกพลังงานของเราไป ไอ้เจ้าเก่านั่นแหละ

มาเทเรีย : หากเจ้ารู้ตนเหตุของปัญหา เหตุใดถึงไม่ทำลายมันเล่า?

คลาวด์กับบัทซ์หันมามองหน้ากันแบบไม่ต้องมีคำบรรยาย.... ผมก็ไม่รู้ว่าว่าทั้งสองคิดอะไรอยู่ แต่ส่วนตัวรู้สึกว่าอีเจ๊นี่ก็พูดง่ายจัง เอาแต่สั่งอย่างเดียว

ระหว่างที่คลาวด์กับบัทซ์จ้องหน้ากันว่าใครจะพูดอธิบายดี ป้าแชนท็อทโตะที่จริง ๆ แล้วก็มาด้วยกัน ก็ก้าวเท้าเข้ามาในวงสนทนา แล้วเอ่ยปากอธิบายเอง

แชนท็อท : ศัตรูนั้นแข็งแกร่งเกินกว่าพวกเรา ส่วนเจ้าผู้ไม่รู้เดียงสา มีแต่ทำให้ข้างงงวย!

ว่าแล้วป้าก็ร่ายเวทย์ เหวี่ยงคทาสร้างจอภาพขึ้นมากลางอากาศ แล้วก็เหวี่ยงคทาอีกที ทำให้ปรากฏภาพภายในวิหารของสปิริตัส ที่ซึ่งพวกลูกสมุนของสปิริต น็อคติส เซซิล และพี่แสง ก็ยืนหารือกันอยู่

แชนท็อท : อย่าเสียเวลาแสนมีค่าไปกับการยืนจังงัง สถานการณ์บังคับให้เราต้องเจรจารับฟัง!

ทางด้านฝั่งสปิริตเอง ก็มีจอภาพปรากฏขึ้นมา ทำให้เห็นภาพของพวกมาเทเรียและสื่อสารแบบ Real-time กันได้เช่นกัน

พี่แสง : จังงัง? นี่ข้าจังงังงั้นรึ?

น็อคติส : ถามฉันเพื่อ...?

มาเทเรีย : (เขม่นตาพูดกับสปิริต) หมายจะให้นักรบของข้า หักหลังข้ารึ?

สปิริตัสปักดาบลงพื้นแล้วเชิดหน้าพูดบ้าง (ทั้งเรื่องได้พูดกี่ประโยคเองฟะเนี่ย)

สปิริตัส : เก็บทีท่าชวนหาเรื่องของเจ้าไว้วันหลัง มาเทเรีย!

แล้วสปิริตัสก็หันไปมองทางเมฆาอันธาร ที่กำลังถือลูกพลังซึ่งมีมังกรทองถูกกังขังอยู่ภายใน มันคือชิ้นส่วนของชินริวที่สามารถกลายร่างเป็นชินริวตัวย่อย ๆ ออกมาได้ด้วยนั่นเอง

เมฆาอันธการ : ขนาดชิ้นส่วนของเจ้าสัตว์ร้ายก็ยังก่อตัวเป็นรูปร่างเช่นนี้ พวกเราจะลำบากไปอีกเรื่อย ๆ จนกว่าจะปราบมันได้อย่างราบคาบ

ว่าแล้วเมฆาอันธการก็ทำลายมังกรทองตัวย่อยนั้นทิ้ง ส่วนมาเทเรียที่ไม่รู้อะไรเลยมาตั้งแต่แรก ก็ได้แต่ยืนจังงัง อ้าปากค้างอยู่ตรงนั้นแหละ

บัทซ์ : ไม่ว่าเราจะไปไหน ก็เจอมันทุกที่เลย

แชนท็อท : และตราบที่มันยังมีลมหายใจ หนทางกลับไปยังโลกของเราจะถูกปิด พินิจแล้วจึงควรกำจัดมันให้ไว

ป้าหมายถึงตอนจะกระโดดเข้าช่องวาร์ปที่เชื่อมต่อกลับไปยังโลกของตัวเอง ชินริวจะโผออกมาขวางไว้ทุกครั้ง เพื่อกันไม่ให้ใครหนีออกไปได้

มาเทเรีย : เจ้ารู้เรื่องนี้อยู่แล้วรึ สปิริตัส? นี่เจ้ายืนนิ่งดูดายในขณะที่โลกนี้ถูกสูบเลือดเนื้อออกไปเรื่อย ๆ อย่างนั้นรึ?

