สรุปเนื้อหา Final Fantasy XV -The Dawn of the Future- Episode Luna


ในความทรงจำของลูน่า เธอนึกถึงวันที่คฤหาสน์เฟเนสเทล่าในเทเนแบร ถูกกองทัพนิฟไฮม์บุกโจมตี วันนั้นเรจิสใช้มือขวาข้างเดียวอุ้มน็อคติส และใช้มือซ้ายจูงมือลูน่าหนีตาย แต่ลูน่ากลับตั้งใจปล่อยมือจากเรจิส เพื่อที่เรจิสจะได้พาน็อคติสหนีได้ไวขึ้น (และเธอเองก็ได้ยินเสียงเรวุส พี่ชายร้องขอวามช่วยเหลือด้วย)

วินาทีที่ลูน่าปล่อยมือนั้น น็อคติสที่โดนอุ้มอยู่ก็มองไปทางลูน่าด้วยดวงตาแสนเศร้าแล้วก็ยื่นมือออกมา

วาระสุดท้ายในชีวิตของเธอก็เช่นกัน น็อคติสก็ยื่นมือออกมา เธอยิ้มให้ และหวังว่าสายน้ำจะช่วยกลบเกลื่อนหยาดน้ำตาของเธอ และเมื่อเขาลับสายตาไปแล้ว เธอก็ร้องไห้สะอื้นออกมา

แล้วเจนเทียน่าก็ขับกล่อมให้เธอหลับใหล อย่างที่เคยทำเมื่อครั้งที่ลูน่ายังเล็ก

ลูน่าหลับใหลและเคว้งคว้างไปนานเท่าไหร่ไม่รู้ เธอตื่นขึ้นมาอีกครั้งพบว่าตัวเองอยู่ในบ่อน้ำสกปรก ซึ่งอยู่ชั้นใต้ดินของวิหารเรเชล (レシエル) ที่อยู่บนแนวพรมแดนระหว่างทิวเขาซัคคาเป (Succarpe) และทะเลทรายยุสเซลโล (Eusciello) พื้นที่บริเวณนี้อยู่ในการครอบครองของของจักรวรรดินิฟไฮม์ ซึ่งลูน่าก็เคยแวะเวียนทำพิธีในที่แห่งนี้ในฐานะของโหรมาก่อน

เธอมองไปยังช่อดอกไม้ที่ห่อด้วยกระดาษหนังสือพิมพ์เก่า กระดาษนั้นเขียนว่าเจ้าชายน็อคติสได้หายตัวไปได้ 3 ปีแล้ว 

ลูน่าหนีจากเดม่อนยมทูตที่ไล่ตามเธอมา ออกมาจากใต้ดินวิหาร แล้วก็โผล่มมายังสุสานเก่า เธอหยิบกิ่งไม้มาต่อสู้กับเดม่อน

ตอนแรกเธอก็หลงคิดว่าฟ้าที่มืดมิดนี้เป็นเวลากลางคืน แต่แล้วก็สังเกตได้ว่าท้องฟ้าถูกปกคลุมด้วยหมอกพิษต่างหาก

ลูน่าตระหนักตกใจกับสภาพที่เกิดขึ้นกับโลก เธอคิดว่าเธอได้ส่งมอบแหวนลูซิไอให้น็อคติสไปแล้ว เขาก็น่าจะขจัดปัดเป่าความมืดมิดไปจากโลกได้แล้วนี่นา

ลูน่ายังคงหนีตายจากยมทูตที่ไล่ตามเธอมาอย่างไม่ลดละ จนเธอได้ยินเสียงมอเตอร์ไซค์ขับผ่านมา เธอเห็นมอเตอร์ไซค์นั้นพ่วงรถเทียมข้างสำหรับบรรทุกสัมภาระมาด้วย เลยตัดสินใจกระโดดขึ้นรถเทียมข้างนั่นแหละ และขอคนขับติดรถเพื่อหลบหนีจากเดม่อนไปด้วย

แม่สาวที่เป็นคนขับขับมอเตอร์ไซค์มาก็ตกใจ แล้วบอกว่าสัมภาระมันทำให้รถแล่นได้ช้าลง ลูน่าเลยโยนถุงใส่ข้าวของที่อยู่ในรถเทียมข้างทิ้งไป แต่แม่สาวคนขับกลับบอกว่าสัม “ภาระ” ที่ว่านั่นหมายถึงตัวหล่อน (ลูนาา) นั่นแหละ~

ว่าแล้วแม่สาวคนขับเลยรถจากรถ แล้วควักปืนลูกซองออกมายิงกับเดม่อน เธอบอกให้ลูน่าถอยไปเลย แต่ลูน่าไม่ถอยและรู้สึกว่าตัวเองก็ควรจะช่วยสู้ด้วย แต่เอากิ่งไม้ไปตี ๆ เดม่อนมันก็ไม่ไหว

เมื่อเข้าตาจน ลูน่าก็เผลอใช้พลังใหม่ออกไปโดยไม่รู้ตัว มันคือพลังในการดูดกลืนพลาสโมเดียมกลายพันธุ์ ที่เป็นอนุภาคพิษของเดม่อนเข้าไปในตัว แล้วแผลที่ได้รับบาดเจ็บ ก็มีพิษเดม่อนมาปกคลุมและฟื้นฟูรักษาให้ 

