Reminiscence -tracer of memories- ตอนที่ 10 ผู้โดยสาร


ฉันอยู่บนรถไฟ ถูกจับเข้ามาไว้ในรถไฟราวกับเป็นสินค้าอย่างหนึ่ง มือของฉันถูกล็อคและฉันอยู่ในเสื้อประกับ ฉันและคนอื่น ๆ กำลังถูกพาไปยังที่ไหนก็ไม่รู้ ทุกคนต่างอยู่บนที่นั่งของตน ก้มตาและก้มใจลง ผ้าคลุมศีรษะที่ติดอยู่บนชุดควบคุมตัวนั้น ปกปิดสีหน้าของพวกเขาไว้ไม่ให้เห็น แต่ฉันก็รู้ว่าทุกคนรอบตัวฉัน ต้องมีสีหน้าของความกลัวและความสิ้นหวัง วันคืนแห่งความสุขได้ถูกพรากไปจากเราโดยไม่มีสัญญาณเตือน เรากำลังจะถูกเนรเทศไปสู่โลกที่เต็มไปด้วยอันตราย เหล่าทหารติดอาวุธกำลังมองพวกเราอย่างระมัดระวัง

ทันใดนั้น รถไฟก็เหวี่ยงตัวไปมาอย่างรุนแรง เหล่าทหารสูญเสียการทรงตัว จังหวะนั้นเองฉันก็ถลาออกจากที่นั่ง

ฉันพุ่งเข้าชนทหาร ทำให้พวกเขาล้มหงาย พอทหารล้ม รีโมทคอนโทรลก็หลุดจากมือ ฉันจึงกระทืบมันให้แหลกคาเท้า กลไกไฟฟ้าที่ล็อคมือเราไว้จึงคลายลง ตอนนี้ทหารคนอื่น ๆ กำลังกรูกันเข้ามาหา ฉันจึงถอดชุดควบคุมตัวออกแล้วกระโจนเข้าไปอยู่กลางวงล้อมของศัตรู จากนั้นก็เตะตูมเดียวทำเอาล้มหงายไปหลายคนเลย

...อ๊ะ ฝันไปนี่นา

กำลังลั่นไกปืนที่แย่งมาจากทหารศัตรู ก็นึกได้ขึ้นได้พอดี พอนึกได้ว่ามันเป็นแค่ความฝัน ก็ได้สติทันที

ความฝันถึง “โลกใบนั้น” ไม่ได้ฝันถึงมันมานานพอสมควรแล้ว คิดว่าคงเป็นเพราะเมื่อคืนได้มานั่งอ่านบทสัมภาษณ์ที่เขียนไว้แน่  ซัสซ์บรรยายได้มีชีวิตชีวามาก แถมยังทำท่าประกอบให้ดูด้วย กระทั่งท่าตอนที่ไลท์นิ่งแย่งชิงรถไฟที่กำลังมุ่งหน้าสู่การ Purge และบรรยายว่าเธอจัดการพวกทหารได้ง่ายดายเพียงไร

ท้ายที่สุด ฉันก็ยังไม่ได้เผยแพร่บทสัมภาษณ์เหล่านี้ออกไป

สายสัมพันธ์ระหว่างไลท์นิ่ง ซัสซ์ โฮป และคนอื่น ๆ สายสัมพันธ์ที่พวกเขาแบ่งปัน สายสัมพันธ์ของพวกเขาคือเรื่องราวของมนุษย์ที่รวมตัวกันยืนหยัดต่อสู้กับพระเจ้า ฉันคิดว่าถ้าฉันเผยแพร่มันออกไปให้โลกรู้ มันจะมอบความกล้าและความหวังให้กับผู้คน แต่ฉันก็คิดได้ว่าขืนทำแบบนั้นไป ทุกสายตาก็จะจับจ้องไปยังไลท์นิ่งและผองเพื่อน ไม่ว่าพวกเขาจะชอบหรือไมก็ตาม ฉันเกรงว่ามันจะไปรบกวนชีวิตอันสงบสุขของพวกเขา ในเมื่อสุดท้ายการต่อสู้นั้นได้เป็นอดีตสำหรับพวกเขาไปแล้ว พูดอีกนัยหนึ่ง ฉันเจ็บปวดมากที่ได้สัมภาษณ์ ได้ค้นพบความจริง แต่ท้ายที่สุดกลับไม่สามารถเผยแพร่สิ่งที่ค้นพบได้ ฉันสอบตกในฐานะสื่อมวลชน ฉันรู้ดี