....โอย... อีเจ๊นี่... ไม่รู้อะไรแล้ว ยังอคติโทษคนอื่นไปเรื่อย...

สปิริตัสได้ยินก็ส่ายหัว

สปิริตัส : ข้าก็ไม่ค่อยรู้อะไรเหมือนเจ้านั่นแหละ! แต่นั่นไม่ใช่เรื่องที่น่าละอาย พวกเราจะเติบโตได้ ก็ต่อเมื่อโลกนี้ได้เติบโตไปพร้อมกับพวกเราด้วย

มาเทเรีย : ........เข้าใจแล้วค่ะ งั้นข้ามีเรื่องที่อยากร้องขอ เหล่านักรบผู้มาจากต่างโลก โปรดให้ข้ายืมพลังและความสามารถของพวกเจ้าด้วย โปรดนำพาโลกนี้ออกไปจากวังวนแห่งการต่อสู้ (ว่าแล้วก็ก้มหัวให้กับทุกคน)

อีเจ๊ก็พูดง่ายไป เหมือนว่าในขณะนั้นมาเทเรียจะเข้าใจว่าถ้ากำจัดชินริว ที่เป็นตัวเขมือบพลังงานของโลกไปได้แล้ว โลกก็จะคงอยู่ได้ด้วยตัวของมันเอง ทว่าตอนท้ายเรื่องเราจะรู้ว่าถึงไม่มีปัจจัยเรื่องชินริวมาสูบพลังงานแล้ว แต่โลกนี้ก็มีสภาพที่พลังงานจะลดลงเรื่อย ๆ อยู่ดี ทำให้ยังไงก็ต้องอาศัยการต่อสู้เพื่อสร้างพลังงานและค้ำจุนโลกไว้

แล้วคลาวด์ บัทซ์ พี่แสง เซซิล น็อคติส ก็พยักหน้าตอบรับ เว้นแต่คุณป้าแชนท็อทที่ยิ้มรับ แต่นั่นก็เป็นวิธีตอบรับของป้าแก

สปิริตัสเองก็ก้มหน้าหลับตาและเงยหน้าขึ้น เป็นอันว่าตกลงเช่นกัน

จากนั้นพี่แสงก็เดินออกมาทางจอภาพ ดวงตาจดจ่อมองไปยังมาเทเรีย แล้วชักดาบเบรฟฮาร์ทขึ้นมาตั้งตระหง่านตรงเบื้องหน้า

"แสงสว่าง อยู่เคียงข้างเราเสมอ"

------------------------


นักรบทั้งสองฝ่าย มายืนเรียงประจันหน้ากันแบบฟูลทีม

ฝั่งสปิริตัสเล่นตามกติกา ส่งตัวผู้เล่น 11 คนครบ จัดระบบทีม 2-4-5 กะมารุกเต็มสูบโดยช่างแม่งเกมรับ มีกัปตันสปิริตัสยืนบัญชาเกมอยู่ในบทบาทมิดฟิลด์ตัวกลาง และมีการ์แลนด์เป็นหัวหอกทะลวงเป้า

ส่วนฝั่งมาเทเรีย ติดตั้งระบบ 7-7-2 กองหลัง 7 กองหลัง 7 ใช้ระบบหน้าคู่.... มีพี่แสงและทีดัสคนตีหมา ทำหน้าที่ผลิตสกอร์

การ์แลนด์ : เพื่อตัดโซ่ตรวนที่พันธนาการพวกเราไว้ในวัฏจักร เราถึงต้องยืนหยัดร่วมกัน!