พอเห็นแบบนี้ต่อหน้าต่อ แม่สาวลูกซองเลยหันปืนเข้าใส่ลูน่าและเรียกเธอเป็นมอนสเตอร์ ซึ่งลูน่าก็เถียงไม่ออกและไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับร่างกายของเธอเอง แต่ยังไม่ทันที่แม่สาวจะได้ยิง เธอกลับสลบไป กลายเป็นลูน่าต้องดูแลช่วงที่แม่สาวคนนี้สลบอยู่ และพบว่าเธอพกปืนมาเต็มหยั่งกะผู้ค้าอาวุธ จะริบซ่อนยังไงก็คงริบไม่หมด

เมื่อแม่สาวตื่นขึ้น ลูน่าก็แนะนำตัวเต็มยศว่าเธอคือ ลูน่าเฟรย่า น็อคซ์ เฟลอเร็ต.... แต่แม่สาวบอกว่าอย่ามาอำ โหรคนนั้นตายไปตั้งแต่ 10 ปีที่แล้ว เท่ากับที่เจ้าชายน็อคติสก็หายตัวไป 10 ปี ลูน่าเลยยิ่งงหนักว่าเธอสละชีวิตด้วยความหวังว่าน็อคติสจะทำภารกิจได้สำเร็จ แล้วไหงมันเป็นแบบนี้

ลูน่าเองตอนนี้ก็งงว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวเองกันแน่? เธอเองใช่ลูน่าตัวจริงรึเปล่า? และเธอต้องเป็นมิตรหรือศัตรูกันเนี่ย?

ขณะที่ลูน่ายังงง ๆ ...แม่สาวลูกซองคนขับมอเตอร์ไซค์ ก็บอกว่าเธอชื่อโซล และตอนนี้มอเตอร์ไซค์ของเธอพังแล้ว ช่วยกันเข็นไปยัง Outpost ที่อยู่ใกล้ที่สุดหน่อย..

ระหว่างเข็นมอเตอร์ไซค์กันไป โซลก็เล่าว่าตอนนี้ชุมชนที่มนุษย์อาศัยอยู่เหลือแค่ที่เลสทัลลัมเท่านั้น ส่วนอินซอมเนียก็กลายเป็นรังของเดม่อนไปแล้ว พวกที่กล้าเข้าไปในพื้นที่ของนิฟไฮม์เก่า ก็มีแค่ฮันเตอร์กับเหล่า Kingsglaive เท่านั้น

เมื่อเข็นมอเตอร์ไซค์มาถึง Outpost ที่ชื่อเวล (ウェール) ที่นี่ไม่มีคนอยู่แล้ว ขณะที่โซลไปโทรศัพท์หาซิดนี อัมบราก็ปรากฏตัวมาหาลูน่า ทำให้ลูน่ารู้ว่าพรายน่าเสียชีวิตแล้ว

อัมบราเพียงแค่เห่า แล้วก็กระดิกหาง แต่นั่นก็ทำให้ลูน่าเข้าใจว่าน็อคติสยังมีชีวิตอยู่ เธอจึงหยิบไดอารีและปากกาออกมาเขียนว่า “ปลอดภัยดีแล้ว” แต่พอจะให้อัมบราเอาไดอารีไปส่งน็อคติส อัมบรากลับไม่ยอมไป สื่อสารกันไปมา ลูน่าก็เข้าใจว่าอัมบรายังไม่สามารถเอาไปส่งให้น็อคติสได้ในตอนนี้ (ยังหลับอยู่ในคริสตัลไม่ตื่น)

สลับมาทางโซลที่ต่อสายถึงซิดนี เธอปรึกษาว่าลูน่าคนนี้เป็นโหรตัวจริงรึเปล่านะ? แล้วก็ฝากซิดนีติดต่อบอกกลาดิโอด้วย คุยเสร็จแล้ว โซลก็เรียกลูน่าให้มาช่วยกันซ่อมมอเตอร์ไซค์ด้วยกัน

ในคืนนี้บาฮามุทมาเข้าฝันลูน่า... ลูน่าจำได้ว่าเจนเทียน่าเคยสอนว่าในบรรดา 6 เทพที่ปกครองดาวอีออสนั้น บาฮามุทคือเทพแห่งสรวงสวรรค์ มีสถานะสูงสุดอยู่เหนือกว่าอีก 5 เทพ แล้วบาฮามุทต้องการบอกอะไรกับเธอ?

ว่าแล้วบาฮามุทก็แสดงนิมิตให้เห็น ลูน่าเห็นอนาคตน็อคติสต้องสละชีวิตตนเองบนบัลลังค์ เพื่อข้ามผ่านไปยังโลกอีกด้าน (対のなす世界) น็อคติสทำลายวิญญาณของอาร์ดีนได้ แต่เขาก็แตกสลายกลายเป็นผุยผงไปด้วย ภาพเหล่านั้นทำให้ลูน่าหวาดกลัวมาก แต่ที่น่าตกใจยิ่งกว่านั้นคือ แม้จะทำกันขนาดนั้นแล้ว แม้ได้รับชัยชนะแล้ว

แต่ความมืด... โรคแห่งดวงดาว... ก็ไม่ได้หายไป...

