รีวิวเดโม Bravely Second คำสัญญาของอนาคตอันประสบความสำเร็จ

สรุปความประทับใจจากเดโม Bravely Second ที่ออกมาในวันนี้ครับ ตัวเกมมีเนื้อหาให้เล่นได้ประมาณ 4 ชั่วโมง เรื่องราวของเกมยังอยู่ในโลกเดิม พวกตัวละครฝ่ายตัวเอกในภาคแรกก็ยังมีชีวิตอยู่กัน เนื้อหาที่ตัดมาให้เล่นนี่คือช่วงต้นเกมก่อนที่อาเนียสจะถูกจับตัวไป เทียบเคียงว่าเป็นบทนำของเกมได้ด้วยซ้ำ (แต่ก็ยังอุตส่าห์เล่นได้ตั้ง 4 ชั่วโมงแฮะ)

ระบบการเล่นของเกมยังคงพัฒนาต่อยอดมาจากภาค For the Sequel อะไรที่เคยมีในภาค For the Sequel ก็ถูกยกมาแล้วนำมาปรับปรุงพัฒนาขึ้นไปอีก ตัวอย่างเช่น เราสามารถปรับความถี่ในการเจอศัตรูได้ในฉากเวิลด์แมพเลย ทำให้การเล่นสะดวกสบายขึ้นเยอะ มินิเกมซ่อมหมู่บ้านโนเรนเด้ก็เปลี่ยนมาเป็นสร้างอาณานิคมบนดวงจันทร์ แน่นอนว่าระบบรวบรวมเพื่อนมาช่วยสร้างอาณานิคม และส่งพลังข้ามโลกคู่ขนานให้แก่กันก็ยังมีเหมือนเดิม



ด้านระบบต่อสู้ก็เริ่มต้นด้วยอาชีพใหม่ ๆ อย่าง Wizard ซึ่งตอนแรกผมก็ข้องใจว่ามันจะต่างจาก Black Mage ยังไง แต่พอลองเล่นดูแล้วก็โอเค Wizard จะเน้นไปที่การใช้เวทย์โจมตีแบบกลุ่มขั้นสูง และมีเงื่อนไขในการปล่อยท่าขั้น 2 3 ที่ซับซ้อนแตกต่างจาก Black Mage ออกมา แต่นอกจากนี้ก็เป็นอาชีพที่เคยมีเหมือนเดิมในภาคแรก จะมีแปลกใหม่ขึ้นมาอีกก็อาชีพ Tomahawk ที่ใช้ปืนเป็นอาวุธ แต่เล่นแล้วผมก็ไม่ค่อยจะรู้สึกว่ามันต่างจาก Hunter สักเท่าไหร่ คิดว่ามุกในการครีเอตจ็อบและอบิลิตี้ให้แตกต่างหลากหลายมันใกล้จะตันแล้วกระมัง แต่เอาเถอะ เท่าที่เกมให้มามันก็เยอะมากพอดูแล้ว

ในส่วนของกราฟฟิกมันก็เอาเอนจิ้นภาคแรกมาใช้ต่อ จึงมองไม่เห็นความเปลี่ยนแปลงเลย ทว่าในส่วนของงานกำกับศิลป์ การออกแบบเมือง สถานที่ ดันเจี้ยน ฉากต่าง ๆ ยังคงเป็นแนวภาพวาดที่สวยสดงดงาม ดูเพลินตาเป็นศิลปะที่ทุกคนสามารถเสพได้ ดู ๆ แล้วก็อยากให้มันต่อออกจอใหญ่ได้จริง ๆ คือแค่เห็นภาพอาร์ทบ้านเมืองในเกมตอนกลางคืนมันก็ฟินมากแล้ว



จุดที่เห็นการปรับปรุงอีกก็คือมุมกล้องที่มีความหลากหลายมากขึ้น จากเดิมที่ภาคแรกมีมุมกล้องอยู่ไม่กี่แบบ ก็มีการเพิ่มมุมกล้องใหม่ ๆ ลงไป (แต่โดยรวมแล้วมันก็ยังมีไม่กี่มุมอยู่ดี) ในคัตซีนบางครั้งก็เป็นมุมกล้องแบบซูมเข้าไปใกล้จากทางด้านหน้าตัวละคร หรือในดันเจี้ยนบางฉากก็เป็นมุมมองจากด้านข้าง ไม่ได้มีแต่มุมมองจากด้านบนแบบเดิม (แต่ขอย้ำว่ารวม ๆ แล้วมันก็ยังมีน้อยมุมอยู่ดี)

พูดถึงดันเจี้ยน ภาคนี้ดันเจี้ยนมีความซับซ้อนขึ้นเยอะ ทุกดันเจี้ยนมันจะมีทางเดินขึ้นเนินลงเนิน ไขว้ไปไขว้มาจนดูแล้วจะตาลาย มีการกดสวิตซ์แล้วทำให้เส้นทางเปลี่ยนไปมา ก็ได้เห็นความพยายามของทีมงานที่จะใส่อะไรใหม่ ๆ ลงไปในเกม

สุดท้ายในแง่ดนตรี ช่วงต้นเกมแบบนี้ดนตรีมันก็เนือย ๆ ยังไม่มีเพลงไหนที่โดน ซึ่งช่วงต้นเกมของภาคแรกมันก็เป็นแบบนี้แหละ แต่ผมก็ค่อนข้างเชื่อลึก ๆ ว่าเพลงเพราะ ๆ จะถูกประเคนเข้ามาเรื่อย ๆ เมื่อเนื้อเรื่องดำเนินไป จนไปพีกที่เพลงสู้บอสใหญ่และเพลงจบแบบในภาคแรกแน่ หวังว่าจะได้เห็นเพลงที่ฟังแล้วเหาะได้แบบเพลงงูเขมือบขอบฟ้า และเพลงที่ฟังแล้วตายตาหลับแบบเพลงสู่ความหวัง ในภาคแรกอีกครับ

เนื่องด้วยเกมนี้มีจุดเด่นมาก ๆ อยู่ที่เนื้อเรื่องที่ !@#$%^&* (เหนือคำบรรยาย) ผมเลยตั้งใจว่าจะไม่ซื้อภาคญี่ปุ่นมาเล่นก่อนในช่วงเดือนเมษายนปีหน้า (ปกติผมจะเล่นทั้งเวอร์ชั่นญี่ปุ่นและอังกฤษ) แต่จะหลบสปอยล์แล้วรอเล่นแบบละเลียดทีเดียวเมื่อภาคอังกฤษออกมาครับ

ไม่มีความคิดเห็น