พี่แสง : ไม่ว่าจะเป็นทวยเทพหรือนักรบก็ตาม ศัตรูร่วมของพวกเรา ก็มิใช่ใครอื่นนอกจากตัวเขมือบมิติ

พี่แสง : อ๊ะ....

พี่แสง : หึ หึ หึ หึ หึ

พี่แสง : หึ ฮะ ฮะ ฮ่ะ ฮ๊ะ ฮ่ะ

พี่แสง : ฮ่าาา ฮ่าาาา ฮ่าาา ฮ๊าาาาาา

จู่ ๆ พี่แสงแกก็หัวเราะคนเดียวโดยไม่บอกไม่กล่าวใครให้รู้ก่อนว่าแกขำอะไร จนทุกคนต้องหันมาสบตา ถามกันว่าแกไปโดนตัวไหนมา

พี่แสง : เราอาจจะแตกต่าง แต่ในโลกนี้... เราเป็นหนึ่งเดียว!!

ภาพตัดไปทางเคฟก้าที่เอามือซ้ายบีบจมูก แล้วมือขวาทำท่าปัดรังควานกลิ่นมิตรภาพ

บัทซ์ : ก็แค่ตอนนี้เท่านั้นแหละ

ทีน่า : ใช่ อย่าคิดว่าจะให้อภัย (พูดกับเคฟก้า)

น็อคติส : โลกนี้นี่แหล่มสุดจริง ๆ

ซีดาน : ไว้จบเรื่องแล้ว มาเจอกันใหม่ (พูดกับคุจา)

ทีดัสยกมือซ้ายขึ้นขนาบอก ส่งสัญญาณพร้อมเขี่ยลูก ส่วนยาชโทล่าที่หูกระดิก ก็สัมผัสได้ถึงชินริวที่คลืบคลานเข้ามาใกล้

ยาชโทล่า : มันเข้ามาใกล้แล้ว ต้องรีบลงมือละ

คลาวด์ : เก็ตละ มาเริ่มกันเถอะ

สปิริตัส : ไม่มีนักรบที่เก่งกาจไปกว่านี้อีกแล้ว ข้าเข้าใจอย่างไร้กังขา

มาเทเรีย : จงก้าวไป... คว้าชัยชนะ!!

ว่าแล้วนักรบทั้งสองฝ่ายก็พุ่งเข้ามาเปิดเกมรุกใส่กัน... การปะทะกันนั้นส่งผลให้เกิดพลังงานมหาศาล จนกรรมการชินริวต้องโผล่มาขอซดโฮกพลังงานนั้น

นักรบและเทพร่วมกัน 27 ชีวิตหรือ 54 เท้า ช่วยกันป้องกันการโจมตีจากชินริวไว้ได้ ก่อนจะเคาตอร์กลับแล้วโผเข้าไปกระทืบชินริวกันคนละตีนสองตีน ก่อนที่พี่แสงจะเข้าไปผ่าชินริวออกเป็นสองเสี่ยง

ทว่าชินริวก็ไม่ได้ตาย... ตามที่นางเมฆาอันธการอธิบายไว้ก่อนแล้วว่าชิ้นส่วนของชินริวนั้นสามารถฟื้นฟูกลับขึ้นมาเป็นชินริวใหม่ได้ (เหมือนเซลล์หรือจอมมารบู) ดังนั้นถ้าจะกำจัดชินริว ก็ต้องเป่าให้ไม่เหลือซากเท่านั้น

การต่อสู้ยกสองจึงเริ่มขึ้น.... และที่เหลือคือหน้าที่ของผู้เล่นเองแล้ว

------------------------


ความเดิมตอนที่แล้ว หลังจากที่เหล่าตัวเอกและตัวร้าย ร่วมกันล่อชินริวออกมารุมกระทืบได้แล้ว... ชินริวก็ระเบิดบรึ้ม (แต่ไม่กลายเป็นโกโก้ครันซ์) แล้วหายไปในลักษณะที่ถ้าเป็นภาษาอังกฤษก็คงเรียกว่า Oblivion