ตอนที่เธอส่งมอบแหวนให้กับน็อคติส เธอไม่ได้คิดว่าเรื่องราวมันจะกลายเป็นแบบนี้เลยสักนิด

บาฮามุทบอกว่าภาพที่เห็นนั่นคือหน้าที่ซึ่งราชาที่แท้จริงจะต้องทำให้สำเร็จลุล่วง จากนั้นบาฮามุทก็แสดงนิมิตของอาร์ดีนกับอิฟรีท แล้วอธิบายว่าอาร์ดีนหันหลังให้กับประสงค์ของเทพเจ้า (จริง ๆ ก็แค่หันหลังให้ประสงค์ของบาฮามุทคนเดียวนั่นแหละ) และขยายพลังออกมาเรื่อย ๆ จนเกินกว่าจุดที่แหวนชำระล้างได้หมด

แล้วบาฮามุทก็มอบหน้าที่ใหม่ให้กับลูน่า นั่นคือการให้เธอไปกำจัดอาร์ดีนด้วยตัวเอง...

ซึ่งลูน่าก็ไม่แน่ใจว่าจะทำได้หรือไม่ แต่เธอก็จะพยายาม เพราะเธอไม่อยากให้น็อคติสต้องตาย

********************

หลังตื่นจากการพักผ่อนกันแล้ว โซลได้นำชุดใหม่มาให้ลูน่า เป็นชุดสีดำตามที่เห็นใน Artwork แล้วลูน่าก็ขอให้ไปส่งเธอที่อินซอมเนีย เพื่อที่เธอจะไปทำภารกิจใหม่ ปราบอาร์ดีนให้ได้สำเร็จ โซลเองฟังแล้วก็ยังไม่อยากเชื่อ แต่ก็ตกลงว่าจากที่นี่ เราจะนั่งเรือข้ามทวีปไปที่เมืองเลสทัลลัมในแผ่นดินลูซิสก่อน แล้วค่อยไปที่เมืองอินซอมเนีย

จากนั้นทั้งสองก็ช่วยกันรวบรวมอาหารที่อยู่ในถุงใส่ข้าวของที่ลูน่าโยนทิ้งไปจากรถเมื่อวาน ตอนนั้นเองถึงได้รู้ว่าลูน่าในตอนนี้สามารถมองเห็นในความมืดได้ดีกว่าคนทั่วไป ราวกับว่าเธอได้ตาแบบเดม่อนมาซะงั้น ส่วนมอเตอร์ไซค์ของโซล มีชื่อเรียกว่าเรจิน่า เป็นมอเตอร์ไซค์ที่พังบ่อยและต้องซ่อมบ่อย

โซลและลูน่าเดินทางไปตามเส้นทางรถไฟ พอเจอพวก Outpost เก่า ๆ ที่ไม่มีคนแล้วก็หยุดพักดื่มชากันบ้าง

ครั้งหนึ่งโซลถามลูน่าว่าไปเรียนรู้การใช้หอกมาจากไหน ลูน่าตอบว่านั่นเป็นส่วนหนึ่งของการฝึกเป็นโหร คือต้องฝึกป้องกันตนเอง ตอนนี้ลูน่าสามารถใช้หอกกำจัดเดม่อนตัวเล็ก ๆ ได้ แต่เมื่อเจอกับศัตรูตัวใหญ่ ก็ต้องใช้พลังพิเศษแบบอาร์ดีนจัดการพวกมัน และเธอก็รู้ว่ายิ่งเธอใช้พลังมากเท่าไหร่ โรคแห่งดวงดาวก็ยิ่งเข้าไปสะสมในตัวเธอมากขึ้น

โซลถามอีกว่าการเป็นโหรต้องฝึกฝนอะไรอีก ลูน่าตอบว่าต้องฟิตร่างกาย ฝึกวิ่ง ว่ายน้ำ นั่งสมาธิ ต้องไปสักการะบูชารูปปั้นของโหรรุ่นก่อน ๆ ต้องฝึกร้องเพลง ฝึกเต้น และทำอะไรยาก ๆ อย่างเช่นการอดอาหาร และปลีกวิเวกไปใช้ชีวิตตัวคนเดียวหลาย ๆ วัน

ลูน่าบอกว่าเธอพยายามทำสิ่งเหล่านี้ก็เพื่อทำ “หน้าที่” ของตนเองให้สำเร็จ แต่โซลไม่เข้าใจว่าแล้วจะเป็นโหรไปทำไม ในเมื่อมันยากลำบาก และไม่มีอะไรตอบแทน? ลูน่าก็ย้อนกลับว่าก็มันคือหน้าที่ที่ต้องทำอยู่แล้ว แล้วจะไปหวังให้มีอะไรตอบแทนได้ยังไง...

คืนนั้นลูน่าหยิบไดอารีขึ้นมาเขียนบรรยายความรู้สึกนึกคิด และเรื่องที่พบเจอมา ถึงน็อคติสต่อ

คืนที่สองนี้ ลูน่าพยายามติดต่อเจนเทียน่าในความฝัน เธอบอกว่าเธอตั้งใจจะไปสู้กับอาร์ดีน แต่ยอมรับว่าตอนนี้กลัว กลัวว่าใช้พลังเดม่อนมากไป แล้วจะกลายเป็นอะไรบางอย่างที่ไม่ใช่มนุษย์อีกต่อไป ว่าแต่เจนเทียน่าล่ะ รู้มาก่อนรึเปล่าว่าการใช้แหวนจะทำให้น็อคติสต้องตาย?

