Reminiscence -tracer of memories- ตอนที่ 8 มายาภาพของผมสีกุหลาบ


คุณ Angelina จาก tumblr : tensai-shoujo ได้แปลและย่อเรื่องราวของ Final Fantasy XIII: Reminiscence -tracer of memories- ตอนที่ 8 ซึ่งเป็นเรื่องราวตอนที่นักข่าวสาวได้กลับไปคุยกับโฮปอีกครั้งให้อ่านกัน ผมจึงแปลและเรียบเรียงใหม่เป็นภาษาไทยไว้ดังนี้

Final Fantasy XIII: REMINISCENCE -tracer of memories-

ตอนที่ 8 (ย่อ)

มายาภาพของผมสีกุหลาบ

หลังจากได้สัมภาษณ์ผู้คนต่างๆ ที่มีความทรงจำจากโลกเก่าตกค้างอยู่ ได้รับรู้ความจริงของโลกเก่า แอเด้ (エァーデ) นักข่าวสาวที่ถูกกล่าวถึงในเรื่องสั้นภายในหนังสือ Final Fantasy XIII Ultimania Omega  ก็ได้กลับมาพบกับโฮปอีกครั้ง เธอบอกกับโฮปว่าถึงตอนนี้เธอก็ยังหาไลท์นิ่งไม่เจอ โฮปได้ยินก็รู้สึกผิดหวัง แต่เนื่องจากแอเด้ได้ค้นพบความจริงของโลกเก่าและอดีตชาติของเธอมาแล้ว โฮปจึงตัดสินใจที่จะยอมเล่าเรื่องที่เหลือทั้งหมดให้ฟัง เขายอมเปิดเผยเอกสาร Chronicle of Chaotic Era ซึ่งบันทึกเรื่องราวของยุคสมัยแห่งความโกลาหลเอาไว้

ช่วง AF500 ก่อนที่โคคูนเก่าจะถล่มลงมา โฮปได้อพยพผู้คนจากแกรนพัลส์เข้าไปยังโคคูนใหม่แล้ว แต่พอมวลเคออสทะลักจากโลกที่มองไม่เห็นเข้าสู่โลกของมนุษย์ นอกจากแกรนพัลส์จะพินาศแล้ว โคคูนใหม่ก็ได้รับความเสียหายอย่างมาก โฮปวิเคราะห์ได้ว่าความเสียหายจะขยายตัวมากขึ้นกระทั่งในที่สุดเสถียรภาพของโคคูนใหม่เสียไป  ดังนั้น มนุษย์ต้องโกยออกจากโคคูนใหม่

ตอนนั้นเอง โฮปก็ได้ตั้งกลุ่มสภาเรอเนสซอง (Conseil de Renaissance) เพื่อต่อสู้กับภัยพิบัติที่ค่อยๆ ปรากฏขึ้น โดยมีสโนว ซัสซ์ และโนเอลเข้าร่วมกลุ่มด้วย ขณะที่ระบบการทำงานของโคคูนเก่าใกล้จะเจ๊ง ผู้คนก็ค่อยๆ ทยอยกลับมายังโลกเบื้องล่าง อย่างไรก็ตามเคออสก็ยังคงขยายตัวเข้ากลืนกินพื้นที่บนโลกไปเรื่อยๆ โชคดีที่ตอนนั้นฟัลซิแพนเดโมเนียมปรากฏตัวขึ้นและช่วยดูแลชีวิตของมนุษย์ที่อยู่ในโลกเบื้องล่างเอาไว้ ตอนแรกมนุษย์ในยุคนั้นก็ไม่เชื่อใจฟัลซิเต็มร้อย แต่พวกเขาก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากการฝากชีวิตกับแพนเดโมเนียมเอาไว้ พวกเขาได้สร้างเมืองลุคเซริโอและยูสนันขึ้นมา ส่วนโฮปเองก็ไปๆ มาๆ ระหว่างโคคูนใหม่และโลกเบื้องล่าง ทำการวิจัยภายในโคคูนใหม่ และสลับมาช่วยเหลือคนในโลกเบื้องล่างไปด้วย

แต่แล้ววันหนึ่ง โฮปก็หายตัวไป สังคมมนุษย์เลยตกสู่ความโกลาหล ด้านซัสซ์กับโนเอลเองก็จมอยู่กับความสิ้นหวังไปเรียบร้อยแล้ว ส่วนสโนวพยายามรวบรวมและชี้นำผู้คนอย่างที่โฮปทำ แต่สโนวก็ไม่สามารถเป็นแกนนำผู้ยิ่งใหญ่แบบโฮปได้ สภาเรอเนสซองเลยวงแตก ผู้คนก็เริ่มต่อสู้กันเอง ตอนนั้นเอง Order of Salvation ก็กลายมาเป็นองค์กรที่ทรงอิทธิพลที่สุดในสังคมมนุษย์ ส่วนสโนวก็ไปปกครองเมืองยูสนันกับฟัลซิแพนเดโมเนียม