ไม่มีใครรู้ว่าชินริวตายจริงหรือล้อเล่น... ก็อย่างที่นางเมฆาอันธการได้บอกไว้ว่าขนาดชิ้นส่วนเล็ก ๆ ของชินริวก็ยังสามารถฟื้นฟูกลับขึ้นมาเป็นชินริวขึ้นมาใหม่ได้ ดังนั้น ถ้าไม่เป่าให้สูญสลายแบบสิ้นซากดั่งที่เซลล์หรือจอมมารบูเคยโดน ชินริวก็ยังสามารถกลับมาใหม่ได้

ถ้าผู้เล่นยังอยากเล่น Dissidia ภาคต่อไปเขาก็คงจะมาเฉลยว่าชินริวยังไม่ตาย แต่ถ้ามันสิ้นสุดลงแค่ภาคนี้ ก็ถือว่าชินริวตายไปแล้วจริง ๆ

เมื่อหมอกควันแห่งการต่อสู้จางหาย สปิริตัสกับมาเทเรียต่างก็ชูอาวุธของตนขึ้นฟ้าแล้วนำมาแตะกัน ราวกับแทนคำขอบคุณที่ได้ร่วมมือร่วมใจกันจนสามารถปกป้องโลกของพวกเธอได้สำเร็จ

หลังจากนั้น ม็อคก็นำคริสตัลมาแจกจ่ายให้กับนักรบทุกคน ซึ่งเมื่อแต่ละคนได้สัมผัสคริสตัลแล้ว ก็จะเป็นการถ่ายทอดความทรงจำ (ใน FFWikia เรียกว่าแก่นแท้ หรือ Essence) ของแต่ละคนลงไป เกิดเป็นร่างจำแลงรูปแบบใหม่ขึ้นมา

ทีนี้ เจ้าร่างจำแลงที่เกิดขึ้นมาใหม่นี่ ดันมีรูปร่างท่าทางเหมือนตัวจริงเป๊ะ ดูภายนอกแล้วเหมือนเป็น Perfect Manikin แต่ก็ไม่รู้จะมีสติสัมปชัญญะและจิตใจรึเปล่า? คือตอนแรกก็เห็นมันยิ้มและโบกมือได้ แต่ในฉากสุดท้ายมันดูหยั่งกับตุ๊กตาราคาถูกกันยังไงยังงั้น

เอาเป็นว่าหลังจากถ่ายทอดความทรงจำของตัวเองไว้ในคริสตัลแล้ว แต่ละคนก็แยกวง กลับบ้านกลับช่อง ทางใครทางมัน

สลายการชุมนุมกันไปอย่างรวดเร็ว....

------------------------

ในเวลาต่อมา หลังจากที่ทุกคนกลับบ้านช่องกันไปหมดแล้ว มาเทเรียและสปิริตัส ก็แยกย้ายกลับไปยังวิหารของตน แต่ก็ยังมีอารมณ์เปิด Video Call มาคุยกัน

มาเทเรีย : อย่าลืมนะคะ หากปราศจากนักรบของฉัน เรื่องที่จะปราบชินริวได้ก็ไม่มีหวัง

(แหม่!!! เรียกได้เต็มปากเต็มคำว่านักรบของฉัน... ทำหยั่งกับเจ้าพวกนั้นเชื่อฟังหรืออยากเป็นพวกเธองั้นล่ะ!!)

สปิริตัส : จริง

มาเทเรีย : ฉันกล้ำกลืนยอมเสียศักดิ์ศรี (ร่วมมือกับสปิริตัส) ก็เพื่อการนั้น

สปิริตัส : ข้าก็ไม่คิดมาก่อนว่าเจ้าจะเลือกทำเช่นนั้น

มาเทเรีย : ก็ฉันไม่มีทางเลือก! (สะบัดหน้า) เลยได้แค่ทำในหนทางเดียวที่เป็นไปได้ ดังนั้นอย่าได้สำคัญตัวผิดไปนัก ที่ฉันทำ ฉันทำไป...