ทว่าภาพของเจนเทียน่าในความฝันกลับค่อย ๆ เลือนหายไป... เจนเทียน่าพยายามพูดออกมาแต่ลูน่ากลับไม่ได้ยินเสียง เธออ่านปากของเจนเทียน่า แต่ก็เข้าใจแค่คำว่า “เทพแห่งดาบ”

ลูน่าในความฝันพยายามเดินเข้าหาเจนเทียน่า แต่ยังไม่ทันไร... ก็มีสารพัดดาบของบาฮามุทตกลงมาจากฟากฟ้า กีดขวางเธอไว้

********************

วันถัดมา โซลโทรไปหาบิ๊กส์ และได้ยินว่าอราเนียกำลังออกไปทำภารกิจตามซากเมืองต่าง ๆ และจะมาพบเขากับเวจด์ที่นอม ซึ่งเป็น Outpost ที่ใหญ่ที่สุดในดินแดนนิฟไฮม์

พอลูน่าตื่นแล้ว ก็บอกให้โซลรีบออกเดินทาง โซลถามลูน่าว่าที่ผ่านมา การศรัทธาเชื่อมั่นในเทพเจ้า มันทำให้ได้ดีรึเปล่า? ความศรัทธานั้นเป็นเหตุผลที่ทำให้เธอคืนชีพกลับมาได้ใช่มั้ย? ลูน่าตอบว่าเธอถูกคืนชีพขึ้นมา ก็เพื่อทำหน้าที่ใหม่ให้สำเร็จ นั่นคือการกำจัดอาร์ดีน

โซลกระทุ้งถามอีกว่าทำไมเทพถึงต้องให้ลูน่ากู้โลกคนเดียวล่ะ? ทำไมเทพไม่ได้มอบพลังที่จะเอาชนะอาร์ดีนได้ ให้แก่ผู้อื่นด้วย? ถ้าลูน่าไม่ได้อยู่ในฐานะของโหร จะยังเชื่อมั่นศรัทธาในเทพเจ้าอยู่หรือไม่?

ลูน่าที่เจอคำถามขยี้ศรัทธาบดบี้แบบนั้น ก็น้ำตาไหลออกมา ทั้งจากความผิดหวังและจากความโกรธแค้นเทพเจ้า

เธอเคยขอร้องวิงวอนต่อเทพว่าอย่าให้ใครต้องสูญเสีย แต่แล้วตอนนี้ นิฟไฮม์กลับล่มสลายไปเรียบร้อยแล้ว เธอนึกถึงเมื่อก่อนที่เธอมาช่วยรักษาผู้คนช้าเกินไป เธอเห็นแววตาของความเศร้าโศกและโกรธาในดวงตาของผู้คน แม้ว่าพวกเขาจะไม่กล้าพูดอะไรออกมา

โซลเองเริ่มรู้สึกผิดที่กดดันลูน่ามากไป แต่ก็ยังไม่เข้าใจว่าลูน่าจะยังศรัทธาในเทพเจ้าและ “หน้าที่” ที่ว่านั่นไปทำไม พูดแล้วโซลก็นึกถึงตอนที่เธอเด็ก ๆ คนในจักรวรรดิก็เชื่อไม่ลืมหูลืมตาว่านิฟไฮม์ยิ่งใหญ่ จะจัดการปัญหาทุกอย่างได้... แต่แล้วนิฟไฮม์ก็ล่มสลายไป

ทว่าโซลก็มาได้อราเนียเป็นไอดอล เธอบอกว่าอราเนียไม่เชื่อถืออะไรนอกจากตัวเอง อราเนียช่วยเหลือผู้คนโดยไม่อ้างหน้าที่หรือผู้ใด อราเนียมักพูดว่า “ก็อยากจะช่วย” และนั่นก็คือสิ่งที่ทำให้โซลประทับใจ และเคารพในตัวของอราเนีย

ในวันที่สามนี้ ลูน่าเริ่มแข็งแรงและต่อสู้ได้คล่องแคล่วขึ้นเรื่อย ๆ ในขณะที่โซลใช้ปืนยิงเพื่อสกัดการเคลื่อนไหวของศัตรู ลูน่าก็ใช้พลังปลิดชีพศัตรูได้ แต่ก็เริ่มสังเกตว่าเครื่องหมายสีดำแพร่กระจายออกไปทั่วร่างกายของลูน่ามากขึ้นเรื่อย ๆ และลูน่าก็เจ็บปวด โซลเลยยิ่งขยี้ใหญ่ว่าจะไปเชื่อถือเทพเจ้าที่ให้พลังแบบนี้มาได้ยังไง

คืนนั้นโซลและลูน่าไปไม่ถึง Outpost ถัดไป เลยต้องนอนกลางป่ากลางเขา โซลจุดคบไฟวางรอบ เพื่อกันไม่ให้เดม่อนที่กลัวแสงสว่างเข้าใกล้ แต่กลายเป็นว่าลูน่าก็ดันรู้สึกอึดอัดกับแสงสว่างไปด้วย แต่ก็พยายามควักไดอารีขึ้นมาเขียนถึงน็อคติสก่อนนอน


