สรุปเนื้อหา Final Fantasy XV -The Dawn of the Future- Episode Aranea

(เหตุการณ์เกิดขึ้นระหว่าง Chapter 11-12 ของเกม ก่อนที่พวกน็อคติสจะมาเจออราเนียที่เทเนแบร)


อราเนียในสภาพอิดโรยอดหลับอดนอน กำลังเคี้ยวป๊อปคอร์นที่เจอในร้านค้าที่ถูกถล่มจนจมน้ำไปบางส่วน รสชาติของมันแย่มาก แต่เธอก็ไม่อยากจะปาทิ้ง

ตอนนี้เธออยู่ในห้องบังคับของยานเหาะที่กำลังมุ่งหน้ากลับไปยังจักรวรรดินิฟไฮม์ อราเนียพึ่งเลิกจากงานเก็บกู้ซากเมืองที่อัลทิสเซีย (ถล่มจากการปะทะระหว่างลิเวียธาน ไตตัน กองทัพจักรวรรดิ และพวกน็อคติส) หลังจากทำงานหนักต่อเนื่องมา 35 ชั่วโมง ร่วมกับ บิ๊กส์ เวจด์ และทหารอากาศหน่วยที่ 86 สังกัดกองทัพภาคที่ 3 ที่อยู่ใต้บังคับบัญชาของเธอ

มองถุงป๊อปคอร์นไป เธอก็คิดว่านิฟไฮม์ในยุคนี้ไม่มีสิ่งปลูกสร้างอย่างสวนสนุก หรือโรงภาพยนตร์บ้างเลย ทั้งที่ตอนเด็ก ๆ ยังเคยมีสิ่งเหล่านั้นอยู่แท้ ๆ ทว่าหลังจากที่จักรวรรดิมุ่งมั่นกับสงครามและการขยายดินแดน ชีวิตของผู้คนก็ไร้สีสัน งบประมาณและพื้นที่ต่าง ๆ ถูกเอาไปใช้เพื่อพัฒนากองทัพซะหมด

คิดแล้วก็ยิ่งผิดหวังกับการดูแลพลทหารที่ไม่ดีเอาซะเลย แต่ดันไปใส่ใจกับพวกทหารกลและอาวุธชีวภาพ ทั้งที่ลูกน้องของเธอเสียชีวิตที่อัลทิสเซียไปถึงครึ่งหน่วยแท้ ๆ

แต่แล้วยานที่กำลังจะลงจอดที่กราเลีย เมืองหลวงแห่งจักรวรรดิ ก็ถูกยิงด้วยกระสุนจาก Diamond Weapon ที่กำลังอาละวาดบ้าคลั่งอยู่ในเมือง และกองทัพก็กำลังพยายามเอามันลงอยู่

อราเนียลงจากยานเหาะ ไล่ตาม Diamond Weapon ไป แล้วต่อสู้กับทั้งเดม่อนและทหารกลที่ผิดปกติ ขณะที่บิ๊กส์กับเวจด์ก็ช่วยกันอพยพชาวเมืองไปด้วย

Diamond Weapon มุ่งหน้าไปยังซิกนอวตัส (Zegnautus) ปราการสุดแกร่งของจักรวรรดิซึ่งเป็นที่ตั้งของคริสตัล

ระหว่างนั้นเธอก็ได้ยินเสียงอาร์ดีนป่าวประกาศผ่านลำโพงไปทั่วเมืองว่า สุภาพบุรุษและสุภาพสตรีแห่งนิฟไฮม์ ขอบคุณทุกท่านที่ยังอยู่กับเรา ทว่าจักรวรรดิจะล่มสลายลงในวันนี้ โดยที่ปราศจากทายาทผู้สืบทอดตำแหน่งจักรพรรดิ

อราเนียฟังแล้วก็นึกได้ว่า จักรพรรดินีได้เสียชีวิตไปไม่นานหลังให้กำเนิดบุตรชาย หลังจากนั้นจักรพรรดิก็ไม่ได้สมรสใหม่ บุตรของพวกเขาก็ตายในการรบไปเมื่อหลายปีที่แล้ว ประชาชนต่างเชื่อกันว่าการจากไปของจักรพรรดินี เป็นเหตุผลให้จักรพรรดิมีนิสัยเปลี่ยนไป... แต่อราเนียเชื่อว่า เป็นเพราะเข้ามาของอาร์ดีนต่างหาก

อาร์ดีนอธิบายอีกว่าจักรพรรดินั้นแสวงหาความเป็นอมตะ อยากจะเป็นจักรพรรดิไปชั่วนิรันดร์ แล้วดูสิว่าเป็นยังไง... แล้วจักรพรรดิอีโดลาสที่ติดเชื้อ กำลังจะกลายเป็นเดม่อน ก็พูดทิ้งท้ายว่า “โซล... ไฮม์... พระอาทิตย์แห่งโซลไฮม์... จะเปล่งประกายขึ้นอีกครั้ง...”