ฉันไม่ปฏิเสธ ทุกวันนี้ฉันก้าวออกจากวิถีของนักข่าวที่ดีไปไกลแล้ว

ฉันคนเก่า คนที่เคยเป็น อาจจะตายไปในสนามรบแล้ว

ตอนนั้นฉันกำลังทำรายงานข่าวสงครามกลางเมืองอยู่แล้วก็เกือบตาย หลังยอมให้ตัวเองไปรักษาตัวนิด ๆ หน่อย ๆ และพัก ฉันก็รีบมุ่งหน้ากลับสู่สนามรบทันที คนรอบตัวพยายามห้ามฉันไว้ แต่ฉันไม่ฟัง ฉันเข้าหากองกำลังฝั่งตรงข้าม และพยายามเต็มที่เพื่อให้เรื่องราวของทุกฝ่ายได้ตีแผ่ออกมา โดยปราศจากอคติ ฉันวางตัวเป็นกลาง โดยตัดเนื้อหาที่เอนเอียงออกไปจากรายงานของฉันทั้งหมด และหลีกเลี่ยงไม่ทำให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งดูเป็น “ตัวโกง” ฉันระมัดระวังเต็มที่เพื่อจะเขียนให้มันครบทุกแง่มุม

ความพยายามที่จะวางตัวเป็นกลางของฉันประสบความสำเร็จ ฉันคิดแบบนั้นเพราะฉันได้รับความไว้เนื้อเชื่อใจจากกองกำลังหลายฝ่าย พวกเขาเริ่มพูดอย่างเปิดอกตรงไปตรงมากับฉัน ฉันเลยได้รู้ว่าพวกเขาส่วนใหญ่ก็ไม่ได้อยากต่อสู้ แต่ปัญหาเพียงหนึ่งเดียวคือ พวกเขาไม่พบหนทางที่จะนั่งจับเข่าคุยกับฝ่ายศัตรู

ฉันจึงเข้ามารับบทบาทเป็นคนไกล่เกลี่ย เป็นคนกลางระหว่างกองกำลังทั้งหมด ขณะที่ทำหน้าที่นักข่าวไปพลาง ก็ทำการส่งสาสน์สำหรับการเจรจาต่อรองไปด้วย เพื่อให้พวกเขาติดต่อกันและกันได้ ก็แค่ไป ๆ มา ๆ แต่ฉันก็ดันไปมีปัญหากับเหล่าตัวละครหลักของสงคราม ฉันมั่นใจว่าตัวเองได้ละเมิดจรรยาบรรณที่นักข่าวทุกคนมุ่งมั่นปกป้องไปเรียบร้อยแล้ว นั่นคือการมองตามความเป็นจริงให้ได้ตลอดเวลา ที่แย่ไปกว่านั้น ถ้ามันไม่ได้ผล ฉันจะถูกหาว่ามีส่วนร่วมในอาชญากรรมสงครามไปด้วย

ฉันรู้อย่างนั้น แต่ก็ไม่ได้รู้สึกเป็นปัญหาแม้แต่น้อย ฉันอยากช่วยทำให้สงครามกลางเมืองยุติลง ดังนั้นฉันจึงมาที่นี่ อยู่ระหว่างการเตรียมพร้อมเพื่อประชุมสำคัญ แผนการคือให้ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องไปยังอีกประเทศหนึ่งที่อยู่นอกสนามรบ ให้พวกเขาได้นั่งคุยกัน ฉันไม่รู้ว่ามันจะได้ผลรึเปล่า ไม่แน่ว่าอาจจะมีนักฆ่าออกมาเก็บฉันด้วยซ้ำ เพื่อเอื้อประโยชน์ให้กับคนที่ต้องการล้มการเจรจาแหละนะ

