ฮามากุจิเผยแนวทางมินิเกมใน FFVIIR ภาคสุดท้ายจะเปลี่ยนไป ไม่เล่นมุกเดิม
- ฮามากุจิบอกว่ามีฟังก์ชันการเซ็ตปุ่มสำหรับมินิเกมโดยเฉพาะอย่างมินิเกมส์เปียโนการกดโดเรมีฟาซอลลาทีโดคุณสามารถ Map ปุ่มลงไปในคีย์บอร์ดได้เลย
- เรื่องสมดุล Balance ของเกมไม่ได้มีปรับแก้อะไร เพราะว่าถ้าเปลี่ยนแพลตฟอร์มแล้วปรับไปด้วย ความรู้สึกยากง่ายและความอิ่มใจที่จบเกมได้ มันจะไม่เหมือนเดิม
- ฮามากุจิบอกว่าในเวอร์ชั่น PS5 ก่อนการอัปเดต การปรับความยากง่ายของเกมจะส่งผลกับมินิเกมโดยตรงด้วย ทว่าหลังจากดู Reaction หลังเกมวางจำหน่ายแล้ว ก็เห็นว่ามันเป็นปัญหากับคนที่อยากจะสู้แบบ Normal แต่เล่นมินิเกมแบบ Easy เขาก็เลยแพชซ์แก้โดยเพิ่มตัวเลือกในการปรับความยากง่ายของมินิเกมส์แยกออกไป ซึ่งการปรับความยากง่ายของมินิเกมโดยเฉพาะนี้ก็ส่งต่อมายังภาค PC ด้วย ฉะนั้นทุกอย่างที่อัปเดตเพิ่มเข้าไปใน PS5 ก็จะรวมอยู่ในภาค PC เช่นกัน
- ฮามากุจิบอกว่าเรื่องมินิเกมเปียโนขนาดเวอร์ชั่น PS5 หลาย ๆ คนยังสามารถเล่นเพลงมากมายแล้วโพสต์ลงโซเชียลมีเดียได้เลย ทั้งที่มันมีข้อจำกัดเรื่องแกนอนาล็อก ทำให้ไม่สามารถเล่นเพลงที่มีความซับซ้อนสูงได้ แต่ว่าภาค PC ซึ่งเล่นด้วยคีย์บอร์ดได้ ก็ปลดเอาข้อจำกัดนั้นออกไปแล้ว ดังนั้นเขาจะคอยดูคลิปคนเอามินิเกมเปียโนนี้ไปเล่นเพลงต่าง ๆ ต่อไป
- การใส่โหมด 強くてニューゲーム เข้าไปใน FFVII Remake ฮามากุจิบอกว่าก็เพื่อให้คนที่หยุดเล่นไปก่อนหรือกำลังเล่นตามมาสามารถเล่นให้จบได้เร็วยิ่งขึ้น รวมถึงระบบเร่งสปีดคัตซีนด้วยเช่นกัน ทุกวันนี้หลายคนก็ดูวีดีโอด้วย Speed 2 เท่ากันอยู่แล้วเพราะว่ามีเวลาน้อย ทุกวันนี้เกมที่สามารถเร่งคัตซีนให้เร็วขึ้น 2 เท่าได้มีไม่มากนัก ผมคิดว่านี่คงเป็นเวลาอันเหมาะสมที่จะใส่ฟีเจอร์นี้ลงไป และใครจะใช้หรือไม่ใช้ก็ได้ ผมเองคงบอกจำนวนไม่ได้ แต่ว่าหลังจากอัปเดตระบบนี้เข้าไปในเกม จำนวนของผู้เล่น FFVII Remake บน PC และ PS5 ก็เพิ่มขึ้น
- สำหรับ FFVII Rebirth ภาค PC โหมด Standard มีกราฟฟิกคุณภาพเทียบเท่ากับเวอร์ชั่น PS5 บน rtx 2070 และถ้าจะเล่นด้วยคุณภาพสูงสุดก็ต้องใช้ rtx 4080