(ทางนิฟไฮม์พยายามศึกษาอารยธรรมของอาณาจักรโซลไฮม์ที่ล่มสลายไปแล้ว มาฟื้นฟู และหวังว่าจะก้าวข้ามโซลไฮม์ให้ได้มาโดยตลอด)

อราเนียที่ไล่ตามเข้าไปในซิกนอวตัส ก็พบป้อมปราการที่ว่างเปล่า ไร้ผู้คน (กลายเป็นเดม่อนกันไปหมดแล้ว) และยังเจอศพติดเชื้อของอีโดลาสอยู่บนบัลลังค์ (พอศพกลายเป็นเดม่อนโดยสมบูรณ์ ก็ลุกมาสู้กับพวกน็อคติสอีกที) แล้วอราเนียก็ขึ้นไปบนดาดฟ้า เห็นยานเหาะยักษ์บรรทุก Diamond Weapon ออกไป โดยมีอาร์ดีนยืนกัดแอปเปิ้ลพร้อมชมเมืองที่กำลังล่มสลายอย่างรื่นรมย์

อาร์ดีนพูดว่า もったいない แบบเดียวกับตอนที่เขายืนมองดูอินซอมเนียถูกทำลายใน Kingsglaive อราเนียดูสถานการณ์แล้วก็เข้าใจได้ทันทีว่า หมอนี่เองคือคนปล่อย Diamond Weapon ออกมา และทำให้พวกทหารกลคลุ้มคลั่ง

อราเนียพุ่งเข้าไปจะกระซวกอาร์ดีน แต่หอกของเธอกลับได้เพียงจ้วงลม

อาร์ดีนโจมตีสวนกลับทีเดียว ทำให้อราเนียปลิวกระเด็น เธอตกลงมากระแทกพื้นด้วยความเจ็บปวดและไอออกมาอย่างทรมาน อราเนียถามว่าอาร์ดีนจะใช้ Diamond Weapon ทำอะไร? เขาบอกว่าจะให้มันไปอาละวาดถล่มเทเนแบร อยากจะให้มันทำลายทิ้ง ทุกสิ่งทุกอย่าง...

จากวินาทีนั้น อราเนียที่เคยเรียกอาร์ดีนอย่างให้เกียรติว่าเสนาบดี หรือชายคนนั้น... ก็เปลี่ยนเป็น คนน่ารังเกียจโง่เง่าต่ำตม (イカレてる大バカ野郎)

แล้วบิ๊กส์ก็วิทยุเข้ามาบอกพอดีว่า เขาพาผู้อพยพขึ้นรถไฟที่มุ่งหน้าไปยังเทเนแบรแล้วนะ... อาร์ดีนได้ยินเลยยิ่งบันเทิงเข้าไปใหญ่

อราเนียเลยบอกว่าจะจัดการอาร์ดีน แล้วหยุดยั้งพวกเดม่อนเอง แต่อาร์ดีนยั่วว่าถ้าเอาชนะเขาได้ จะยกแอปเปิ้ลที่กินเหลือครึ่งลูกนี้ให้เลย

ว่าแล้วอราเนียก็ประกาศลาออกจากการเป็นทหารจักรวรรดิตรงนั้นเลย อาร์ดีนถามว่าเพราะอะไร? เธอก็ตอบว่าเพราะฉันเกลียดแก แล้วก็ใช้หอก กระโดดหนีออกจากดาดฟ้าไปก่อน

หลังจากหนีจากอาร์ดีนมา อราเนียก็มาเจอโลกิ (ทหารหน้าหล่อบทน้อย ที่โผล่มาใน DLC Assasin’s Festival ด้วย) ที่ขับหุ่นของเขามาด้วย โลกิบอกว่าเขาได้รับคำขอร้องพิเศษจากจักรพรรดิ ว่าให้พาตัวเด็กสาววัย 8 ขวบคนนี้หนีไป แต่เด็กคนนี้ไม่ยอม และบอกว่าอยากจะต่อสู้ร่วมกับทุกคนด้วย อราเนียมองเด็กคนนี้แล้วก็คิดถึงชีวิตของตัวเองในวัยเด็ก แล้วก็บอกเด็กคนนี้ว่ายังเร็วไป 10 ปี

