ครอบครัวโอโซระ ความฝันของพ่อและความเหงาของแม่
จากเนื้อหาของกัปตันซึบาสะภาค Finals ตอนที่ 68 (ลงไปในโพสต์เมื่อวาน) ได้เปิดเผยที่มาชื่อของซึบาสะและไดจิ และบทบาทที่แตกต่างกันของสองพี่น้องที่ห่างกันถึง 15 ปีไว้อย่างน่าสนใจ
พ่อของซึบาสะ ตั้งชื่อลูกคนโตตามความฝันของตัวเอง
“ซึบาสะ” — ปีกที่โผบินไปบนฟ้ากว้างได้อย่างอิสระ
แม่ตั้งชื่อลูกคนที่สองตามความรู้สึกของตัวเอง
“ไดจิ” — แผ่นดินที่อยากให้ใครสักคนยืนอยู่ด้วย
ซึบาสะโตมาก่อนไดจิ 15 ปี
ได้สิทธิ์เลือกชีวิตก่อน ได้บินออกจากบ้านไปก่อน
เป็นอิสระจากรังของพ่อแม่ และจากบ้านที่เคยอบอุ่น
ส่วนไดจิ... ลืมตาดูโลกหลังพี่ชายถึง 15 ปี
เพราะแม่เหงา เพราะบ้านเงียบเกินไป (พ่อก็เป็นกัปตันเรือ)
เด็กที่เกิดมาไม่ใช่เพื่อที่จะ “มีสิทธิเลือก” แต่มีหน้าที่เพื่อที่จะ “อยู่”
เพื่อเติมช่องว่างที่พี่ชายทิ้งไว้โดยไม่ตั้งใจ
จนแม่พูดกับไดจิว่า
“ลูกน่ะ... เล่นใน J-League ไปเถอะ จะเข้าชิมิซึ อิวาตะ ฟุจิเอดะ นุมาซึ ก็ได้ อยู่ใกล้ ๆ แม่ก็พอ”
พออ่านถึงตรงนี้แล้ว ผมก็เสียดแทงนะ รู้สึกว่าครอบครัวมันก็แบบนี้แหละ บางคนเกิดมาเพื่อจะโผบินออกไป ยิ่งถ้าโตกว่ามาก ๆ ก็จะมีสิทธิเลือกเส้นทางชีวิตของตัวเองก่อน ทว่าบางคน ก็เกิดมาเพื่อคอยรอให้ใครสักคนกลับมา...
เพราะในบ้านหลังเดียวกัน
ไม่ใช่ทุกคนจะได้สิทธิ์เลือกเส้นทางของตัวเอง
บทนี้จบลงที่ไดจิยังเป็นเด็ก ยังไม่หืออือกับแม่ แต่ก็ได้ตั้งคำถามขึ้นว่า ใจคอแม่จะให้ผมอยู่ในชิซึโอคะไปทั้งชีวิตเหรอ? ทั้งที่ผมก็อยากไปเป็นนักฟุตบอลที่ต่างแดนเหมือนกับพี่ชาย...