แต่ถึงฉันต้องตายไปก็ไม่เป็นไร เพราะนั่นเพียงหมายความว่าฉันจะได้ไปพบไคอัส บัลลาด อีกครั้ง หากต้องตายเพราะได้เดินไปบนเส้นทางที่ตัวเองเชื่อมั่นว่าถูกต้อง ก็ช่างมันปะไร ฉันว่าคราวนี้แหละฉันจะยืนหยัดต่อหน้าเทพแห่งความตายด้วยแววตาของความภาคภูมิใจ

ความคิดที่ว่าฉันสามารถเปลี่ยนแปลงโลกนี้ได้ด้วยตัวเอง มันไม่ได้สูญเปล่า ฉันเชื่อว่าฉันสามารถนำพาโลกนี้ไปสู่ทางที่ดีขึ้นได้ นั่นคือความกล้า ความหวัง ที่ฉันพบจากเรื่องราวของ “โลกใบนั้น”

ทุกครั้งที่ฉันนึกถึงเรื่องราวเหล่านั้น หัวใจของฉันก็จะสว่างไสวขึ้นเล็กน้อย

REMINISCENCE -tracer of memories-

ตอนที่ 10

ผู้โดยสาร

ฉันพึ่งออกมาจากความฝัน ที่จริงก็อยากจะนอนมากกว่านี้อีกหน่อย ฉันอยากจะนอนระหว่างที่โดยสารบนรถไฟ เพราะเมื่อคืนมัวทำงานจนดึก และที่ฉันกำลังมุ่งหน้าไปนี้ก็มีการประชุมสำคัญรออยู่  ฉันฝันซะเคลิ้มเลย ก็ได้ผ่อนคลายบนที่นั่งสบายของรถไฟ และฟังจังหวะบรรเลงคู่ที่ล้อกับรางช่วยเคาะให้ มันก็สบายดี และไม่อยากให้มันจบลง


ฉันหลับตาลง แล้วปล่อยใจให้ไหลไปตามจังหวะร็อคสุดเหวี่ยงของรถไฟ แต่แล้ว แสงสว่างจ้าก็ทะลุผ่านผนังตา ฉันถูกอาบไปด้วยแสงแดดที่ฉายผ่านหน้าต่างเข้ามา ฉันกลั้นใจลืมตาและมองออกไป ท้องฟ้าสีครามกระจ่างใส และชนบทอันเขียวขจีตระหง่านอยู่เบื้องหน้าฉัน ภายใต้แสงอาทิตย์อันเจิดจรัส ฉันจะไปถึงที่หมายในช่วงเย็นวันนี้ ฉะนั้นยังเหลือเส้นทางอีกยาวไกล ระหว่างนั้นถ้าจะหลับอีกสักหน่อยก็คงไม่เป็นไร

ในที่สุดรถไฟก็เริ่มชะลอตัวลงทีละน้อย เราคงใกล้จะถึงสถานีถัดไปแล้ว ฉันได้ยินเสียงฝีเท้าก้าวเดินมาจากทางด้านหลัง แล้วมันก็ผ่านฉันไป คงเป็นผู้โดยสารที่กำลังจะลง จากราวกั้นในห้องที่นั่งของฉัน ฉันเหลือบเห็นเบื้องหลังของเสื้อคลุมสีขาว และผู้หญิงที่มีผมสีกุหลาบ

ฉันสะดุ้งตื่นขึ้นมาทันที

ราวกับโดนฟ้าผ่าลงมา ฉันรีบโดดเหยงเหมือนคนถูกที่แผดเผา แล้วกระซิบออกไป ด้วยความงุนงง

“ไลท์นิ่ง...”