- ส่วนบน steam deck เราก็ QA กันจนการันตีว่ารันได้เสถียรที่ 30 fps แล้วเราก็ปรับขนาด font ให้เหมาะสม เพราะตามกฎ steam deck แล้วถ้า font เล็กไปก็จะโดนตีกลับได้
- สื่อถามว่าการที่ภาค PS5 ได้คะแนน Metascore ถึง 92 ได้รับการยกย่องเป็นอย่างสูงและได้เสนอชื่อเข้าชิงรางวัลต่าง ๆ ในงาน The Game Awards คุณรู้สึกอย่างไรบ้างที่เกมได้รับการยกย่องขนาดนี้? ฮามากุจิบอกว่าด้วยความสัตย์จริง ก็อยากจะให้เกมไปได้ไกลกว่านี้ในเวที The Game Awards ทว่าท้ายที่สุดแล้วมันก็เป็นเรื่องของดวง ทว่าก็รู้สึกเป็นเกียรติมากที่ได้รับการจับตามองจากทั้งสื่อและผู้เล่น
- FFVII นั้นเป็นเกมพิเศษตั้งแต่ในภาคออริจินอล แต่สำหรับใน Project นี้ซึ่งเป็นเกมไตรภาค เราทำภาคที่ 2 โดยที่ผู้เล่นรู้อยู่แล้วว่ามันจะเป็น 3 ภาค ดังนั้นเราเลยต้องคิดให้รอบคอบ ถ้าเกมภาคที่ 2 นี้มันแสดงข้อจำกัดใด ๆ ออกมา มันก็มีโอกาสที่จะทำให้ความสนใจที่ผู้เล่นมีต่อภาคสุดท้ายลดน้อยลงได้ ในทางกลับกันเราจำเป็นที่จะต้องดึงความสนใจจากผู้เล่นให้ได้มากกว่าในภาคแรกด้วย ส่วนตัวแล้วผมเชื่อว่าเกมภาคแรกนั้นเป็นเกมที่ดีมาก ๆ แล้ว แต่ถ้าเราทำได้เท่าเดิม ผู้เล่นก็พอมองเห็นว่าภาคสุดท้ายมันจะได้ประมาณไหนแล้ว พวกเขาก็จะหมดความสนใจลงได้
- คิตาเสะบอกว่า FFVII OG นั้นเป็น RPG ที่มีทั้งเนื้อเรื่องเมืองเวิลด์แมปขนาดใหญ่ ให้ผู้เล่นได้สำรวจผจญภัยไปมาทั่วโลก แต่ว่าเมื่อฮาร์ดแวร์พัฒนาขึ้น โมเดลโพลีกอนของตัวละครก็มีรายละเอียดซับซ้อน ขึ้นทำให้การพัฒนายากขึ้นตาม Concept ของ World Map ก็หายไปตั้งแต่ FFX เป็นต้นมา ผมคิดว่ามันเป็นเรื่องที่น่าเสียดาย ใน FFVII Rebirth เราสามารถสร้าง World Map ในสเกลจริงได้แล้วผมก็ดีใจมากที่ได้เห็น World Map ของ FFVII Original ออกมาใหญ่ขนาดนี้
- สื่อบอกว่าเมื่อเล่น FFVII Rebirth แล้วแม้จะเป็นเกม Open World แต่ก็มีเนื้อเรื่องที่ชัดเจนและเมื่อเล่นไปตามแมพขนาดใหญ่แล้วก็มี Content รอบตัวให้ทำมากมาย ให้ความรู้สึกเหมือนกับเป็นเกม RPG ในสมัย Super Famicom หรือ PS1 เลย คิตาเสะบอกว่าตอนนี้ก็มีเกม Open World อยู่มากมายแต่ผมคิดว่าสำหรับผู้เล่นชาวญี่ปุ่นแล้วถ้าอยู่ๆก็โดนโยนเข้าไปใน Map ขนาดใหญ่พวกเขาจะงงแล้วก็ไม่รู้ว่าจะต้องทำอะไรสำหรับ Rebirth นี้แม้จะเป็นเกม Open World แต่เกมก็ออกแบบและนำทางให้คุณอย่างชัดเจนไม่ให้คุณต้องหลง