ในวันที่สี่ กลาดิโอโทรศัพท์มาหาโซล แล้วคุยไตร่ตรองด้วยเหตุผลกันว่าลูน่าคนนี้เป็นตัวจริงรึเปล่า และพลังของเธอคืออะไรกันแน่? โซลเองเคยเห็นลูน่าตัวจริงในเหตุการณ์ที่อัลทิสเซียมาก่อน แต่นั่นมันก็คือเมื่อ 10 ปีที่แล้วซึ่งโซลยังเป็นเด็กวัย 8 ขวบ เลยไม่สามารถตัดสินอะไรได้

โซลคิดว่าลูน่าคนนี้ได้ช่วยชีวิตเธอไว้และเดินทางมากับเธอ แต่ก็ลังเลที่จะพูดจาเชิงปกป้องออกไป เลยพูดไปแค่ว่าพลังของลูน่าคนนี้มีประโยชน์กับพวกเขา กลาดิโอได้ยินเลยบอกว่าเดี๋ยวจะไปบอกซาเนีย (ซาเนีย เยเกอร์ สาวผิวสีนักชีววิทยาที่กลาดิโอเคยไปม่อไว้) ให้มาวิจัยเรื่องนี้ ซึ่งโซลฟังแล้วก็ไม่สบายใจ

แล้วโซลกับลูน่าก็เดินทางมาถึงนอม ซึ่งเป็น Outpost ที่ใหญ่ที่สุดในดินแดนนิฟไฮม์ แต่ก่อนหน้านี้ Outpost นี้เคยถูกโจมตี จนปัจจุบันกลายเป็นที่ร้างไปแล้ว และพวกเธอก็ไม่เห็นบิ๊กส์ เวจด์ และอราเนียที่นัดมาเจอกันที่นี่ ขณะที่โซลพยายามติดต่อฮันเตอร์คนอื่น ๆ พวกเธอก็ถูกเดม่อนเข้าจู่โจม แต่ลูน่าก็จัดการพวกมันและดูดกลืนพิษเดม่อนเข้าสู่ร่างกาย จนสลบไป

ลูน่ารู้สึกว่าพิษเดม่อนทั้งหมดที่เธอดูดซึมเข้าไปนั้น ยังคงไหลเวียนอยู่ภายในร่างกายของเธอไม่ไปไหน ซึ่งด้วยพลังพิเศษเดิมของเธอในฐานะโหร ที่สามารถรักษาชำระล้างพิษเดม่อนได้ เป็นเหตุผลให้เธอยังสามารถยืนหยัดต้านทานพิษอยู่ได้ ลูน่าจึงเข้าใจว่าด้วยเหตุนี้พลังนี้ในการดูดกลืนพิษเดม่อน จึงไม่สามารถมอบให้ใครคนอื่นได้นั่นเอง

โซลพาลูน่าไปพักแล้วชงชาให้ดื่ม เธอถามลูน่าว่าหากดูดกลืนพิษเดม่อนไปเรื่อย ๆ แล้ว ต่อไปลูน่าเองก็จะกลายเป็นเดม่อนรึเปล่า? และหากฆ่าลูน่าทิ้งไปเลยในตอนนี้ จะเป็นผลดีกับโลกใช่รึเปล่า? ลูน่าตอบว่าต่อไปเธออาจจะกลายเป็นมอนสเตอร์ เพื่อสู้กับมอนสเตอร์ด้วยกัน... ซึ่งเธอเองก็หวาดกลัวว่าจะสูญเสียตัวเองไป

โซลถามลูน่าต่อว่าชีวิตนี้อยากจะทำอะไร? (เพื่อจะไล่ให้ไปทำ) ลูน่าบอกว่าเธออยากทำหน้าที่ในฐานะโหรให้สำเร็จ

โซลบอกว่าไม่ใช่ในหัวโขนของโหรสิ ที่เธออยากรู้คือในฐานะของลูกผู้หญิงคนหนึ่งนั้น ลูน่าอยากจะมีชีวิตยังไง?

ลูน่าจึงคิด แล้วยอมรับว่าเธออยากจะใช้ชีวิตอย่างมีความสุขกับน็อคติส

โซลบอกว่างั้นไหน ๆ เทพอุตส่าห์คืนชีพให้แล้ว ลูน่าก็ไปใช้ชีวิตอย่างที่ต้องการสิ แต่ลูน่าห่วงว่าถ้าหากเธอไม่ปฏิบัติตามหน้าที่ที่เทพมอบให้จนสำเร็จ เดี๋ยวเทพก็จะมาเอาชีวิตเธอคืนกลับไป

อีกทั้งด้วยสภาพของเธอในตอนนี้ ด้วยพลังในการดูดซับพิษเดม่อนนี้ ลูน่ารู้สึกว่าตัวเองไม่ใช่มนุษย์อีกต่อไปแล้ว

จากนั้นโซลก็ติดต่อบิ๊กส์ และได้ทราบว่าพวกอราเนียไปสำรวจซากวิหารเก่าจากยุคโซลไฮม์ ที่นิฟไฮม์เอามาจิเทคไปเก็บไว้ แต่พวกอราเนียโดนเดม่อนล้อมและหนีออกมาไม่ได้ แถมใต้วิหารนั้นยังมี Sapphire Weapon กบดานอยู่ และอราเนียก็สั่งให้ปิดผนึกทางเข้าวิหารไว้ ไม่ต้องให้ใครมาช่วย และพวกเดม่อนข้างในนี้ก็จะได้ออกไปยังด้านนอกไม่ได้

