ทาบาตะยันไม่หนักใจกับการขึ้นรับตำแหน่ง ผกก. FFXV

เว็บไซต์ Chilango ของเม็กซิโก ได้มีโอกาสสัมภาษณ์คุณ ฮาจิเมะ ทาบาตะ ซึ่งเดินทางมาโปรโมต Final Fantasy Type-0 HD และ Final Fantasy XV เมื่อวันที่ 19 มกราคมที่ผ่านมา ซึ่งมีเนื้อหาสาระดังนี้

เริ่มมาทาง Chilango ก็ถามก่อนว่าในภาค Type-0 นี้ยังคงอิงอยู่บนเรื่องราวของ FNC (Fabula Nova Crystallis) หรือไม่? (FNC หมายถึงจักรวาลที่มีพัลส์และลินด์เซย์เดินทางไปตามดวงดาวต่าง ๆ เพื่อค้นหาหนทางในการเปิดประตูสู่โลกหลังความตาย) ซึ่งคุณทาบาตะก็ตอบอย่างที่แฟนในไทยน่าจะรู้กันอยู่แล้วว่าในภาคนี้ยังคงเกี่ยวข้องกับ FNC อยู่ และภูมิหลังของ FFXV ก็จะเป็นส่วนหนึ่งของเรื่องราวดังกล่าวด้วยเช่นกัน แต่ทั้งสองภาคที่ว่านี้ไม่ได้เชื่อมต่อกับ FNC มากเท่าที่ FFXIII เป็น

อธิบาย

*ซีรีส์ FFXIII นั้นทำหน้าที่เล่าเนื้อเรื่องหลักของ FNC โดยขณะที่เรื่องราวโฟกัสที่พวกไลท์นิ่ง แต่ก็ได้นำเสนอความเป็นไปของจักรวาลเป็นระยะ ทั้งการเปิดประตูหลังความตาย การดับสูญของเอโทร ความพ่ายแพ้ของพัลส์ ลินด์เซย์ และบูนิเบลเซ่ ได้ถูกเล่าผ่านและจบสิ้นลงในซีรีส์ FFXIII แล้ว

**ขณะที่ภาค Type-0 นั้น เพียงนำเสนอเนื้อเรื่องเสริมของ FNC โดยเป็นเรื่องราวของโลกที่พัลส์และลินด์เซย์ เคยทิ้งลูกสมุนเอาไว้เท่านั้น เรื่องราวในภาคนี้จึงไม่ได้นำเสนอความคืบหน้าของพวกตัวละครหลักและจักรวาลเลย

Chilango : จาการที่คุณทาบาตะ ได้พูดหลายครั้งว่าอยากจะให้ภาค Type แยกออกมาเป็นซีรีส์ใหม่ คุณทาบาตะอยากจะให้ซีรีส์ Type มีความแตกต่างจาก FF ซีรีส์หลักอย่างไร?

คุณทาบาตะได้ตอบคร่าว ๆ เพียงแค่ว่าเขาอยากจะนำเสนอเกมซีรีส์ใหม่สำหรับยุคใหม่เท่านั้น แต่ยังไม่ได้ลงรายละเอียดให้ฟัง

Chilango : รู้สึกยังไงที่คนบ่นกันว่าเกมยากเกินไป จนกระทั่งต้องปรับให้เกมภาค HD ง่ายขึ้น?

คุณทาบาตะตอบว่าในภาคนี้มีระบบการต่อสู้แตกต่างจาก FF ภาคหลัก โดยระบบการต่อสู้เป็นแบบเรียลไทม์ แต่เดิมแค่กดปุ่มไปเรื่อย ๆ ก็ผ่านได้แล้ว แต่สำหรับ Type-0 ขืนทำแบบนั้นก็ตายหยังเขียด ดังนั้น ในช่วงแรกผู้เล่นส่วนใหญ่จึงรู้สึกว่าเกมมันยาก แต่ถ้าทำความคุ้นเคยไปก็จะไม่ได้รู้สึกว่ามันเลวร้ายเท่าไหร่ ส่วนตัวแล้วเขาคิดว่าการต่อสู้แบบนี้ พอสู้จบแล้วจะทำให้ผู้เล่นรู้สึกพึงพอใจมากกว่าแบบก่อนด้วยซ้ำ อย่างไรก็ตามทีมงานก็ได้ปรับให้เกมมันเล่นง่ายขึ้น ศัตรูตายง่ายขึ้น และความสามารถของตัวละครหลักก็สูงขึ้น วิ่งและกลิ้งหลบไวขึ้น ทั้งหมดนี้เกิดจากการรวบรวมและรับฟังคอมเมนต์ในช่องทางต่าง ๆ ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา พวกเขาได้เปลี่ยนแปลงอะไรหลายอย่าง เขาไม่ค่อยเปลี่ยนรูปแบบการต่อสู้ของศัตรูไปสักเท่าไหร่ ไปเน้นเปลี่ยนที่ตัวละครหลักเอามากกว่า

Chilango : ได้ยินมาว่าเดี๋ยวนี้เกมคอนโซลในญี่ปุ่น ขายไม่ค่อยดีเท่าไหร่ คิดว่าเกมนี้จะช่วยเปลี่ยนเทรนด์ดังกล่าวได้มั้ย?