เธอผู้นั้นหยุด

แล้วหันมาหาฉัน ด้วยสีหน้าอันโหดเหี้ยม ฉันคงโทษเธอไม่ได้ หากมีคนแปลกหน้ามาเรียกฉันโดยไม่มีการเตือนกันก่อน ฉันก็คงตั้งรับแบบเดียวกัน ทว่าภายใต้สีหน้าที่เหี้ยมเกรียม ฉันเห็นบางส่วนของเซร่าห์ ฟาร์รอน อยู่ในนั้นด้วยเหมือนกัน

ไลท์นิ่งแน่นอน ไม่ต้องสงสัยอะไรเลย ชื่อของเธอถูกพูดถึงในการสัมภาษณ์ทุกคนที่ผ่านมา มันน่าขันนัก ฉันอยากพบเธอแทบแย่ แต่ไม่มีหนทางที่จะพบเธอ ทว่าตอนนี้ ที่นี่ ฉันได้เผชิญหน้าตัวต่อตัวกับเธอ ด้วยความบังเอิญอันสมบูรณ์แบบ

เธอไม่พูดอะไรออกมา ฉันจึงเริ่มพูดก่อน

“ฉันอยากพบกับคุณมาตลอด ฉันได้พบทุกคนแล้ว มีเพียงคุณเท่านั้นที่ฉันพาตัวไม่พบ”

เหมือนว่าเธอจะเข้าใจว่าฉันกำลังพูดเรื่องอะไร

“...เข้าใจละ เธอนั่นเอง”

แล้วสีหน้าอันโหดเหี้ยมนั้นก็หายไป

“นักข่าวที่เข้าหาทุกคน และอยากจะพบกับฉัน... อืม ฉันได้ยินเรื่องของเธอมาแล้ว”

“ขอให้ฉันได้สัมภาษณ์คุณเถอะค่ะ”

เสียงครูดของรางรถไฟดังอื้ออึงจนกลบเสียงของฉัน รถไฟกำลังชะลอความเร็วลงอย่างเร่งด่วน เรากำลังจะถึงป้ายถัดไป

เธอชำเลืองมองไปนอกหน้าต่าง แล้วส่ายหน้า

“โทษทีนะ ฉันไม่มีเวลาจะคุยด้วย ต้องลงป้ายนี้ล่ะ”

“งั้นฉันก็จะไปกับคุณด้วยค่ะ ฉัน...”

จะลงที่นี่ด้วย... ฉันกำลังจะพูดแบบนั้นออกมา แต่แล้วก็ชะงัก

มันเป็นโชคอันเหลือเชื่อ การได้พบกับไลท์นิ่งหลังจากหมดหนทางที่จะตามหาเธอ มันอาจจะไม่มีวันเกิดขึ้นอีก ดังนั้น ฉันจะปล่อยให้การพบกันครั้งนี้หลุดลอยไปไม่ได้

ทว่าตอนนี้ ฉัน...

ฉันได้แต่ปล่อยมันไปอย่างผิดหวัง ถอนหายใจ แล้วกลั้นใจพูดออกมา

“...ฉันเข้าใจค่ะ แย่จริง ๆ เลย โอกาสแบบนี้ไม่ได้มีบ่อย ๆ ซะด้วย”

“เธอแน่ใจเหรอ?”

น้ำเสียงของเธอฟังดูประหลาดใจมากกว่าฉันซะอีก ฉันว่าเธอก็คงไม่คิดว่าฉันจะถอนตัวง่ายดายเพียงนี้

ฉันผิดหวัง แน่นอนอยู่แล้ว

แต่ฉันจะหยุดลงตรงนี้ไม่ได้

ฉันมีภารกิจ มีคนที่ฉันต้องไปพบที่จุดหมายปลายทาง ยังเหลือระยะทางอีกยาวไกล ฉันต้องไปพบเขาคนนั้นและค้นหาหนทางในการยุติสงคราม มันคือหน้าที่ของฉัน ไม่มีอะไรการันตีว่าการกระทำของฉัน ซึ่งไม่สำคัญเท่าพวกเขา จะยุติสงครามได้ แต่ฉันตัดสินใจแล้วว่าจะลองดู

ฉันจะค้นหาหนทางไปสู่การยุติสงคราม และมุ่งไปตามเส้นทางนั้น ให้ไกลที่สุดเท่าที่ตัวเองจะทำได้ นั่นคือภารกิจที่ฉันมอบให้กับตัวเอง ผู้คนที่ปรารถนาสันติสุขกำลังรอฉันอยู่ที่ปลายทางสายนี้ ฉันจะถอนตัวไปก่อนไม่ได้