- สื่อบอกว่าพอเล่น Map ของ FFVII Rebirth แล้ว ก็รู้สึกอยากจะเห็น FF ภาคใหม่ใช้ระบบแบบนี้เลย ฮามากุจิบอกว่าเขาเองก็พูดแบบนั้นกับสื่อต่างประเทศเช่นกัน การที่เราทำ Project FFVII Remake นี้ทีมของเราก็ได้สั่งสม know how ไปเรื่อย ๆ และ FFVII Rebirth ก็ได้นำเสนอวิธีการใหม่ ๆ สำหรับ Final Fantasy ในอนาคต ดังนั้นผมก็อยากจะใช้ know How ที่สั่งสมมาต่อไปในอนาคตมากกว่าที่จะจบลงแค่ตรงนี้
- ฮามากุจิบอกว่าการใช้ร่มชายหาดที่คอสตาเดโซล ก็เป็นการ homage ต่อ Crisis Core รายละเอียดเล็กๆน้อยๆเหล่านี้ก็มาจากสตาฟฟ์ของซีนนี้ รวมถึงการที่แอริธเอาแว่นกันแดดมาใส่ตอนทำคอมโบด้วยเช่นกัน
- เรื่องการทำโฆษณาดงเบ ที่เป็น Project ของ Nissin ก็มีการคิดพล็อตไว้หลาย ๆ แบบแต่สุดท้ายก็เลือกเซฟิรอธ คนทำโฆษณาก็เป็นทีมที่ทำคัตซีนในเกม ส่วน Director ก็เป็นคนจากนิชชิน
- สื่อถามว่าโนมุระเขาโอเคหรือเปล่าที่เอาตัวละครไปเล่นแบบนี้ ฮามากูจิบอกว่าเขาก็ถามโนมุระแล้วว่าโอเคไหมเพราะว่าทั้งเซฟิรอธและคลาวก็เป็นตัวละครที่ออกแบบโดยโนมุระ เมื่อเขาโอเคเราถึงทำงานกันต่อไปได้ในวงการเกมไม่ค่อยมีโอกาสที่จะได้เอาคลิปไปทำโฆษณาแบบนี้นะผมว่าทีมที่รับผิดชอบเขาก็ค่อนข้างดีใจที่ได้ทำนะ
- สื่อถามว่าแล้วในเรื่องที่เขียนไปจากออริจินอลล่ะอย่างเช่นในช่วงครึ่งหลังที่วินเซนต์เข้าร่วมปาร์ตี้กระบวนการเข้าร่วมมันเปลี่ยนไปแถมเขายังเรียกตัวเองเหมือนเป็นผู้ดูแล เป้าหมายของการเปลี่ยนนี้คืออะไร? ฮามากุจิบอกว่ากรณีของยุฟฟี่เองก็เหมือนกันใน OG นั้นเราจะเอาเธอเข้าเป็นพวกหรือไม่ก็ได้ แต่ในการสร้างเนื้อเรื่องทุกวันนี้ มันยากที่จะทำเนื้อเรื่องทั้งแบบที่มีเธออยู่และไม่มีเธออยู่ด้วยกัน ดังนั้นเราจึงตัดสินใจที่จะใส่ทั้งยุคฟี่และวินเซนต์เข้าไปในเนื้อเรื่องหลักเลยตั้งแต่ที่เริ่มโปรเจคนี้ขึ้นแบบนี้มันก็จะทำง่ายกว่าสำหรับวินเซนต์นั้นเราไม่ได้ไปเปลี่ยน background อะไรเขาแต่เรามองว่าการทำแบบนี้เป็นการแต่งเติมให้เขาดูมีความสมจริงยิ่งขึ้น
- คิตาเสะก็เสริมว่ามันไม่ได้เป็นการเปลี่ยนแปลงไปจากออริจินอล วินเซนต์ก็ยังคงเป็นอดีต Turks เหมือนเดิมแค่เพิ่มเติมให้สมจริงขึ้น
