7 วินาทีก่อนจะถึงจุดจบ กับการตีความใหม่หลังสิ้นสุดโลกิ

พึ่งได้ดูโลกิ ตอนสุดท้ายครับ

ระหว่างดู ก็นึกถึง 3 อย่าง


1. คำว่าอีก 7 วินาทีจะถึงจุดจบ เด้งขึ้นมาเป็นอย่างแรก

ก่อนหน้านี้ คุณโทริยามะ ผู้กำกับร่วมของ FFVII Remake ที่ช่วยทำซีนาริโอ ให้ข้อมูลในหนังสือ FFVII Remake Ultimania Plus ไว้ว่า "ดินแดนที่เราเห็นคลาวด์และเซฟิรอธต่อสู้กันในฉากสุดท้าย เรียกว่า 世界の先端 (Edge of Creation ในเวอร์ชันอังกฤษ) มันคือปลายสุดของมิติและกาลเวลาของโลก ที่ซึ่งเวลาหยุดลง เวลาได้หมดลงก่อนที่จะถึงจุดจบของโลก ดังนั้นจึงนำเสนอด้วยคำว่า 'อีก 7 วินาที' หากเวลากลับมาเดินต่อ โลกก็จะถึงจุดจบภายใน 7 วินาที หรือไม่ก็ด้วยพลังงานบางอย่าง เส้นทางของมิติกาลเวลาก็อาจเปลี่ยนไป ดังนั้นเซฟิรอธถึงบอกคลาวด์ว่า 'มันขึ้นอยู่กับแก' " - http://re-ffplanet.blogspot.com/2021/07/final-fantasy-vii-remake-material.html

Edge of Creation ที่ปลายสุดของมิติและกาลเวลา ฟังดูก็ไอเดียเดียวกับโลกที่มองไม่เห็นในซีรีส์ Fabula Nova Crystallis ที่ ณ จุดจบกาลเวลานั้นมีวาลฮัลล่า ที่เชื่อมโยงและมองเห็นกาลเวลาทุกยุคสมัยได้

ขณะเดียวกัน มันก็เหมือนภพที่บัลลังก์อันทรงเกียรติของฮีฮู ตั้งอยู่

พูดถึงจุดจบที่มีเวลาอันจำกัด โลกิรู้ว่าเหลือเวลาอีกเท่าไหร่ เขาจึงไถลเวลากลับไปยังอดีตเพื่อหาทางเปลี่ยนแปลงเหตุปัจจัยต่าง ๆ ด้วยความหวังว่า ผลลัพธ์สุดท้ายอันเป็นการล่มสลายของทุกสรรพสิ่งจะเปลี่ยนไป

มันก็ทำให้ผมนึกถึง 7 วินาทีที่เซฟิรอธพูดเอาไว้

แน่นอนว่า เซฟิรอธคงไปอยู่ ณ จุดจบของเวลามาแล้ว ไปอยู่ในตอนเหลือเวลา 7 วินาทีมาแล้ว และทำอะไรไม่ได้

ผมเคยตั้งทฤษเฎาเรื่องลูปว่า ในลูปก่อน ๆ เซฟิรอธอยู่ไปถึง 7 วินาทีสุดท้ายแล้ว และทำอะไรไม่ได้ แต่ตัวเขาที่ Rebirth ในลูปใหม่ มีความทรงจำจากลูปเก่าติดหัวมาด้วย แบบเดียวกับเคทตีนผีใน FF Type-0 (คนอื่น ๆ ในเรื่องก็จำได้ แต่เคทจะจำได้เยอะที่สุด) นั่นเลยทำให้เซฟิรอธพยายามเปลี่ยนแปลงเหตุปัจจัยให้ต่างไปจากเดิม - http://re-ffplanet.blogspot.com/2022/06/back-story-re.html

แต่พอดูโลกิวันนี้แล้ว ผมก็คิดอีกหนึ่งความเป็นไปได้ขึ้นมา ว่าเซฟิรอธมันก็ใช้ "เวลาไถล" หรือจะเรียกว่า "ย้อนเวลา" แบบรินโด หรือ "Power of Waking" แบบโซระก็ได้ ส่งจิตกลับไปสิงตัวเองในต่างช่วงเวลา