ฉันเงยหน้าขึ้น แล้วมองไลท์นิ่ง

“ฉันมีเรื่องที่ต้องไปทำค่ะ ฉันขอเก็บการสัมภาษณ์นั้นไว้คราวหน้าละกัน ถ้าคุณยินยอมนะคะ”

“ไม่รู้เหมือนกัน”

คำพูดของเธอฟังดูเป็นการเล่นตัวเล็กน้อย แต่น้ำเสียงนั้นอ่อนโยน อย่างน้อยเธอไม่ได้ปฏิเสธฉันซะทีเดียว

“มีเรื่องหนึ่งที่ฉันอยากให้คุณได้รับรู้ ฉันอยากพูดเรื่องนี้กับคุณมาโดยตลอด”

ตอนนี้เราเกือบจะถึงชานชาลาแล้ว รถไฟกำลังจะหยุดนิ่งโดยสมบูรณ์ ไม่มีเวลาแล้ว เสียงครูดเบรกบอกฉันว่าต้องรีบแล้ว คำพูดของฉันจึงพรั่งพรูออกมาอย่างรีบเร่ง

“ฉัน... ไม่สิ พวกเราทุกคน มนุษย์ มนุษยชาติ พวกเราไม่เป็นไร เราต้องไม่เป็นไรแน่ บางครั้งเราก็ก่อความผิดพลาดซ้ำสอง บางครั้งก็ทำร้ายซึ่งกันและกัน แต่ถึงกระนั้น โลกใบนี้... ‘โลกใบนี้’ ที่คุณและพวกพ้องได้มาจากการชัยชนะเหนือพระผู้เป็นเจ้า... โลกนี้ถูกสร้างขึ้นโดย ‘พวกเรา’ พวกเราคือผู้ค้ำจุนโลกใบนี้  พวกเราคือเสาหลัก ดังนั้น เราจะพยายามจัดการดูแลโลกใบนี้เอง ด้วยกำลังเพียงเล็กน้อยที่เรามี ด้วยตัวของเราเอง พวกเราแต่ละคนต่างก็เล็กน้อยและไม่สำคัญ แต่เราร่วมกัน จะทำให้โลกนี้ดีขึ้นได้”

“...เข้าใจล่ะ ขอฝากเธอไว้ด้วยละกันนะ”

เธอพยักหน้า แล้วหันขวับไปจากฉัน นั่นคือการจากลา

 ฉันมองดูไลท์นิ่งก้าวลงชานชาลาและเดินจากไปผ่านหน้าต่าง รถไฟเริ่มเคลื่อนขบวนอีกครั้ง เธอลับสายตาไปในทันที น่าแปลกนะ ฉันไม่รู้สึกเสียใจ สีหน้าของเธอในตอนที่เราจากลากัน จะแผดเผาอยู่ในความทรงจำของฉัน และฉันจะมองเห็นมันได้เสมอ


มันเป็นรอยยิ้มอันอบอุ่นและอ่อนโยน พูดตามตรง มันทำให้ฉันแปลกใจ ฉันคิดอยู่เสมอว่าไลท์นิ่งเป็นคนเข้มงวดและเคร่งครัด ไม่ยอมอ่อนข้อให้ใคร ฉันไม่เคยคิดมาก่อนว่าเธอจะยิ้มแบบนั้น

แล้วฉันก็คิดได้ว่า การต่อสู้ของเธอจบสิ้นลง “ที่โลกใบนั้น”

ไลท์นิ่งส่งพระเจ้าแห่งแสงลงหลุม เป็นการปลดปล่อยตัวเธอเองจากการต่อสู้ทั้งปวง เธอไม่ใช่เพียงคนเดียวที่ได้รับอิสรภาพ การที่พระเจ้าผู้ครอบงำมนุษย์ถูกโค่นลง วิญญาณของมนุษย์ทั้งหมดก็เป็นอิสระจากบังเหียนของพระเจ้า และได้มาเกิดที่นี่ บนโลกใบใหม่นี้

