FFVIIR สุดท้ายในอีก 2 ปีข้างหน้า

เมื่อกี้ ก็แอบคิดนะว่า ตัวเราในตอนที่ FFVIIR ขบวนสุดท้ายออกมา จะเป็นยังไงนะ

โอ้ อีกสัก 2 ปี แปลว่าอย่างน้อยอายุก็ขึ้น หลัก 4 แน่ ๆ ล่ะ

ชีวิตคนรอบข้าง คงเดินผ่านไปอีกหลาย Phase แต่เรายังคงย่ำอยู่ที่เดิม เหมือนที่เคยเป็นมายี่สิบกว่าปี

งานการที่ทุ่มเท ก็คงก้าวหน้าขึ้น เงินก็คงเยอะขึ้น แต่ก็คงมีแต่เงินเก็บ... ไม่ได้มีทรัพย์สินแพง ๆ (ไอ้คอนโดที่มีมันก็ราคาหลัก 2 ล้านเอง คงไม่นับว่าแพง) ที่รอจะเอาไปใช้ในอนาคตในสักวัน เก็บ เก็บ มันเข้าไป เหมือนนิสัยที่สอนตัวมาตั้งแต่ ป.6 ว่าอดออมเก็บไปก่อน พอถึงเวลาที่ต้องใช้จะได้มีใช้เอง โดยที่ไม่รู้ว่าวันนั้นจะมาถึงเมื่อไหร่

สิ่งสำคัญของตัวเอง ก็คือเว็บไซต์ที่เป็นตัวแทนของคลังความรู้ตลอด 20 ปีที่ผ่านมา ประกอบกับ back up สำรองทั้ง hdd และ cloud ก็หวังว่ามันจะอยู่กับเราตลอดไป ในแง่บุคลากรที่บริโภคข่าว sqex แทนอาหารสามมื้อมาตลอด 22 ปี เราก็คงเป็นแบบนั้นตลอดไป เหมือนพระอาทิตย์ที่พอรุ่งเช้า ทุกคนก็จะแหงนหน้าขึ้นไปเห็นมันอยู่ตรงนั้นไปตลอดกาล สม่ำเสมอ และเป็นนิรันดร์

แต่คนรอบตัวในชีวิต ยิ่งโต ก็คงยิ่งเหลือน้อยลงไปเรื่อย ๆ ใช่ม้า?

พูดแล้วก็นึกถึงพ่อแม่วัย 78 และ 80 ปีของผม ที่เพื่อนกินข้าวของเขา เสียชีวิตไปหมดแล้วในช่วงวิกฤต COVID-19 เมื่อหลายปีก่อน ทำให้ชีวิตเขาเหมือนไม่เหลือจุดหมายใดแล้ว ไม่เหลือเพื่อนจากรุ่นเดียวกันที่จะแชร์ความคิดและประสบการณ์ที่ผ่านมาได้แล้ว ก็แค่ใช้ชีวิต ทำงาน กินข้าว วนลูป รอเวลาที่เหลือไปเรื่อย ๆ อย่างเงียบงันและทรมาน

มันคืออนาคตที่ทุกคนต้องเผชิญอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้สินะ

แต่ว่านะ มองในแง่ดี

อย่างน้อยอีก 2 ปี เราก็คงจะได้ดู Avengers ภาคใหม่และเห็นบทสรุปของ Saga ใหม่แล้วใช่มั้ย? มันก็คงจะสร้างปรากฏการณ์ได้ไม่แพ้ Endgame อย่างน้อยผมเชื่อมั่น และวาดหวังไว้แบบนั้น

และแม้ Evangelion จะจบลงอย่างสวยงาม ทุกคนเติบโตและแยกย้ายกันไปแล้ว แต่ FFVII นั้นก็ยังคงมุ่งหน้าสู่บทสรุป ซึ่งเราน่าจะได้เห็นกันใน 2 ปีข้างหน้า

ถ้าเกมออกปี 2027 ก็เท่ากับว่าห่างจากออริจินอล 30 ปีเลยเนอะ

หวังว่าระยะเวลา 30 ปีนั้น จะทำให้คิตาเสะ โนมุระ โนจิมะ มีมุมมองที่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม และไม่จำเป็นต้องนำเสนอบทเรียน หรือรสชาติเดิมซ้ำกับเมื่อ 30 ปีที่แล้ว

ผมยังวาดหวังถึง Happy Ending ในแบบที่คิตาเสะปรารถนาที่จะทำไว้ แม้เขาบอกว่ามันจะต้องไปรบกับอีกหลายคนก็ตาม

ในช่วงที่เรายังวัยเยาว์ เราคงรู้สึกว่าการแต่งเรื่องให้จบแบบปลายเปิด เศร้านิด ๆ ฝาดรสขมไว้ ให้ข้อคิดให้คนเราได้เติบโตและยอมรับการสูญเสีย มันก็เป็นเรื่องที่ดีนะ เพราะเรายังต้องโตกันต่อไป จะได้ชินกับโลกอันไม่จีรังและเต็มไปด้วยการแยกจากกันนี้

ท่วาพออายุมากขึ้นเรื่อย ๆ พอหันไปมองด้วยฟิลเตอร์ของพ่อและแม่ที่ไม่เหลือเพื่อนในชีวิตแล้ว ก็รู้สึกว่า ท้ายที่สุดแล้ว เมื่อถึงจุดนึง เราต่างก็คงต้องการที่จะหยุดวิ่ง ไม่อยากดิ้นรนอีกต่อไปแล้ว และอยากเพียงแค่โอบรับความสุขอันเรียบง่ายนั้นไว้

ขอบคุณอันโนะ ฮิเดอากิ ที่กล้าจะฉีกอดีต และมอบฉากจบอันสวยงามที่สุดเท่าที่โลกนี้จะมีได้ ให้กับ Evangelion
.
หวังว่าทฤษฎีของคาร์ลยุง และคำสอนพุทธนิกายโยคาจารย์ จะหล่อหลอมพวกคิโนมะ ให้เป็นไปในทิศทางนั้นเหมือนกัน

ไม่ชอบการแยกจากกันเลยเนอะ...

ไม่มีความคิดเห็น