สรุปบทสัมภาษณ์ Digging Deep โลกของ Final Fantasy VII Remake ตอนที่ 1


*เป็นการสัมภาษณ์สองผู้กำกับร่วม คุณโมโตมุ โทริยามะ และคุณนาโอคิ ฮามากุจิ
**สำหรับตอนที่ 2 จะเผยแพร่วันที่ 12 สิงหาคม

- คุณโทริยามะบอกว่า ใน FFVII Remake Part 1 เราได้กลับมายังสลัมเขต 7 หลายครั้ง ที่นี่เสมือนเป็นศูนย์บัญชาการของเนื้อเรื่องช่วงนี้ ก็อยากให้ผู้เล่นรู้สึกเหมือนเป็นบ้านที่ตอนรับด้วยความอบอุ่น ด้วยเหตุนี้เลยเลือกใช้เพลง Main Theme of Final Fantasy VII ที่บรรเลงบน World Map ของภาคออริจินอล มาเป็นเพลงประกอบ นอกจากนี้แม้ Part 1 จะเป็นเรื่องราวภายในเมืองมิดการ์ แต่สำหรับเพลงประกอบ ทีมงานก็เลือกหยิบกระจาย ๆ จากทั่วทั้งภาคออริจินอลมาใช้ประกอบตามความเหมาะสม

- เหล้าที่ทิฟาชงในบาร์ 7th Heaven มี Seventh Heaven ที่ดื่มแล้วกระปรี้กระเปร่าทำให้มีชีวิตชีวา, Cosmo Canyon ค็อกเทลสีแดงตามทิวทัศน์ของที่นั่น และ Lifestream ที่เป็นเครื่องดื่มสีเขียว

-  ทิฟาต้องแสดงท่าชงเท่ ๆ ออกมา เพราะเธอรู้ว่าลูกค้าเห็นแล้วจะยิ่งให้ทิปเยอะ

- เบื้องหลังความเป็นมาของแชดลีย์ ไปดูเอาหลังจากเคลียร์ Battle Report ครบ (ที่ว่าเป็นไซบอร์กที่โฮโจสร้างขึ้น)

- เวจด์มักจะไปเก็บแมวจรจัดมาเลี้ยง ในหมู่ทีมงาน คุณฮามากุจิก็เลี้ยงแมว ทีมงานเลยทำโมเดลแมวตามแมวของคุณฮามากุจิ

- ส่วนคุณโทริยามะเองชอบหมามากกว่า ก็เลยมีการเพิ่มจำนวนหมาลงไปบ้างเพื่อบาลานซ์กัน อย่างเช่นหมาเลี้ยงใต้อพาร์ตเมนต์ของป้ามาร์ล

- เวจด์กินจุ เลยให้น้องแมวกินอาหารในสัดส่วนที่เยอะเหมือนกัน มันเลยดูตัวใหญ่

- คุณโทริยามะยืนยันว่าในคอนเซปต์อาร์ตของเกมภาคออริจินอล มีการเขียนชื่อตัวละครแม่ของคลาวด์ว่า คลาวเดีย (クラウディア) และพ่อของทิฟาว่า ไบรอัน (ブライアン) แต่แรกแล้ว (*ใน Ultimania ก็มีระบุไว้ชัดเจน) ทว่าในภาครีเมค พ่อของทิฟาก็ยังไม่ได้มีบทพูดใด ๆ เวลาทีมงานเรียก ก็เลยเรียกถึงโมเดลพ่อทิฟาว่า "ศพ" เฉย ๆ

- ด้วยความที่มีแม่น้ำขนาดใหญ่ไหลผ่านชานเมืองสลัมเขต 5 เลยทำให้มีไลฟ์สตรีมมากมายไหลเวียนอยู่ใต้บ้านของแอริธ และทอดยาวไปถึงโบสถ์ ทำให้มีน้ำบริสุทธิ์ใช้ แอริธใช้น้ำเหล่านั้นดูแลดอกไม้ และจากการที่เธอเป็นชนเผ่ายุคโบราณ ก็อาจเป็นเหตุผลทำให้ดึงดูดแหล่งน้ำและทำให้ดอกไม้ที่นั่นมีชีวิตชีวา (エアリスが古代種だから、天然の水や花が生き生きと惹きつけられているのかもしれません。)