และเซฟิรอธคนนี้ ก็เลยกำลังพยายามแบบโลกิ นั่นคือแกผ่านการลองผิดลองถูกมานับครั้งไม่ถ้วน ใช้ชีวิต time travel อย่างไม่ได้หลับไม่ได้นอนไปมา ลองเปลี่ยนแปลงเหตุปัจจัยต่าง ๆ เพื่อไม่ให้จุดจบมาถึงแล้ว แต่ยังไม่สำเร็จสักที แล้วก็ยังลองผิดลองถูกไปเรื่อย ๆ

"เพราะไม่อยากเป็นเพียงแค่ความทรงจำ"

จนถึงขั้น ต้องมาหวังให้คลาวด์ มาช่วยเปลี่ยนแปลงจุดจบนั้น ก่อนที่หายนะจะมาถึงด้วย



2. รินโด (Subarashiki Kono Sekai 2)

รินโดย้อนเวลาได้วันละรอบ แต่วันละรอบนี่หมายถึง ถ้าวันนี้เริ่มใช้พลังย้อนเวลาสร้างหมุดเวลาตอนเที่ยงไปแล้ว ก็จะย้อนกลับไปกลับมาช่วงก่อนเที่ยงกี่รอบก็ได้ แต่ถ้าปล่อยให้เวลาเลยผ่านเที่ยงไปแล้ว จะไม่สามารถสร้างหมุดเวลาได้อีก ต้องรอ cool down สกิลไป 1 วัน

รินโด ผ่านการย้อนเวลาแก้กรรม  ลองผิดลองถูกในการแก้ไขเหตุการณ์ในแต่ละวันจนประสาทแดก คนเล่นเองก็เหนื่อยไปด้วย แต่ก็แปลกใหม่ที่ได้เห็น NPC มันงงที่ว่าทำไมรินโดมันถึงรู้เรื่องสิ่งที่เขากำลังจะพูดดีไปหมดแล้ว

โลกิเอง ก็ย้อนเวลาแก้กรรมเหมือนกัน แถมวนหนักกว่ารินโดเยอะเลย

อ่อ แน่นอนว่าก่อนจะมีรินโด โซระที่ใช้ Power of Waking ก็ทำแบบเดียวกัน แต่โซระย้อนรอบเดียว แล้วเข้าไปตบ ๆ เหตุการณ์ในแต่ละช่วง แล้วจัมป์ไปจัมป์มา ไม่ได้วนหลายรอบ งานเลยเบากว่าเยอะ


3. แมกซ์ คอลฟิลด์... (Life is Strange)

โลกิตอนสุดท้าย ทำให้ผมแมกซ์ที่มีพลังย้อนเวลาเหมือนกัน แถม EP สุดท้ายของแมกซ์ ก็ย้อน จัมป์ พยายามแก้ไขเหตุการณ์ โดดไปยังโลกคู่ขนานต่าง ๆ ซะวุ่น ฟีลคล้าย ๆ กัน แต่ของแมกซ์มันจบแบบห้วนแลกแปลกกว่าโลกิไปเยอะ

ทั้งนี้ ต้องปรบมือให้เลยจริง ๆ ว่า Loki คือเรื่องที่อธิบายทฤษฎีการเวลาได้ดีมาก มีทั้งเรื่องจักรวาลแบบแตกกิ่งสาขาเป็นโลกคู่ขนาน และมีทั้ง Closed Loop ในตัวเอง (ของรินโด เส้นเวลาก็มีทั้งแตกกิ่งสาขาเป็นโลกคู่ขนาน และพลังในการย้อนเวลาของรินโดเป็นการตัดกิ่งเวลาเดิมและงอกกิ่งใหม่ใน Closed Loop ของตัวเอง แต่เรื่องมันไม่ได้อธิบายดีเท่าโลกิ)

ที่ใจและอยากให้โลกิมันแมสไปมาก ๆ เพราะนี่คือหนังที่จะช่วยให้คนหมู่มาก เข้าใจในทฤษฎีกาลเวลาได้ตรงกัน ทั้งเรื่องการมีอยู่ของ Parallel timeline และ Closed Loop

ไม่มีความคิดเห็น