รวมถึงเธอ ที่มาเกิดใหม่ด้วยเช่นกัน

เธอไม่ต้องสู้อีกต่อไป บางทีตอนนี้เธอคงไม่ได้เรียกตัวเองว่า “ไลท์นิ่ง” แล้ว เธอคงมีชีวิตอันเงียบสงบ เปิดใจให้เพื่อนฝูง ครอบครัว และผู้คนที่หมายถึงโลกสำหรับเธอ แบ่งปันรอยยิ้มแห่งความสุขให้ผู้คนรอบกาย... ฉันแน่ใจว่าตอนนี้เธอต้องมีชีวิตแบบนั้นแน่

ฉันรู้สึกว่าฉันต้องได้พบกับเธออีกครั้ง ที่ไหนสักแห่ง วันใดวันหนึ่ง ฉันไม่เคยมีเงื่อนงำเกี่ยวกับเธอ กระทั่งตอนนี้ หลังจากได้พบเธอโดยบังเอิญ ฉันก็ยังไม่รู้ว่าแอดเดรสของเธอ ทั้งที่เป็นแบบนี้ ฉันกลับมั่นใจว่านี่ไม่ใช่ครั้งสุดท้ายที่เราได้พบกัน เธอรู้ว่าฉันเป็นใคร เธอต้องได้ยินเรื่องของฉันมาจากเพื่อนคนใดคนหนึ่ง สายสัมพันธ์ของพวกเขายังคงเข้มแข็งเสมอ แม้แต่ตอนที่มาเกิดใหม่บนโลกใบนี้ ถ้าฉันไปพบเพื่อนพ้องของเธออีกครั้ง ฉันแน่ใจว่าฉันต้องได้พบกับเธออีกที่ไหนสักแห่ง พวกเขายังเป็นเพื่อนกัน และจะเป็นส่วนหนึ่งของกันและกันเสมอ

ฉันนึกสงสัยขึ้นว่าทำไมเธอถึงลงไปที่สถานีนั้น เธอกำลังจะไปพบใครหรือเปล่า? เพื่อนคนใดคนหนึ่งรอเธออยู่งั้นเหรอ? หรือเธอออกไปพบคนพิเศษ คนที่ฉันไม่รู้จัก? แต่ยังไงก็ไม่สำคัญ ตอนนี้เธอเป็นอิสระแล้ว เธอจะไปที่ไหน พบกับใครก็ได้ สิ่งที่เธอปรารถนาต้องเป็นจริงแน่ ฉันอยากให้เป็นแบบนั้น จากก้นบึ้งของหัวใจ


“เจตจำนงของมนุษย์กำหนดชะตากรรมของโลกที่ไม่มีพระเจ้า” หากเป็นเช่นนั้นจริง ฉันขอเลือกที่จะเชื่อมั่นว่าถ้าฉันปรารถนาอย่างแรงกล้า อนาคตอันสว่างไสวยิ่งกว่าจะรอคอยเธออยู่ ขอให้สตรีผู้นี้ คนที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นดั่งประกายแสงใน “โลกใบนั้น” ได้พบพานกับความหวัง... ขออธิษฐานและปฏิญาณ นี่คือความปรารถนาของฉัน


--------------------------------------------------------

ย่อสั้น + คอมเมนต์ตามใจตัวเอง

เนื้อหาบทสุดท้ายนี้น่าประทับใจเทียบเท่าบทรองสุดท้ายของไคอัส 2 ตอนสุดท้ายนี้ทำเอาตอนอื่น ๆ จืดไปเลยทีเดียว โดยเนื้อหาตอนนี้เป็นเรื่องของแอเด้หลังจากได้รับข้อคิดจากไคอัสว่าโลกของมนุษย์ มนุษย์ก็ต้องเปลี่ยนแปลงแก้ไขกันเอง ไม่ใช่เอาแต่โทษฟ้าดินหรือชิงตายเพื่อจะได้ไปสบาย แอเด้จึงแสดงความพยายามในการยุติสงครามกลางเมืองของประเทศแห่งหนึ่ง โดยเริ่มจากการนำเสนอข่าวสงครามนี้แบบเป็นกลาง พิถีพิถันในการเรียบเรียง โดยตัดข้อความที่เอียงหรือทำให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งดูเป็นตัวร้ายออก เพื่อสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจกับทุกฝ่าย และเริ่มตีซี้ทีละฝ่าย พอมั่นใจว่าทุกฝ่ายก็ไม่ได้อยากทำสงครามเข่นฆ่ากันหรอก แต่หาวิธีพูดกันโดยสันติและหาทางลงไม่ได้ แอเด้จึงอาสาเป็นคนกลางส่งสาสน์จากใจแกนนำแต่ละฝ่ายไปหากันและกัน ให้พวกเขาได้เจรจาต่อรองกันในเบื้องต้นผ่านเธอได้ ซึ่งการที่เธอทำแบบนี้มันก็ย่อมมีคนไม่พอใจ โดยเฉพาะพวกตัวละครหลักของสงคราม เธอเอาตัวเข้าไปเสี่ยงกับการกลายเป็นอาชญากรสงคราม และเสี่ยงต่อการโดนมือที่ 3 เก็บได้ (วิธีการของเธอ คล้ายกับวิธีการที่ผมชอบทำเลยแฮะ)