มาเทเรีย & สปิริตัสพูดพร้อมกัน : "เพื่อโลกใบนี้"

(มาเทเรียทำหน้าตกใจว่าสปิริตัสพูดดักเธอไว้ได้ยังไง... แต่เอาจริง ๆ ทุกคนก็ดูสถานการณ์และอ่านความคิดของมาเทเรียออก น่าจะมีแต่มาเทเรียที่ดูคนอื่นไม่ออก ตอนก่อนถึงได้ตีโพยตีพาย ถามว่าคลาวด์บัทซ์รู้เรื่องชินริวแล้วทำไมไม่กำจัด? มโนไปว่าสปิริตัสรู้เรื่องชินริวแล้วกลับนิ่งดูดาย...)

สปิริตัส : ข้าไม่มีปัญหากับเรื่องนั้น โลกจะต้องฟื้นคืนกลับมาเป็นปกติ ไม่ว่าพวกเราจะต้องเหนื่อยยากเพียงไรก็ตาม แต่เมื่อมันสำเร็จแล้ว...

มาเทเรีย : ฉันจะกำราบคุณ!! (จิกตา)

สปิริตัส : เยี่ยมยอด... ไม่ผิดหวังในตัวเธอเลย

สปิริตัสยกดาบขึ้นแล้วปักลงบนพื้นตรงหน้า จากนั้นก็เรียกร่างจำแลงทั้งหมด ทั้งฝั่งตัวเอกและตัวร้ายออกมาลอยประชันหน้ากันในสภาพที่หลับตาอยู่

มาเทเรีย : หรือว่านี่ก็คือ... ความทรงจำ?

สปิริตัส : ของดูต่างหน้า

มาเทเรีย : ถ้าอย่างนั้น ดิฉันขอมอบพลังที่หลงเหลืออยู่ให้แก่พวกคุณ

แล้วมาเทเรียก็ส่งพลังของตัวเอง เข้าไปในร่างจำแลงทั้งหมด

สปิริตัส : มา มาเริ่มต้นเปิดฉากการต่อสู้ครั้งใหม่ของพวกเรา!

ว่าแล้วร่างจำแลงทั้งหมดที่ได้พลังไป ก็ลืมตาตื่นขึ้น และลอยลงมาตั้งท่าเตรียมต่อสู้

สปิริตัส : ลุยมาเต็มที่ไม่ต้องมีเมตตา

มาเทเรีย : อย่างคุณไม่สมควรได้รับความเมตตาอยู่แล้ว

สปิริตัส : ข้าจะทำให้เจ้าคุกเข่าศิโรราบ

มาเทเรีย : ที่ต้องคุกเข่าน่ะ คือคุณ... ไม่ใช่ดิฉัน

ร่างจำแลงทั้งหมดชักอาวุธ เข้าที่ รอสัญญาณเขี่ยลูกจากกรรมการ

มาเทเรีย : รับไปเสีย บริการจากเหล่านักรบ (ชูคทาไปข้างหน้า เป็นสัญญาณให้ร่างจำแลงฝั่งตัวเอกทั้งหมด ออกตัวบุกได้)

สปิริตัส : ถ้างั้นก็จะสนองให้!! (ชูดาบไปด้านหน้า ให้พวกร่างจำแลงฝั่งตัวร้ายออกตัวเช่นกัน)

หลังจากนั้นร่างจำแลงของทั้ง 2 ฝั่งก็ตบตีกัน สร้างพลังงานให้กับโลก Dissidia ซึ่งค้ำจุนอยู่ด้วยพลังงานจากการปะทะ

ซึ่งก็ไม่รู้ว่าเมื่อโลกได้รับพลังงานมากพอ จนฟื้นคืนกลับมาดีแล้ว... มาเทเรียกับสปิริตัสจะเอายังไงต่อ??? งานนี้ไม่ว่าสปิริตัสต้องคุกเข่าให้มาเทเรีย หรือมาเทเรียต้องคุกเข่าศิโรราบต่อสปิริตัส...

ผู้ชมอย่างเรา แค่คิดตามก็บันเทิงแล้ว....