โซลได้ยินแล้วก็ตัดสินใจว่ายังไงก็ต้องไปช่วยอราเนียที่เป็นคนเลี้ยงดูตนเองมาตลอด 10 ปีที่ผ่านมาให้ได้ ลูน่าเองก็บอกว่าเธอจะไปช่วยด้วย โดยให้เหตุผลว่า “ก็อยากจะช่วย” ประโยคเดียวกับที่โซลเล่าให้ฟังว่าอราเนียชอบพูดแบบนั้นเวลาไปช่วยคนอื่น

โซลที่ยังคลางแคลงใจอยู่ เลยเปิดเผยว่าชื่อเต็มของเธอคือ โซลารา อัลเดอร์แคปต์ แอนทิคุม... หลานสาวของจักรพรรดินิฟไฮม์ ครอบครัวของคนที่สั่งฆ่าราชินีซิลวา มารดาของลูน่านะ ยังคิดจะให้ความร่วมมือกับเธออีกมั้ย? ทว่าลูน่าก็ไม่สนใจเรื่องนั้น

ลูน่าและโซลเดินทางไปถึงวิหารที่อราเนียอยู่ ลูน่าจำได้ว่าเธอเคยมาฝึกตนที่วิหารแห่งนี้มาก่อน และก็จำเส้นทางลับภายในวิหารได้ ระหว่างเดินเข้าไปในวิหาร เธอก็เห็นรูปปั้นของเอร่า บรรพบุรุษของเธอ แล้ววิญญาณของเอร่าก็แสดงนิมิตให้เห็น นิมิตนั้นเป็นภาพชีวิตของอาร์ดีนสมัยก่อนที่เป็นดั่งนักบุญผู้ช่วยเหลือผู้คน ทำให้ลูน่าเข้าใจว่าพลังใหม่ที่เธอได้รับมาในตอนนี้ คือพลังเดียวกับที่อาร์ดีนมี ดังนั้นแล้วนอกจากการใช้ดูดอนุภาคพิษจากเดม่อนเข้าไปในตัว เพื่อทำลายพวกมันได้แล้ว เธอยังสามารถใช้พลังนี้ดูดพิษออกจากตัวคนที่เป็นโรคเพื่อช่วยรักษาพวกเขาได้ด้วย หากใช้วิธีนี้ ก็จะรักษาคนที่พึ่งกลายเป็นเดม่อนใหม่ ๆ ให้กลับมาเป็นมนุษย์ได้

แล้วเอร่ายังเล่าถึงการที่อาร์ดีนปฏิเสธชะตากรรมที่เทพมอบให้ (แสดงว่าเนื้อหา canon ใน Episode Ardyn คือตอบว่าต่อต้านชะตากรรม) แล้วก็กลายมาเป็นอาร์ดีนแบบที่เป็นอยู่ในตอนนี้ เธอจึงขอร้องให้ลูน่า ช่วยอาร์ดีนด้วย

ในวิหารแห่งนี้ ลูน่าและโซลยังได้พบดาบและหอกยักษ์ของโอดิน 1 ใน 24 ทูตสวรรค์ ที่ใช้ในการต่อสู้ในสงครามระหว่างเทพ และจากข้อมูลภายในวิหาร เลยได้รู้ประวัติศาสตร์สงครามระหว่างเทพเมื่อครั้งโบราณที่ต่างไปจากเดิมว่า เมื่อครั้งที่ชาวโซลไฮม์เริ่มเย่อหยิ่งเนรคุณ ไปดับไฟแห่งปัญญาที่อิฟรีทมอบให้ อัคคีเทพอิฟรีทจึงเกรี้ยวกราดและพยายามทำลายมวลมนุษย์ เทพที่เหลือก็เข้าขัดขวางอิฟรีทและกลายเป็นสงครามระหว่างเทพซะเอง ...เราได้รู้เพิ่มว่าเหตุการณ์นั้นสร้างความไม่พอใจแก่บาฮามุทซึ่งเป็นเทพสูงสุด และบาฮามุทจึงพยายามจะยิง “เทร่าแฟลร์” (テラフレア/ล้านล้านแฟลร์/แฟลร์ขั้น 4) เพื่อทำลายเทพทั้งหมด และทำลายดาวอีออสให้ล่มสลายพร้อมกันไปด้วย

ทว่าวันนั้นเอง ไตตัน ลิเวียธาน รามู ศิวะ ได้ร่วมกันปกป้องอีออสจากเทร่าแฟลร์ไว้ได้ แต่พวกเขาก็หมดสภาพ จนเข้าสู่การหลับใหลอันยาวนาน

โซลบอกว่าประวัติศาสตร์ตรงนี้มันไม่เห็นเหมือนกับตำนานที่เธอเคยได้ยินมาเลย (ไม่เคยได้ยินเรื่องบาฮามุทยิงเทร่าแฟลร์ทำลายโลก แต่ 4 เทพช่วยกันรับไว้มาก่อน) แต่ลูน่าบอกว่าเวอร์ชั่นนี้แหละถูกแล้ว เพราะเธอก็ได้ยินจากเจนเทียน่ามาแบบนี้เหมือนกัน

ทั้งสองเดินเข้าไปในวิหารลึกลงไปเรื่อย ๆ จนเจอบิ๊กส์กับเวจด์ พวกเขาต่อว่าโซลที่ตามเข้ามาช่วยทั้งที่บอกแล้วว่าอย่าเข้ามา แต่ลูน่าโกหกเอาตัวรอดว่าเธอจำเป็นต้องเข้ามาเพื่อทำหน้าที่ของโหร