- ตอนที่คลาวด์พยายามย่องหนีออกจากบ้านของแอริธ เธอค่อย ๆ เก็บข้าวของที่ขวางทางเดินออกทีละน้อย เพื่อให้คลาวด์ย่องออกไปง่ายขึ้น ถึงแม้เราจะย่องออกไปได้แล้ว แต่เธอก็จะไปซุ่มรออยู่ทีหลัง บางทีไอ้ทั้งหมดเนี่ยคือเราเต้นอยู่ในกำมือของแอริธแต่แรก แค่คิดก็หลอนแล้ว (抜けだした後に待ち伏せされていますが、エアリスの手の内で遊ばされていたのかもしれません。そう思うと、こわいですね。)

- ในโลกภาคนี้ มีผู้ใหญ่หลายคนที่คลั่งสะสมเหรียญ ม็อคกูรีคอยน์ (モーグリコイン) เจ้าหนูม็อกกี้/โมกุยะ ก็ใช้เส้นสายเอาแรร์ไอเทมจากพวกเขามาเสนอแลกกับเหรียญที่คลาวด์สะสมไว้ น้องม็อกนี่ก็เป็นตัวอย่างว่าทำไมเด็กในสลัมเขต 5 ถึงเข้มแข็งและมีไหวพริบ

- ในภาคออริจินอล รู๊ดจะไม่โจมตีทิฟาเลย ในภาค Remake นี้เลนตัดสินใจให้เขาไม่โจมตีผู้หญิง แต่ถ้าทำแบบนั้นตลอดการต่อสู้มันก็ดำเนินไปไม่ได้ ก็เลยให้เขาเบาได้เบา อย่างเช่นร่ายเวทย์ Sleep

- ตัวละครยายมิเรล (Mireille) ปรากฏตัวมาก่อนในนิยาย TURKS: The Kids Are All Right ทีมงานก็อยากให้เธอปรากฏตัวใน Remake ด้วยเหมือนกัน แต่เมื่อครุ่นคิดว่าแล้วจะให้เธอทำอะไรอยู่ในช่วงเวลานี้ ก็เลยตัดสินใจให้เป็นจอมโจรปริศนาในชื่อนางฟ้าแห่งสลัม

- ภาครีเมคนั้นได้ใส่ตัวละครจากภาคย่อยที่ออกหลัง FFVII ออริจินอลลงไปมากมาย ก็เลยตัดสินใจตั้งแต่แรกว่าจะใส่ตัวละครจากภาคย่อยอื่น ๆ จากคิริเอ และเลสลีย์ลงไปเป็นชาวสลัมด้วย แล้วก็พยายามทำให้แคแรคเตอร์ตรงกับในนิยาย อย่างเลสลีย์ที่เป็นลูกน้องของดอนคอร์เนโอมาก่อน เลยเอาไปผูกกับเนื้อเรื่องหลักง่าย ทำให้มีซีนเยอะ

- เมื่อถามถึง NPC และบทสนทนาที่ชอบ คุณโทริยามะบอกว่ามีบทพูดของ NPC ในภาคออริจินอลหลายตัวที่เขารับผิดชอบได้มาโผล่ใน Remake ด้วย แต่อันที่ชอบสุดเลยคือคู่รักที่จีบกันอยู่ตรงสถานีสลัมเขต 7 

fan-translation โดยคุณ Audrey - https://aitaikimochi.tumblr.com/post/625591165134258176

---------------------------------------------

ส่วนที่คุณโทริยามะบอกว่าบทสนทนาของคู่รักที่จีบกันตรงสถานีรถไฟสลัมเขต 7 ผมลองไปค้นสคริปต์ของออริจินอลมา คิดว่าน่าจะเป็นท่อนนี้นะ

“I'm not letting you go tonight.”
“Wow!”
“Isn't there somewherewe could go to be alone?”
“There's only the train graveyard around here.
And they say there's ghosts around too!”

“…damn.”
“What?”
“Hey, come over here.”
“But people will…”
“Who cares?”
“But…
There's a weirdo over there.”
“Huh?”
“Say, you're pretty gutsy.”

“Why don't you go snoop somewhere
else, Romeo?”
“I've had it!”
“Me too.”

“You know this is the first time
we've ever agreed on something.”
“Yes…”
“Well then, shall we?”
“urggh…”
“…huff…wheez”

ไม่มีความคิดเห็น