ก่อนที่โฮปจะหายตัวไป โฮปจำได้ว่ามีเหตุการณ์ที่ทำให้เขาขวัญผวาเกิดขึ้นกับพวกพ้องนักวิจัยของเขาในโคคูนใหม่ คือพวกเขาค่อยๆ หายตัวไปอย่างลี้ลับ ทีละคน แล้วก็ทีละคน... เหลือเพียงข้อความเบาะแสทิ้งไว้ว่า สตรีผมสีกุหลาบจะมารับตัวเขาไป

ทีแรกโฮปสงสัยว่านี่อาจเป็นฝีมือของไลท์นิ่ง แต่เขาก็รู้ว่าไลท์นิ่งไม่มีทางทำอะไรแบบนี้ เขาพยายามแก้ปริศนาแต่ก็ไม่พบคำตอบ ไม่พบเงื่อนงำ เมื่อเพื่อนพ้องนักวิจัยหายตัวกันไปเรื่อยๆ งานวิจัยของโฮปก็ล่ม ไม่สามารถไปต่อได้เพราะไม่มีผู้ช่วยวิจัย สุดท้ายความพยายามที่จะหาทางหยุดยั้งเคออสและช่วยโลกไว้ ก็สูญเปล่า

จนกระทั่งโฮปถูกทิ้งไว้เป็นคนสุดท้ายในโคคูนใหม่ ก่อนหน้านี้โฮปจะก้าวไปข้างหน้าด้วยความแข็งแกร่งและแน่วแน่ แต่นั่นเป็นครั้งแรกที่โฮปรู้สึกเละ และนั่นก็คือโฮปกาสที่บูนิเบลเซ่จะเปิดเข้าสู่ในเขาได้

หลังจากนั้นโฮปก็ได้เห็นนิมิตของเงาแปลกๆ เหมือนเป็นผู้หญิงผมสีกุหลาบ เขาก็ไม่รู้แน่ชัดว่านั่นเป็นเงาของใคร เพราะเงานั้นจะหายไปทุกครั้งก่อนที่เขาจะเห็นได้ชัด มันมักหายไปก่อนที่เสียงของเขาจะเอ่ยเอื้อนไปถึง เมื่อเขาพยายามจะลืมมันไป ภาพนิมิตนั้นก็จะปรากฏตัวขึ้นต่อหน้าเขาอีกครั้ง วนเวียนซ้ำแบบนี้อยู่นาน จนโฮปตัดสินใจแน่วแน่ที่จะช่างมันให้ได้ ต่อให้เขาเจอมันอีก เขาก็จะไม่ใส่ใจ แต่ยิ่งพยายามเพิกเฉยต่อเงานั้นเท่าไหร่ โฮปก็ยิ่งตระหนักรับรู้ถึงการมีอยู่ของมัน ความรู้สึกของเขายิ่งถูกลากลึกจมไปกับมันมากขึ้น

ในไม่ช้า โฮปก็ได้แต่คิดถึงเงานั้น เขาคิดว่าเป็นไลท์นิ่ง และได้แต่คิดถึงเธอ เพราะเหตุนี้ เวลาหลับฝัน เขาก็ได้แต่ฝันถึงเรื่องราวในอดีต เงาของผู้หญิงผมสีกุหลาบได้ปรากฏตัวขึ้นในความฝันของเขา และพูดกับเขาแบบที่ไลท์นิ่งพูด

สถานการณ์แบบนี้ดำเนินซ้ำต่อไปอีกหลายปี กระทั่งโฮปไม่สามารถแยกไลท์นิ่งและเงานั้นออกจากกันได้ ไม่สามารถแยกแยกความฝันและความเป็นจริงได้ เขาสับสนว่าสิ่งที่เขามโนถึงไลท์นิ่งเป็นประสบการณ์ในอดีตที่เคยเกิดขึ้นจริง และในทางตรงข้ามก็สับสนว่าประสบการณ์ที่เคยเกิดขึ้นจึงเป็นเพียงการมโนของเขา (มโนจนแยกแยะความจริงกับจินตนาการออกจากกันไม่ได้) พูดสรุปคือ โฮปใกล้จะถึงจุดสติแตกแล้ว