ทั้งหมดเดินทางในวิหารต่อจนเจอฝูงเดม่อน เจอถ้ำใต้ดินขนาดใหญ่ และสุดท้ายก็ต้องปะทะกับ Sapphire Weapon

หลังร่วมมือกันกำจัดคุณไพลินลงได้ ลูน่าก็ต้องดูดพิษเดม่อนก้อนใหญ่มหาศาลเข้าไป

พวกเขาแน่ใจว่าอราเนียน่าจะต้องอยู่แถวนี้แน่ ๆ แต่ไหงกลับไม่เห็นโผล่ออกมาเลย ทันใดนั้นก็มีเดม่อนผมสีเงิน คว้าหอกเข้าจู่โจมพวกเขา พวกเธอรู้ว่าเดม่อนตัวนี้ก็คืออราเนียที่พึ่งกลายเป็นปิศาจนี่เอง และที่อราเนียสั่งให้ปิดผนึกทางเข้าวิหารไว้ เพราะเธอเองก็เริ่มจะกลายร่างไปแล้วด้วย

เมื่อรู้ว่าเป็นอราเนียที่กำลังตามหากันอยู่นี่เอง ลูน่าจึงเข้าสวมกอดอราเนียไว้ และใช้พลังดูดกลืนอนุภาคพิษ ดูดพลาสโมเดียมกลายพันธุ์ออกไปจากตัวอราเนีย ทำให้อราเนียกลับคืนเป็นมนุษย์ได้ ทว่าดูเหมือนพิษที่ลูน่าสะสมไว้ในร่างกายจะมาถึงขีดจำกัดแล้ว จนเธอเองเริ่มกลายร่างเป็นเดม่อน

พออราเนียได้สติ อราเนียก็คิดว่าลูน่าเป็นปิศาจ เลยเข้าไปโจมตีลูน่าเพื่อปกป้องโซลทันที

ลูน่าที่บาดเจ็บและหมดสติไป ถูกมัด และพาตัวไปยังเมืองเลสทัลลัม ระหว่างนั้นพวกฮันเตอร์และเหล่าเกลฟพยายามหารือกันว่าจะทำยังไงกับเธอ ดูเหมือนพวกเขาจะไม่เชื่อเรื่องที่ว่าลูน่าถูกคืนชีพขึ้นมา กระทั่งคอร์เองยังคิดว่าควรกำจัดเธอทิ้งซะ

คอร์ถามอิกนิสว่าเขาเห็นตอนที่ลูน่าตายต่อหน้าต่อตาเลยรึเปล่า อิกนิสตอบว่าใช่ ตายแล้วแน่นอน แต่เขาก็เห็นว่าร่างของเธอหายวับไปกับตา

คราวนี้ เป็นคิวของเจนเทียน่ามาเข้าฝันลูน่าบ้าง เจนเทียน่าบอกว่าอย่าเชื่อใจบาฮามุท (ทำไมหล่อนพึ่งมาบอกเอาตอนนี้!!) บาฮามุทตั้งใจจะให้ลูน่าช่วยรวบรวมความมืดทั้งหลายทั้งปวง รวมถึงกำจัดและรวมความมืดจากอาร์ดีนเข้าไปด้วย เพื่อที่บาฮามุทจะได้ใช้พลังงานความมืดที่ลูน่ารวบรวมมา ผนวกกับพลังของบาฮามุทเอง ทำพิธี “อัญเชิญครั้งสุดท้าย” (究極召喚/Final Summonning/ศัพท์เฉพาะจาก FFX นั่นเอง) เพื่อยิงเทร่าแฟลร์ครั้งสุดท้ายออกมา

เจนเทียน่าอธิบายต่อว่าบาฮามุทเป็นเทพสูงสุดในสรวงสวรรค์ ซึ่งอยู่แยกจากดวงดาว สำหรับบาฮามุทแล้ว มนุษย์ก็เหมือนกับดอกไม้ ที่ไม่ว่าดอกไหน ๆ ก็เหมือนกันไปหมด ดอกไม้ที่เป็นโรคหรือเสียหายจากการถูกศัตรูพืชรบกวน ก็ต้องเอาออกไป ตอนเกิดสงครามระหว่างเทพในอดีตกาล บาฮามุทก็เคยยิงเทร่าแฟลร์ออกมาแล้ว แต่พลังยังไม่พอ เลยทำลายดาวอีออสไม่ได้ ทว่าคราวนี้เขาจะทำมันให้สำเร็จ

ทว่าบาฮามุทนั้นเป็นอมตะ สามารถคืนชีพกลับมาใหม่ได้เรื่อย ๆ เพราะบาฮามุทมีตัวตนอยู่ในทั้งโลกมนุษย์และโลกหน้า (対のなす世界) ดังนั้นต้องกำจัดตัวตนของบาฮามุททิ้งลงทั้ง 2 โลก บาฮามุทจึงจะคืนชีพกลับมาไม่ได้อีก ทว่าการจะหยุดยั้งเทร่าแฟลร์นั้น ก็ไม่จำเป็นต้องถึงกับฆ่าแกงบาฮามุท

ถึงตรงนี้เจนเทียน่าเริ่มรู้ตัวว่าบาฮามุทดักฟังอยู่ (นี่บาฮามุทหรือ....) ก็เลยไม่พูดอะไรต่อ แล้วก็ชะแว้บไป...