- สื่อถามว่ามีมินิเกมที่สร้างแล้วสุดท้ายไม่ได้ใส่เข้าไปในเกมไหม? ฮามากุจิบอกว่าไม่มี เราไม่ได้สร้าง ๆ ไปก่อน เรากำหนดภาพรวมของเกม วางแผนว่าจะมีมินิเกมอะไรบ้าง แล้วค่อยทำ ดังนั้นก็ไม่ได้มีอันไหนที่เราสร้างแล้วตัดออกไป แต่ก็มีบางอย่างที่วางแผนแล้วรู้สึกมันไม่น่าสนใจก็เลยเปลี่ยนหรือรีเซ็ตมัน
- เรื่องมินิเกม Queen’s Blood มีคนขอมาเยอะเลยให้ออกเป็น App ในสมาร์ตโฟน แต่เราอยากโฟกัสกับการพัฒนาภาคสุดท้ายก่อน ในตอนนี้เราเลยยังไม่คิดที่จะสร้าง App ที่ใช้ IP Queen’s Blood แต่ว่าผมก็ว่าจะใส่ Queen’s Blood ลงไปในภาคสุดท้ายโดยเพิ่มอะไรใหม่ ๆ เข้าไป
- สื่อถามว่าเห็นฮามากุจิให้สัมภาษณ์ว่าจะทบทวนจำนวนมินิเกมในภาคสุดท้ายหรอ? ฮามากุจิบอกว่าที่จริงแล้วสิ่งที่เขาถ่ายทอดนั้นมันต่างออกไปหน่อย ก็เป็นโอกาสอันดีที่จะได้อธิบาย ในการสัมภาษณ์ที่ต่างประเทศนั้น เขาถูกถามว่าคิดยังไงกับคำวิจารณ์แง่ลบที่ว่าตัวเกมนั้นมีมินิเกมมากเกินไป สำหรับ FFVII Rebirth แม้จะเป็นเกม Open World แต่ Map มันก็ค่อย ๆ ขยายออกไปเมื่อดำเนินเนื้อเรื่อง เมื่อมีการเปิด area ใหม่หากให้เล่นแต่มินิเกมเดิมซ้ำ ๆ เหมือนใน area ที่ผ่านมาแล้ว มันก็จะไม่ตื่นเต้น เพราะฉะนั้นเราเลยอยากจะใส่มินิเกมอันหลากหลายเข้าไป ให้ผู้เล่นได้รู้สึกถึงความแปลกใหม่ผ่านมินิเกมใหม่เมื่อเข้าไปยัง area ใหม่ ดังนั้น ถึงจะมีคนบอกว่ามันเยอะเกินไปก็ตาม แต่เราก็รู้สึกว่านั่นแหละคือสิ่งที่เรามุ่งหวังแล้ว เมื่อมองดูภาพรวมก็รู้สึกว่าการแทรกมินิเกมเข้าไปตลอดทั้งเกมนั้นเป็นแนวทางที่ดีอย่างไรก็ตามหากเราเล่นมุกนี้อีกครั้งในภาคที่ 3 มันก็จะเป็นความจำเจ และสูญเสียความแปลกใหม่ แล้วจะทำไงดีล่ะ??? ตอนนี้เราก็ยังอยู่ระหว่างการออกแบบเกม ดังนั้นก็รอกันก่อนนะ เราไม่ได้มีแผนที่จะลดจำนวนมินิเกมในภาคที่ 3 ลง อย่างฮวบฮาบ เรา comment ไปว่าเรามีแผนที่จะเปลี่ยนมุก ไม่ใช้มุกเดิมกับในภาคที่ 2 ทว่าว่าในกระบวนการแปล มันดันถูกแปลไปเป็นว่าจะมีมินิเกมน้อยลงในภาคที่ 3 เพราะแบบนั้นเลยมีผู้เล่นมาบอกเราทีหลังว่า “อย่าลดมินิเกมลงนะ” ผมก็อยากจะใช้โอกาสนี้บอกทุกคนว่าเราจะเปลี่ยนมุก (หมายถึงไม่ใช้มุกเดินเปิดแมป พอเจอแอเรียใหม่ ก็มีมินิเกมประจำแอเรียใหม่ แบบภาค Rebirth แล้ว แต่จะเป็นยังไงนั้น ก็ยังอยู่ระหว่างการออกแบบ)