แอเด้ฟังโฮปเล่ามาถึงตรงนี้ก็ตกใจ ที่ผ่านมาทุกคนคิดมาตลอดว่าโฮปเป็นคนที่เข้มแข็ง ไม่หวั่นไว แต่ข้างในใจลึกๆ ของโฮปก็มีส่วนที่ล่มสลาย ซึ่งไม่มีใครเคยรู้

โฮปเองรู้ว่าเรื่องทั้งหมดเป็นฝีมือของบูนิเบลเซ่ พระเจ้าที่ทำแบบนี้เพื่อทำให้จิตใจและวิญญาณของเขาแหลกสลาย เนื่องจากบูนิเบลเซ่มองไม่เห็นวิญญาณ เลยต้องสร้างเงามาทำให้โฮปสติแตก โฮปจะได้กลายเป็นภาชนะอันสุดวิเศษของพระเจ้า แม้โฮปจะรู้ว่านี่เป็นแผนของพระผู้เป็นเจ้า แต่เขาก็ไม่อาจต้านแทนได้

คืนหนึ่ง เงาของผู้หญิงผมสีกุหลาบได้ปรากฏตัวขึ้นและเรียกโฮปไปหา เธอล่อโฮปออกจากเมืองมาโดยไม่รู้ตัว โฮปก็ได้แต่ตามเธอไปจนมาถึงโคคูนใหม่ที่ทิ้งร้างไว้  แล้วพระเจ้าก็ขังโฮปไว้ที่นั่น ตอนนั้นโฮปก็ได้เรียนรู้ว่าไลท์นิ่งได้ถูกเลือกให้เป็นผู้ปลดปล่อย เขาพยายามสู้เพื่อเรียกสติให้กลับตัวเอง และส่งข้อความทางคอมพิวเตอร์ไปให้สโนวและคนอื่นๆ

“ไลท์นิ่งจะกลับมาในฐานะผู้ปลดปล่อย แต่ระวังไลท์นิ่งตัวปลอมไว้ด้วย”

ยังไม่ทันที่โฮปจะเขียนต่อ บูนิเบลเซ่ก็เข้าควบคุมโฮปโดยสมบูรณ์ จากนั้นบูนิเบลเซ่ก็ได้ขัดเกลาโฮปเป็นเวลารอบละ 13 ปีอยู่ 13 รอบ รวมเป็นเวลาทั้งสิ้น 169 ปี เพื่อให้โฮปกลายเป็นภาชนะอันสมบูรณ์แบบของพระเจ้า


------------------------------------------------------

เรื่องนี้คุณ Angelina มีข้อความอยากฝากถึงคนที่อ่านเนื้อหาท่อนนี้จบแล้วไว้ว่า

Guys, I know this is exciting. All of this new information about Hope and Lightning in the novels and Watanabe’s interview is very, very exciting. I’m freaking too.

But please, please let us be pleasant about it. Please don’t go into the tags screaming that “Hoperai is canon” and telling everybody else to acknowledge it and shut their mouths. Don’t shove our preferences into the entire fandom’s face. This isn’t right. If we get hate for this, it will be our fault.

Let’s keep the excitement within our tags and other private mediums. If haters attack us regardless, then we can defend our ship. But for now, let us not be the ones to stir the pot.

Thank you.

------------------------------------------------------

ส่วนผมเองมองว่าในตอนนี้มีเนื้อหาใหม่ที่ไม่ปรากฏตัวเกม ก็แค่เรื่องสภาเรอเนสซอง กับวิธีการที่บูนิเบลเซ่ทำให้โฮปสติแตกก่อนจะจับตัวไป (ซึ่งในเกมเล่าแค่ตอนโฮปโดนจับตัวไปแล้ว) นอกจากนั้นก็เป็นข้อมูลที่เล่าแบบกระจายๆ ไว้ในใน FFXIII-2 และ LRFFXIII แล้ว ซึ่ง 2 ประเด็นที่เป็นเรื่องใหม่นี่ เอาเข้าจริงก็ไม่ใช่ประเด็นสำคัญเท่าไหร่ เป็นเพียงเรื่องยิบย่อยที่ไม่จำเป็นต้องรู้ก็เข้าใจเนื้อเรื่องได้ แต่ผู้แต่งก็ร้อยเรียงออกมาได้อย่างสวนงาม เพื่อความบันเทิง ความสุนทรีย์ของผู้อ่านโดยเฉพาะแฟนโฮปไลท์ได้จริงๆ

ไม่มีความคิดเห็น