********************

ลูน่าที่ตื่นขึ้นมา ก็พบว่าตัวเองถูกมัดควบคุมตัวอยู่ที่โรงแรมในเมืองเลสทัลลัม เธอโกรธในสิ่งที่บาฮามุททำกับอาร์ดีน แล้วยังจะหลอกใช้เธอเพื่อช่วยทำลายโลกอีก

แล้วอราเนียกับโซล ก็ช่วยกันพาลูน่าหนีออกมาจากโรงแรม แล้วให้โซลพาลูน่าซิ่งมอเตอร์ไซค์ไปยังเมืองอินซอมเนีย ระหว่างทางลูน่าก็เขียนไดอารีเป็นครั้งสุดท้าย และฝากอัมบราเอาไปให้น็อคติส เมื่อถึงเวลาที่น็อคติสตื่นขึ้น

แล้วลูน่าก็เปิดประตูเข้าไปในห้องบัลลังค์ที่อาร์ดีนนั่งรออยู่....

อาร์ดีนบอกว่าเสียใจด้วยที่ถึงคราวเคราะห์แล้ว บุคคลที่เธออยากเจอ (น็อคติส) ไม่ได้อยู่ที่นี่หรอกนะ...

แต่ลูน่ากลับตอบไปว่า เธอมาที่นี่เพื่อเจรจากับอาร์ดีน เป็นการส่วนตัว

“เจรจา? หุ่นเชิดของเทพเจ้ามีอะไรจะพูดกับข้า? นึกว่าเจ้าจะมากำจัดข้าเสียอีก”

ลูน่าตอบไปว่า “ในอดีต” เราทั้งสองต่างก็เป็นหุ่นเชิดของเทพเจ้า แต่วันนี้... ฉันมาขอให้คุณร่วมมือด้วย...

1 ความคิดเห็น:

  1. FYI - แยกไว้ให้ชัดเจน ความแตกต่างระหว่างพล็อต 6 เทพในเกมหลัก กับที่แต่งเพิ่มลงในนิยายทีหลัง

    ----------------------------------------
    6 เทพในตัวเกมออริจินอล + อัลติมาเนีย + แพทซ์ Chapter 12
    ----------------------------------------

    - สร้างแหวนลูซิไอ และเอาคริสตัลที่ดวงดาวสร้าง มอบให้ซอมนัสที่กลายเป็นราชา
    - ให้พลังราชา ให้พลังโหร
    - สนับสนุนให้แผ่นดินอยู่เย็นเป็นสุขเรื่อยมา
    - ตอนที่อิฟรีทไล่กระทืบมนุษย์ในยุคโซลไฮม์ อีก 5 เทพก็ลงมาขวาง
    - 5 เทพ ผิดที่อวยเข้าข้างฝั่งลูซิสเป็นพิเศษ ทั้งที่ควรวางตัวเป็นกลางกับมนุษย์
    - เหตุการณ์ที่ศิวะไปบุกนิฟไฮม์แล้วแพ้ ยิ่งทำให้เห็นว่า 5 เทพไม่เป็นกลาง (แต่มาแพทซ์เพิ่มเนื้อเรื่อง chapter 12 ทีหลังว่า ไปบุกเพราะจะช่วยอิฟรีทที่โดนจับไป)
    - วางแผนแก้ปัญหาโรคแห่งดวงดาวให้ โดยไม่ถามความเห็นมนุษย์ คิดเอง เออเอง แล้วชี้นิ้วสั่งอย่างเดียว

    ผมไม่ชอบสภาพที่ 6 เทพครอบงำประวัติศาสตร์มนุษย์ แต่ก็ไม่คิดว่าสิ่งที่พวกนั้นทำจะเป็นความผิดร้ายแรง ถึงจะไม่เป็นกลางและเข้าข้างลูซิสมาตลอด

    ประโยคที่ชวนแคลงใจที่สุดก็น่าจะเป็นที่บาฮามุทพูดว่า "จะอยู่อย่างซื่อสัตย์ภักดีต่อราชวงศ์ลูซิส? หรือจะตายอย่างกบฎ?"

    ----------------------------------------
    6 เทพในเวอร์ชั่นนิยายที่แต่งเนื้อหาเพิ่ม
    ----------------------------------------

    - กำหนดให้บาฮามุทมีสถานะเหนืออีก 5 เทพอย่างชัดเจน มีอำนาจสูงสุด อีก 5 เทพไม่มีสิทธิเถียง
    - ตอนโซลไฮม์กำแหง จะเลิกพึ่งเทพ ปกครองตนเอง ไปดับไฟของอิฟรีท แล้วเทพทั้งหมดตีกันโดยอิฟรีทเปิดก่อน บาฮามุทตบอิฟรีทร่วง แล้วรำคาญเลยจะยิงเทร่าแฟลร์ทำลายอีออสทิ้ง
    - แต่อีก 4 เทพ มาช่วยกันยันเทร่าแฟลร์ไว้ เลยสลบเหมือดนอนยาว
    - แต่งเพิ่มว่าบาฮามุทมีแผนทำลายโลกครั้งใหม่

    บาฮามุทตอนแรกยังเป็นคนเทา ๆ นะครับ แต่ไอ้ที่แต่งเพิ่มมานี่ ดำสนิทแล้ว

    ตอบลบ