และแล้วแอเด้ก็วางแผน ให้แกนนำแต่ละฝ่ายได้มีโอกาสไปตั้งโต๊ะเจรจากันนอกประเทศ... ย้ำว่าต้องนอกประเทศเท่านั้น ไม่งั้นอาจจะโดนล้มโต๊ะได้ ในตอนสุดท้ายนี้เธอก็ยังอยู่ในขั้นตระเตรียมการประชุมดังกล่าว เลยต้องนั่งรถไฟ ไป ๆ มา ๆ เพื่อสื่อสารกับแกนนำแต่ละฝ่าย

ระหว่างโดยสารรถไฟนั้นเอง เธอก็ได้เจอกับไลท์นิ่งที่เธอตามหามาตลอด ทว่าไลท์นิ่งก็กำลังจะลงในสถานีถัดไปแล้ว แอเด้จึงต้องตัดใจจากการสัมภาษณ์เธอ เพราะเธอมีงานสำคัญรออยู่ จากที่กะตื้อเพื่อสัมภาษณ์ เลยกลายเป็นการบอกไลท์นิ่งให้สบายใจว่าพวกเราจะไม่เป็นไร มนุษย์สร้างโลกใบนี้ขึ้นมา มนุษย์ก็จะช่วยกันจัดการดูแลโลกใบนี้ให้ได้ ถึงแต่ละคนจะเล็กน้อยและไม่สำคัญ แต่เมื่อทุกคนช่วยกัน เราจะเปลี่ยนแปลงโลกให้เป็นที่ที่ดีขึ้นได้ (เป็นการอิงถึงคำพูดตอนที่ไลท์นิ่งสังหารบูนิเบลเซ่)

หลังแยกจากกันแล้ว แอเด้เชื่อว่าสักวันหนึ่งเธอต้องได้เจอไลท์นิ่งอีก เพื่อนของไลท์นิ่งสักคนสามารถติดต่อไลท์นิ่งได้แล้วแต่กลับไม่ยอมบอกเธอ ดังนั้นถ้าแอเด้ไปไล่ตื้อเพื่อน ๆ เหล่านั้นทีละคน เดี๋ยวก็หาวิธีติดต่อไลท์นิ่งได้เองแหละ แล้วแอเด้ก็นึกสงสัยขึ้นมาว่าไลท์นิ่งลงไปทำอะไรที่สถานีนั้น? ไปหาคนพิเศษรึเปล่า? แต่ช่างมันเถอะ ขอให้ประกายแสงได้พบกับความหวังละกัน ขออธิษฐานอย่างนั้น

(มีจุดสังเกตคือพวกศัพท์ที่ใช้บรรยายเกี่ยวกับไลท์นิ่ง จะมีเอกลักษณ์เสมอ เช่น ตอนแอเด้เจอไลท์นิ่งก็รู้สึกราวโดน “สายฟ้า” ฟาดกลางกบาล พอมองหน้าไลท์นิ่ง ก็เจอทำหน้า “เหี้ยมเกรียม” ใส่ และยังปิดท้ายว่าสีหน้าของไลท์นิ่งจะ “แผดเผา” ลงไปในความทรงจำของเธอ)

ไม่มีความคิดเห็น