ตอนที่อราเนียยังมีอายุเท่านี้ หมู่บ้านของเธอถูกเดม่อนบุกโจมตี เธอได้รับคำสั่งให้พาพวกเด็ก ๆ ที่อายุน้อยกว่าเธอ หนีไปซ่อนตัวที่ใต้ถุนโบสถ์ โดยปล่อยให้พวกผู้ใหญ่จัดการต่อสู้กันเอง ในวันนั้นอราเนียก็บอกว่าเธออยากจะสู้ด้วย แต่คุณพ่อห้ามไว้และบอกกับเธอว่า “ยังเร็วไป 10 ปี” หลังจากนั้นทั้งพ่อและแม่ของเธอก็ถูกเดม่อนฆ่าตาย

โลกิขอฝากให้อราเนีย ดูแลเด็กคนนี้ต่อ เขากล่าวคำขอบคุณแก่เธออย่างเงียบ ๆ ในขณะที่ฝูงเดม่อนกำลังคุกคามเข้าไปมา อราเนียและเด็กน้อยรีบรุดหน้าไปยังรถไฟที่มุ่งหน้าสู่เทเนแบร เธอหันไปมอง เห็นโลกิขี่หุ่นสู่อย่างเต็มที่ และได้ยินเขาตะโกนกู่ร้อง “เพื่อความรุ่งเรืองของจักรวรรดินิฟไฮม์!!”

อราเนียออกคำสั่งให้ลูกน้องทหารอากาศที่ยังเหลืออยู่ในหน่วยของเธอ ช่วยกันปกป้องเมืองเทเนแบรไว้ให้ได้ นี่คือภารกิจสุดท้ายของทุกคน พวกเขาช่วยกันระดมยิงกระสุนใส่ยานเหาะที่บรรทุก Diamond Weapon จนสามารถสอยยานร่วงลงมาดิ่งพสุธาได้สำเร็จ ทว่า Diamond Weapon กลับไม่ได้เป็นอะไร เดือดร้อนถึงอราเนียที่ต้องคว้าหอกออกไปสู้กับ Diamond Weapon ด้วยตัวคนเดียว

อราเนียต่อสู้กับ Diamond Weapon จนจับจุดได้ว่าต้องไล่ทำลาย Magitek Core (เป็นจุดรวมพิษดวงดาวและศูนย์รวมการควบคุมเดม่อน) ตามจุดต่าง ๆ ในร่างกายของมันให้ได้ครบ โดยบิ๊กส์กับเวจด์ก็ขี่หุ่นตามมาช่วยต่อสู้ด้วย

เมื่อทั้ง 3 ล้ม Diamond Weapon ลงได้ ผู้อพยพก็นั่งรถไฟไปถึงเทเนแบรโดยสวัสดิภาพ ทุกคนอยู่รอดปลอดภัย แต่แล้วยังมีฝูงเดม่อนบินไล่ตามมาอีก พวกอราเนียก็ต้องช่วยกันกำจัดจนหมด

ท้ายที่สุด อราเนียก็ได้มีโอกาสคุยกับเด็กหญิง 8 ขวบคนนั้น เธอบอกว่าเธอชื่อโซล ชื่อเต็มคือ โซลาร่า แอนทิคุม (Solara Antiquum) เป็นหลานลับ ๆ ของจักรพรรดิอีโดลาส (ลูกสาวของลูกชายผู้ล่วงลับไปในการรบ) อราเนียเห็นโซลมีชีวิตที่เหมือนตัวเองตอนเด็ก ก็กอดเธอไว้ พยายามปลอบโยนเธอ และคอยเลี้ยงดูเธอนับจากวันนั้นมา

ตลอดช่วงเวลาที่ความมืดเข้าปกคลุมโลก อราเนียได้เลี้ยงดูและสอนการต่อสู้ให้กับโซล จน 10 ปีต่อมาเธอได้กลายเป็นวัยรุ่นหัวรั้น อราเนียอยากให้โซลทำภารกิจร่วมกับบิ๊กส์และเวจด์ แต่โซลยืนกรานว่าไม่ต้องทำเหมือนกับว่าเธอเป็นเด็ก เพราะสองคนนั้นขี้เป็นห่วง ทำเหมือนกับว่าเธอเป็นไข่ในหินจนเกินไป

บทของอราเนีย จบลงที่เธอกำลังแกะอาหารกระป๋องมาปรุงกิน ขณะที่รอโซลกลับมาจากการทำภารกิจ

(ซึ่งโซลได้ไปเจอลูน่าที่ถูกคืนชีพขึ้นมา)

ไม่มีความคิดเห็น