**จากข่าวเก่า สื่อที่ฮามากุจิอ้างถึงคือ Dailystar http://re-ffplanet.blogspot.com/2024/11/rebirth.html
- สื่อบอกว่าพูดตามตรงนะ พอได้ยินว่ามินิเกมจะน้อยลงในภาคที่ 3 แล้วส่วนตัวก็กังวลว่าและไอ้ตบนั่นน่ะจะเป็นยังไงนะ? ฮามากุจิบอกว่าหลายคนก็บอกว่าอยากให้เก็บมินิเกมนั้นไว้ในเรื่องนี้เราสามารถทำออกมาได้ดีเลยล่ะ คอยดูกันนะ
- สื่อถามว่าแล้วในภาคที่ 3 จะสามารถควบคุมเป็นซิดและวินเซนต์เดินไปมาบน World Map ได้แล้วใช่มั้ย? ฮามากุจิบอกว่า ณ ตอนนี้ยังยากที่ประกาศว่าพวกเขาเป็นตัวละครที่ควบคุมได้ แต่ผมคิดว่านั่นก็เป็นสิ่งที่ผู้เล่นคาดหวังกันอยู่แล้ว และนั่นมันก็เป็นคำตอบในตัวแล้ว
- สื่อถามว่าแล้วจนกว่าภาคที่ 3 จะออกก็ตั้งหลายปี ยังมีช่วงเว้นว่าง แล้วมีแผนที่จะออก FFVII ภาคใหม่ ๆ ออกมาในระหว่างนั้นมั้ย? ฮามากุจิบอกว่าใช่แล้ว ผมบอกรายละเอียดไม่ได้ แต่คิตาเสะบอกไปแล้วว่าอยากจะเพิ่มโอกาสให้ผู้เล่นได้สัมผัสซีรีส์ FFVII มากขึ้น ดังนั้น เราก็กำลังคิดหาทางสร้างฐานแฟนคลับกลุ่มใหม่ให้กับ FFVII ตั้งแต่ปีหน้าเป็นต้นไป เราจะทำอะไรบางอย่าง ก็รอดูกัน
- สื่อถามว่างั้นการใส่เพลงของ FFVII Rebirth เข้าไปใน Fantasian Neo Dimension เมื่อเดือนธันวาคมที่ผ่านมาก็เป็นส่วนหนึ่งในนั้นใช่มั้ย? ฮามากุจิบอกว่าเป๊ะเลย คิตาเสะก็บอกว่าจริงแท้ เขาเองก็ได้รับอีเมลข้อเสนอมาจากซากากุจิในช่วงเปิดตัวภาค PC ก็เลยตอบตกลงทันที ปกติแล้วซากากุจิไม่ได้ส่งเมลมาหาเขาโดยตรงดังนั้นก็เลยค่อนข้างแปลกใจ
- คิตาเสะบอกว่าเขามักเห็นคนในอินเตอร์เน็ตบอกว่าจะรอให้ภาค 3 ออกมาก่อนแล้วค่อยเล่นทั้ง 3 ภาคทีเดียว แต่คิตาเสะมองว่าในช่วงเว้นว่างระหว่างแต่ละภาค มันก็เป็นโอกาสที่คนเล่นจะได้คาดเดาเนื้อเรื่อง จินตนาการว่าภาคต่อไประบบจะเป็นยังไง แล้วก็พูดคุยแลกเปลี่ยนกับแฟน ๆ คนอื่น ๆ สร้างความคาดหวังกับภาคถัดไป แค่ได้นึกถึงมันก็สนุกแล้ว
- สื่อทิ้งท้ายว่าก็อย่างที่คิดจะเสร็จพูดไว้ว่าความสนุกในการพูดคุยคาดเดาเนื้อเรื่องตรงนี้เป็นประสบการณ์ที่เราจะสามารถสัมผัสได้แค่ตอนนี้ จนกว่าภาค 3 จะวางจำหน่ายเท่านั้น
Post a Comment