ไม่มีคำตอบ มันคือเรื่องที่ใครสักคนต้องเสียสละความสุขของตนเอง ไม่ว่าจะแม่ที่ยอมเหงา พ่อที่เลิกเป็นกัปตัน ไดจิที่ต้องลดขนาดความฝันของตัวเองลงมา ส่วนซึบาสะกูไปสบายที่บาร์เซโลนาแล้วคนแรกกก พร้อมแบกเหตุผลเรื่องการเป็นความหวังของคนทั้งชาติติดปลอกแขนไปด้วย
ครอบครัวก็เป็นแบบนี้แหละ มันคือเรื่องของการเสียสละ
-------------------------------------
ข้างล่าง ผมไปขอให้ไอ้แชท วิเคราะห์ผสมค่านิยมของคนญี่ปุ่นยุคก่อนให้ (เพราะครอบครัวของซึบาสะมันเขียนตั้งแต่ยุค 80)
🧩 1. ค่านิยมครอบครัวญี่ปุ่นยุคก่อน: “พ่อคือฟ้า แม่คือดิน”
ในญี่ปุ่นยุคโชวะจนถึงต้นเฮเซ (ประมาณยุค 50s–90s)
ครอบครัวมักถูกจัดเป็นโครงสร้างแนวดิ่ง — พ่อคือผู้นำ แม่คือศูนย์กลางบ้าน ลูกคือความต่อเนื่องของ “ความฝันพ่อแม่”
เด็กไม่ได้ถูกเลี้ยงให้ “เป็นตัวของตัวเอง” แต่ให้ “สานต่อสิ่งที่บ้านเชื่อว่าถูก”
พ่อของซึบาสะ (โคได โอโซระ) เป็นกัปตันเรือ
คนญี่ปุ่นยุคสงครามมอง “ท้องฟ้า” เป็นสัญลักษณ์ของ อิสรภาพที่ต้องแลกมาด้วยการเสียสละ
พ่อเลยตั้งชื่อลูกว่า “ซึบาสะ” (ปีก) — เพื่อให้ลูกได้บินไปในที่ที่ตัวเองไปไม่ถึง
มันคือฝันของผู้ชายรุ่นก่อน ที่ถูกกดไว้ด้วยหน้าที่และสังคมแบบกดทับ
🌾 2. แต่แม่...คือคนที่อยู่ “กับบ้าน”
แม่ (นัตสึโคะ โคซาคะ) ในค่านิยมญี่ปุ่นยุคนั้นต้อง “อยู่” ต้อง “รอ” ต้อง “ดูแล”
หน้าที่คือเติมเต็มความเงียบของบ้านที่ผู้ชายไม่อยู่
เพราะงั้นลูกคนที่สอง “ไดจิ” (大地 = แผ่นดิน)
จึงเป็นเหมือน “เสาหลักของความเหงา”
เขาไม่ได้เกิดจากความฝัน แต่เกิดจาก “ความว่างเปล่า” ที่ฝันของคนอื่นทิ้งไว้
แม่ตั้งชื่อให้ลูกว่า “ไดจิ” ก็เหมือนพูดว่า
“ไม่ต้องบินไปไหน แค่ยืนอยู่ตรงนี้กับแม่ก็พอ”
⚖️ 3. สิทธิ์ในการ “เลือก” คือสิ่งหรูหรา
ในค่านิยมญี่ปุ่นยุคก่อน — “สิทธิ์เลือกชีวิตตัวเอง” เป็นของคนที่มีอิสระทางเวลาและอายุ
ลูกคนโตมักถูกคาดหวังให้ “ประสบความสำเร็จแทนครอบครัว”
ลูกคนรองมักเกิดในภาวะที่พ่อแม่อ่อนล้า อยากพัก อยากให้บ้านนิ่ง
เพราะงั้นสิทธิ์ของซึบาสะ กับไดจิ มันไม่เท่ากันตั้งแต่วันแรกแล้ว
ซึบาสะได้เป็น ตัวแทนของความฝันพ่อ
แต่ไดจิเป็น ตัวแทนของความต้องการแม่
พี่ได้เลือก “ทางที่เปิด”
ส่วนน้องต้องอยู่กับ “ทางที่เหลือ”
⚙️ 4. สังคมญี่ปุ่นในกระจกของครอบครัวนี้
บ้านซึบาสะคือภาพจำลองของญี่ปุ่นหลังยุคสงคราม
พ่อ = รุ่นก่อน ที่เสียสละฝันให้ประเทศ
ซึบาสะ = รุ่นใหม่ ที่เอาฝันนั้นไปบินต่อ (แต่ต้องบินออกนอกประเทศถึงจะโตได้)
แม่ = คนที่รออยู่กับอดีต
ไดจิ = คนรุ่นหลังที่เกิดมาท่ามกลางความเงียบของครอบครัวที่เหลือแต่ชื่อเสียง
มันคือ “บทเรียนเรื่องเส้นทางชีวิตที่ไม่เท่ากัน”
ไม่ใช่เพราะใครผิดใครถูก แต่เพราะสังคมสร้างกรอบไว้แบบนั้น
💬 สรุปแบบเพื่อนพูดตรง ๆ
ในมุมกูนะ
ซึบาสะคือผลลัพธ์ของความฝัน
แต่ไดจิคือผลลัพธ์ของความเหงา
และนั่นแหละ…คือครอบครัวญี่ปุ่นยุคก่อนในภาพเดียว
บ้านที่อบอุ่น แต่เต็มไปด้วย “ความไม่เท่ากันที่ไม่มีใครพูดถึง”
Post a Comment