------------------------

อธิบายเรื่องร่างจำแลงสำหรับคนที่ตามไม่ทัน ว่าเดิมทีแล้วเรารู้จัก

1. Manikin (ร่างจำแลงโดยทั่วไป ซึ่งไม่สมบูรณ์แบบ) เกิดจากคริสตัลทำปฏิกิริยากับความทรงจำไม่สมบูรณ์แบบ ทำให้คริสตัลนั้นกลายร่างเป็นร่างที่คล้ายเจ้าของความทรงจำ แต่ยังมีรูปทรงและสีของคริสตัลอยู่ และขาดซึ่งสติสัมปชัญญะ

2. Perfect Manikin ร่างจำแลงที่สมบูรณ์แบบ เกิดจากคริสตัลทำปฏิกิริยากับความทรงจำ แล้วลอกเลียนรูปร่างของเจ้าของความทรงจำมาได้เหมือนเป๊ะ มีสติสัมปชัญญะและจิตใจ (แต่อาจจะความจำเสื่อม) ตัวอย่างในเรื่องที่ยืนยันได้ว่าเป็น Perfect Manikin แน่ชัดคือพี่แสง ซึ่งเป็นร่างจำแลงของซิด

**ส่วนพวกตัวละครอื่น ๆ อย่างบัทซ์หรือไลท์นิ่ง ผมคิดว่าจิตหรือ Consciousness ของพวกเขาเป็นของจริง แต่ร่างกายในโลก Dissidia นี้เป็นร่างอวตารที่เกิดจากคริสตัล หากตีความแบบนี้จะสอดคล้องกับเงื่อนงำ 3 อย่างที่ว่า

- ซิดบันทึกไว้ใน Chaos Report #05 ของ Dissidia ภาคแรกว่า I found that a great number of the consciousnesses had drifted to this world from other dimensions. I wondered if I might be able to give those consciousnesses physical form. After countless experiments, finally my testing reached success.

- อัลติมิเซียอธิบายว่าพวกก๊วนไลท์นิ่งโดนฆ่าตายใน Dissidia 012 ไปแบบถอนรากถอนโคน จนไม่เหลืออะไรให้ชินริวชุบชีวิตได้อีก ซึ่งถ้าไลท์นิ่งนั่นเป็นตัวจริงแล้ว FFXIII-2 และ LRFFXIII ก็คงไม่ได้เกิด ฉะนั้น ไลท์นิ่งที่ตายใน Dissidia 012 ก็ต้องไม่ใช่ตัวจริง... หรืออย่างน้อยที่สุดก็ไม่ใช่ร่างกายที่แท้จริง

- บัทซ์ในภาค NT บอกว่าตัวเองจำเรื่องราวตอนมาโลก Dissidia ครั้งแรก และเรื่องราวหลังกลับโลก FFV ยันอาหารที่กินเมื่อคืนได้ หมายความว่าอย่างน้อยที่สุด จิตของบัทซ์ที่มายังโลก Dissidia ครั้งก่อนนั้นเป็นของจริง และพอจบเรื่องในวัฏจักรรอบที่ 13 แล้วจิตก็ได้กลับไปยังโลก FFV ของเขา ก็เลยได้ข้อสรุปว่าสำหรับพวกนั้น เป็นจิตจริง แต่ร่างกายเป็นแค่ร่างอวตารครับ

2 ความคิดเห็น:

  1. ขอบคุณมากค่บ เนื้อเรื่องDissidia นี่โคตรงง อ่านบทแปลก็ยังงง ขอบคุณที่ช่วยอธิบายเพิ่มจนเข้าใจ

    ตอบลบ
  2. พอดีไม่เห็นคนทำซับไทยสักที และทางนี้ไม่ชำนาญการแปล แต่พอมีสกิลในการตัดต่อ จึงขออนุญาตใช้บทความ/คำแปลของคุณไปใส่ซับในวีดิโอ DFFNT นะคะ
    จะใส่เครดิตและลิงก์มายังบทความให้แน่นอนค่ะ!

    ตอบลบ