คุณทาบาตะตอบว่า คนญี่ปุ่นเขาก็ชอบของฟรีกัน พวกเขาก็ต้องมุ่งมั่นสร้างเกมที่นำเสนอสิ่งใหม่ ๆ และน่าสนใจ ให้คนเล่นกันให้ได้

Chilango : อนาคตของเกม RPG ในเจนฯ นี้จะเป็นอย่างไร?

คุณทาบาตะตอบว่าเกมที่ดีก็จะอยู่รอด ส่วนเกมที่ไม่ ก็คงหลุดจากตลาดไป เกมคอนโซลนั้นแสดงผลบนจอใหญ่ และต้องแสดงภาพอันงดงาม ถ้านำเสนอสิ่งที่งดงามเป็นศิลปะลงไปในเกมได้ ก็จะยังอยู่ในวงการได้

Chilango : สำหรับผู้เล่นบางส่วน FF ภาคหลัง ๆ ไม่ค่อยให้ความรู้สึกถึงการผจญภัย FFXV จะสามารถเรียกความรู้สึกนั้นกลับมาได้หรือไม่?

คุณทาบาตะบอกว่าสำหรับ Type-0 แล้วก็มีการปรับปรุงสิ่งต่าง ๆ จนทำให้ภูมิทัศน์ของเกมสมจริงขึ้น ส่วน FFXV ผู้เล่นก็จะได้ท่องไปไปโลกอันกว้างใหญ่ คุณทาบาตะคิดว่าแบบนี้ก็น่าจะทำให้ผู้เล่นส่วนใหญ่พึงพอใจได้

Chilango : การขึ้นรับตำแหน่งผู้กำกับ FFXV ต่อจากคุณโนมุระที่ออกจากโปรเจคท์ไป เป็นเรื่องยากหรือไม่?

คุณทาบาตะตอบว่าไม่เลย เพราะเขาก็เคยร่วมมือกับคุณโนมุระทำโปรเจคท์อื่นด้วยกันราบรื่นดี (ทั้ง Crisis Core, The 3rd Birthday และ Type-0) แฟน ๆ ของคุณโนมุระย่อมจะมีความคาดหวังต่อเกมนี้กันมากอยู่แล้ว และเขาก็เคารพต่อความปรารถนานั้น แต่ขณะเดียวกันเขาก็ต้องพยายามสร้างสิ่งใหม่ ๆ ที่แตกต่างออกไป และนั่นคงเป็นส่วนที่ยากที่สุด

Chilango : รู้สึกยังไงกับความคืบหน้าของ FFXV?

คุณทาบาตะบอกว่าพอทำไปมาก ๆ ก็ยิ่งมั่นใจว่ามันต้องออกมาโอเค แต่ก็ต้องมีอีกหลายส่วนที่ต้องแก้ไขจัดการก่อนวางจาย ถ้าถามว่ามันง่ายมั้ย? ขอบอกว่าไม่ง่ายเลย แต่ขณะนี้เขาก็รู้สึกถึงแรงสนับสนันจากแฟน ๆ ดังนั้นถึงแม้ว่ามันจะยาก แต่เขามั่นใจว่าจะผ่านมันไปได้ บางครั้งในกีฬาโอลิมปิก มันก็มี "บางสิ่งบางอย่าง" ที่ทำให้นักกีฬาคว้าชัยมาได้ ในตอนนี้พวกเขารู้สึกว่าพวกเขามีสิ่งนั้นแล้ว สิ่งที่จะทำให้ทุกอย่างออกมาดีได้

Chilango : FF ภาคโปรดของคุณคือภาคไหน? ขอทราบเหตุผลด้วย?

คุณทาบาตะตอบว่าก็ต้องเป็นภาคแรก ที่เป็นจุดเริ่มต้นอันยิ่งใหญ่ของซีรีส์ แต่ว่าอันที่จริงเขาก็ยังเล่นไม่ครบทุกภาค ส่วนตัวแล้วเขายังประทับใจกับ FFVII มาก เพราะภาคนี้มันเกิดการเปลี่ยนแปลงแบบก้าวกระโดด นอกจากนี้ก็มี FFVI ที่โดนใจเขาอย่างจัง โดยเฉพาะบทนำที่มาโดวอาเมอร์เดินออกมา แม้ภาคนี้จะยังเป็นแค่เป็น 2D ก็ตาม 

ที่มา : Chilango

ไม่มีความคิดเห็น